ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 124 หัวใจข้าเต้น
บทที่ 124 หัวใจข้าเต้น
กลางดึก
ในกองทหารรักษาเมือง
หยาดฟ้าทะลวงพาดอยู่บนเข่า แผ่นหลังเว่ยเหยี่ยนหันหาม่านกระโจม นั่งอยู่คนเดียวในกระโจมทหาร
ในกระโจมมืดสนิท ไม่มีแสงไฟ
ส่วนเจ้าหล่างกลับนั่งอยู่บนพื้นนอกกระโจมทหาร อยู่อีกด้านของม่านกระโจม
กระถางไฟที่แขวนสูงเผาไหม้อยู่ด้านหน้า สาดใส่หน้าเขาจนแดงก่ำ
ทั้งสองคนนั่งหันหลังหากันโดยมีม่านกระโจมคั่น
เหล่าทหารที่ออกลาดตระเวนตอนกลางคืนไม่ได้เหล่ตามอง ดูจะชินชากับภาพฉากเช่นนี้
ดูเหมือนเจ้าหล่างไม่มีความคิดที่จะเลิกม่านกระโจมเดินเข้าไป เว่ยเหยี่ยนเองก็ไม่มีความคิดที่จะออกมาเหมือนกัน
ทุกครั้งตอนที่สะกดจิตสังหารเอาไว้ไม่อยู่ เว่ยเหยี่ยนจะขังตัวเองอยู่ในกระโจมทหาร
และทุกครั้งเวลาเช่นนี้ เจ้าหล่างก็จะมานั่งอยู่นอกกระโจม
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ยาวนานจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเลยทีเดียว
“เจ้าคิดว่าข้ามันน่ารังเกียจไหม” เว่ยเหยี่ยนจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาผ่านม่านกระโจม
“ทำไมจึงถามเช่นนั้น”
“ก็แค่จู่ๆ นึกขึ้นมาได้ ว่าข้าที่แบกดาบเล่มเดียวเดินทางอยู่บนเส้นทางคนเดียว ไม่มีญาติสนิทและไม่มีเพื่อนพ้อง”
“ท่านมีทั้งญาติสนิท และมีทั้งเพื่อน”
“สกุลเว่ยไม่นับ”
“เหอๆๆ” เจ้าหล่างพยักหน้าหัวเราะ ราวกับจำใจต่อความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ที่หาได้ยากของเว่ยเหยี่ยน และยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ
“ข้าตั้งใจพูดอยู่นะ” เว่ยเหยี่ยนเสริมขึ้นมา
“ข้าเองก็หัวเราะอย่างตั้งใจเหมือนกัน” เจ้าหล่างอมยิ้มเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ใช่เพื่อนของท่านหรอกหรือ”
ในกระโจมทหารนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เงียบจนคิดว่าหลับไปแล้วหรือเปล่า
จากนั้นจึงมีเสียงดังออกมาต่อ “เจ้าดูสิ ข้ามักจะลืมเรื่องนี้อยู่เรื่อย มักจะมองข้ามคนอื่นเสมอ ข้ามองเห็นแต่ตนเอง กับดาบของตนเอง ข้าคิดว่าข้าแตกต่างจากคนผู้นั้น แต่อันที่จริงอาจจะไม่แตกต่างกันก็เป็นได้”
“อัจฉริยะก็มักเป็นเช่นนี้ อัจฉริยะไม่จำเป็นต้องมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดามองเห็น อัจฉริยะมีโลกของตนเอง” เจ้าหล่างพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ข้าเห็น พวกท่านก็ไม่ได้ดูเหมือนกันเลย”
“ข้าเป็นอัจฉริยะหรือ”
“อา คำพูดนี้ของท่าน เหมือนบอกว่าข้ายังพยายามไม่พอ ข้ายังพยายามไม่พออีกหรือ เว่ยเหยี่ยน?”
นิ่งงันไปอีกพักหนึ่ง
มีเพียงเสียงเปาะแปะของเปลวเพลิงในกระถางเพลิง
หลังจากถอนหายใจไร้ซุ่มเสียง เว่ยเหยี่ยนก็เอ่ยถามขึ้นมาจากในกระโจม “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิด แต่ตอนนี้บางครั้งก็จะคิดว่า เรื่องในตอนนั้น…ข้าทำผิดไปหรือเปล่านะ?”
