ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 136 ไม่ทันได้ร่ำลา
บทที่ 136 ไม่ทันได้ร่ำลา
ก่อนหน้าเกิดพสุธาแยก เจ้าหรู่เฉิงยังร่ำสุราอยู่ในจวน
เขาใช้ชีวิตไปวันวันมาแต่ไหนแต่ไร พักได้ก็พัก ขี้เกียจได้ก็ขี้เกียจ
ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำให้ได้ และไม่มีสถานที่ที่อยากจะไปให้ได้
จะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำ ทั่วฟ้าดินจะระหกระเหิน มันก็คือชีวิต
เขาไม่คิดที่จะทำตัวเองให้ลำบาก
ดื่มครึ่งหนึ่งก็เมามายแล้ว
น้าเติ้งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น จับมือเขาเอาไว้ “ไม่ถูกเสียแล้ว เมืองเฟิงหลินกำลังจะจบสิ้น พวกเราต้องออกจากที่นี่ทันที!”
โครม!
เสียงพสุธาแยกระเบิดขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน!” เจ้าหรู่เฉิงสะดุ้งโหยง ได้สติกลับมาทันที เขาไม่สงสัยการพิจารณาของน้าเติ้ง และไม่ถามถึงสาเหตุที่มาหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พูดทันทีว่า “ไปสถานธรรมกระจ่างรับอันอัน!”
เจียงวั่งกับหลิงเหอล้วนมีความสามารถที่จะปกป้องตนเอง มีเพียงเจียงอันอันที่ยังเป็นเด็ก จึงมีอันตรายมากที่สุด
น้าเติ้งเองก็ไม่พูดมาก คว้าเจ้าหรู่เฉิงกระโจนทะลุหลังคา พุ่งตรงไปยังสถานธรรมกระจ่างประดุจสายรุ้งพาดผ่านฟากฟ้า
กวาดสายตาไปครู่หนึ่ง เขาก็หิ้วตัวเจ้าหรู่เฉิงอีกครั้ง โจนทะยานขึ้นท้องฟ้า “เด็กสาวคนนั้นไม่อยู่แล้ว”
“ช่วยเจียงวั่ง! ช่วยหลิงเหอ!” เจ้าหรู่เฉิงดิ้นรนอยู่กลางอากาศ
“แผ่นดินไหวกะทันหันเกินไป ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าสามารถสัมผัสได้ ว่านี่เป็นแค่การเริ่มต้น ถ้าอันตรายที่แท้จริงมาถึงล่ะก็ ต่อให้เป็นข้าก็ปกป้องท่านไว้ไม่ได้แล้ว” เสียงของน้าเติ้งกรอกเข้าหูของเขาท่ามกลางสายลมหวีดหวิว “ไม่ทันแล้ว”
พื้นพสุธาแยกออกเบื้องล่าง บ้านเรือนพังทลาย
เหล่าผู้คนที่วิ่งหนี ล้มลงและตายจาก มองลงไปจากมุมสูงเช่นนี้ช่างเล็กจ้อยเหมือนมดปลวก
เจ้าหรู่เฉิงสามารถสัมผัสได้ถึงกำลังประดุจเหล็กกล้าบนมือของน้าเติ้ง มือข้างนี้คว้าตัวเขาทะยานออกไปในชั่วพริบตา
เขาทำอะไรไม่ได้เลย
ทำอะไรไม่ได้เลย
สายลมแทงดวงตาจนเจ็บปวด แทงจนน้ำตาหลั่งรินท่วมหน้า
…
ในสำนักเต๋าเมือง
เหล่าผู้ฝึกตนแน่นอนว่าล้วนสัมผัสได้ถึงอันตรายก่อนประชาชนทั่วไป
เหล่าผู้ที่กำลังปิดด่าน อ่านคัมภีร์ ฝึกเต๋าล้วนวุ่นวายโกลาหลกันขึ้นมา ร่างเงากระโจนกันสับสนทั่วทุกหนแห่ง
มีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งดึงตัวเขา “รีบหนีเร็วหลิงเหอ!”
มีคนกำลังตะโกน “ถอยออกไปนอกเมือง! รักษาร่างที่ยังมีประโยชน์เอาไว้!”
และก็มีคนตะโกนสูงขึ้นมาอีก “ทุกคนรีบไปช่วยคนเร็ว! ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา…”
“ช่วยใครกันเล่า? ข้ายังช่วยตัวเองไม่รอดเลย!”
เจ้าสำนัก รองเจ้าสำนักล้วนไม่อยู่กันทั้งคู่ นอกจากพวกเราแล้ว คงมีเพียงเซียวหน้าเหล็กที่มีบารมีพอจะรวบรวมศิษย์ขึ้นมา แต่เขาเองก็ยังไม่ปรากฏตัว
ทั้งสำนักเต