ไม่จำเป็นต้องถามไถ่ เจ้าหล่างรู้อยู่แล้วว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร
“เสิ่นหนานชีมีความคิดของเสิ่นหนานชี แต่ท่านเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด นั่นคือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แทนที่จะตายไปด้วยกัน สู้รอดออกมาสักคนดีกว่า” เจ้าหล่างหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมต่อว่า “ถ้าหากเป็นข้า ข้าก็จะเลือกเช่นนั้น”
“เจ้าก็เลือกเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”
การนั่งหันหลังชนกันโดยมีม่านกระโจมคั่น ราวกับเป็นวิธีการระบายความในใจของพวกเขาทั้งสองมาโดยตลอด
เว่ยเหยี่ยนคนที่บุกไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดกลัวเช่นนี้ ราวกับว่าเอาแต่คอยค้นหาคำตอบของปัญหาอยู่ที่นี่กับเจ้าหล่างมาโดยตลอด
เจ้าหล่างยิ้ม ฟันของเขาขาวสะอาด ยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้า “แน่นอน”
…
นี่เป็นคืนที่ยาวนานเสียเหลือเกิน
เจียงวั่งถูกความรู้สึกไม่สงบรุมเร้าอยู่ทั้งคืน
พอเขาหลับตาลง กระแสวนดำสนิทนั่นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา
เพื่อไม่ให้กระทบไปถึงอันอัน เขาถึงกับไม่ยอมพลิกตัวไปมา
เขานอนหงายเงียบๆ อยู่บนเตียง มองเพดานในความมืดสนิท ไม่ได้หลับตาลงเลยทั้งคืน
จนกระทั่งช่วงฟ้าใกล้สาง การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาพวาดกลัวยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นแล้ว
เทียนดำในจุดผ่านสวรรค์แท่งนั้นจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มันดีดกระโจนไปมา ราวกับมีจิตวิญญาณกำเนิดขึ้นและเจอกับความหวาดกลัวอะไรบางอย่างเข้า
และเวลานี้เอง วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของเขา ชีพจรงูวิญญาณพันดาวตัวนั้นกลับแหวกว่ายอยู่อีกด้าน ขดตัวจนเป็นก้อนเหมือนกำลังสั่นระริก
จุดผ่านสวรรค์เป็นสถานที่พักผ่อนจุดแรกของมังกรยักษ์ชีพจรเต๋า เป็นต้นกำเนิดของความลี้ลับทั้งหมด มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ
เวลานี้ด้านในจุดผ่านสวรรค์ส่งสัญญาณที่ไม่ดีออกมา เขากลับไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีเพียงสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ความหวาดกลัวของสัญชาติญาณ
ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง เจียงวั่งก็ลุกขึ้นตรงไปยังสำนักเต๋าเพื่อหาต่งเออ
“ท่านอาจารย์ต่ง! ข้าสงสัยว่าสำนักกระดูกขาวมีการเคลื่อนไหวแล้ว! เมื่อวานนี้ตอนที่ศิษย์พี่เสิ่นหนานชีถอนกำลังออกจากเทือกเขาฉีชางถูกลอบโจมตี อีกฝ่ายไม่ได้เข้าสังหารศิษย์พี่เสิ่นจนตาย แต่เลือกที่จะล้อมกรอบโจมตี
จากนั้นในตำบลเสี่ยวหลิน ก็มีกำลังเสริมจากสำนักเต๋าอีกกลุ่มหายสาบสูญไป หากกลับไปตรวจสอบบันทึกภารกิจก็คงจะรู้ว่าเป็นศิษย์พี่น้องกลุ่มไหน ผู้ฝึกตนสำนักเต๋าถูกเพ่งเล็งเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่!”
พอเชื่อมเข้ากับเรื่องที่เขาหัวโคก่อนหน้า…สำนักเต๋ากระดูกขาวเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว!
ต่งเออนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ากลับไปก่อน เรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายสู่ภายนอก จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้”
เจียงวั่งเอ่ยงึมงำ “อาจารย์ต่ง ในใจข้าไม่สงบเลย ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น พวกเขากำลังทำอะไร พวกเขาคิดจะทำอะไร”
เขาไม่สามารถบรรยายการเปลี่ยนแปลงในจุดผ่านสวรรค์ได้ เพราะไม่สามารถเปิดจุดผ่านสวรรค์ให้ต่งเออเห็น
“จิตใจเจ้ากำลังสับสน กลับไปพักผ่อนเสียก่อน”
“ท่านต้องรับมืออย่างระมัดระวัง!” ความรู้สึกบีบคั้นในใจทำให้เจียงวั่งสูญเสียคำพูดไป เขาคิดถึงคนที่ในหัวสมองจะเค้นออกมาได้ เปิดเผยเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เขาได้เผชิญมาโดยไม่สนอะไร “ธิดาเทพของสำนักกระดูกขาวแข็งแกร่งมาก แต่ในลัทธิของพวกเขายังมีผู้แข็งแกร่งที่ทำให้นางหวาดกลัวได้ ท่านสามารถติดต่อหัวหน้ากรมจี้แห่งกรมอาญา เขาควรจะอยู่ใกล้ๆ เมืองวั่งเจียง ท่าสามารถติดต่อนครวารีแม่น้ำชิง จริงด้วย เจ้าแห่งนครวารีแม่น้ำชิงแข็งแกร่งมาก พวกเรามีพันธสัญญานับร้อยปีกับนครวารีแม่น้ำชิง เขาต้องยินยอมช่วยเหลือแน่…”
“พอแล้ว เจ้าใจเย็นลงหน่อย!” ต่งเออหยุดเขา “เรื่องราวไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่เจ้าคิด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็วนไปไม่ถึงเจ้าอยู่ดี”
“แต่ว่า…แต่ว่า…” เจียงวั่งขนลุกชูชัน
ขณะเดียวกันเขาก็บอกกับตัวเองไม่หยุด ต้องเยือกเย็นเข้าไว้ ใช้จิตเต๋าที่ลับคมมาอย่างยาวนานสะกดอารมณ์ลง
เข้ากล้าเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย และเคยผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหนาสาหัสมาเป็นเวลานาน ด้วยจิตใจของเขามันไม่ควรจะตกตะลึงหวาดกลัวเสียขนาดนี้
อาจจะเพราะเทียนดำในจุดผ่านสวรรค์แท่งนั้น ‘ระบาดติดเชื้อ’ มาถึงตัวเขา
อารมณ์เป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ โดยเฉพาะสถานที่ลับอย่างจุดผ่านสวรรค์ โดยเฉพาะเทียนดำแท่งนี้ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเขาอยู่
แต่ทว่า สมบัติที่มีวิญญาณของตนเองอย่างเทียนดำ ทำไมจึงตกตะลึงหวาดกลัวถึงเพียงนั้น
“ไม่มีแต่ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” ต่งเออเอ่ยขึ้น
เจียงวั่งยังคงไม่สามารถสงบใจลงได้ เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ที่เขาหัวโคท่านได้ไปตรวจสอบแล้วหรือยัง ฟางเฮ่อหลิงทางนั้นได้รับอะไรมาบ้าง”
พอเห็นว่าเขาเริ่มไม่มีเหตุผล ต่งเออก็ย่นคิ้วเอ่ยขึ้นมา “ฟางเฮ่อหลิงทางนั้น กรมอาญายังคงทำการสอบสวนตามกระบวนการ มีอาจารย์เซียวคอยดูแลอยู่ ไม่มีปัญหาหรอก”
“แล้วก็เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับสำนักกระดูกขาว ข้าแจ้งกับเว่ยชวี่จี๋แล้ว และยังรายงานต่อราชสำนักแล้วด้วย เรื่องระดับนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะสอดมือได้ ข้าพูดได้แค่นี้”
ต่งเอ่อนานๆ ครั้งจะเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง “กลับไปนอนพักเสียหน่อย วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากอะไร ก็ล้วนมีทางไปต่อทั้งสิ้น”
ไปต่อ…ได้หรือ
ตอนนี้เอง มีศิษย์สำนักเต๋าเอ่ยขึ้นด้านนอกประตู “เจ้าสำนักต่ง รองเจ้าสำนักซ่งเชิญท่านไปหาหน่อย บอกว่ามีตำรับยาโบราณแผ่นหนึ่ง ต้องการให้ท่านมาช่วยค้นคว้าด้วยกัน”
“รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ต่งเออตอบกลับคนที่อยู่ด้านนอกก่อน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน มองเจียงวั่งอย่างลึกซึ้ง “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
…
เจียงวั่งทำได้เพียงฝืนสะกดความไม่สงบนี้ลง สิ่งที่เขาทำได้ก็ทำไปแล้ว
ก็เป็นอย่างที่ต่งเออว่ามาจริงๆ เรื่องอื่นๆ เขาก็สอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้
ตอนออกจากเรือนเล็กของต่งเออ เทียนดำแท่งนั้นยังกระเด้งขึ้นบนลงล่างอยู่ในจุดผ่านสวรรค์
ตึกตึกตึก ตึกตึกตึก…
ราวกับเป็นเสียงหัวใจเต้น
……………………………………….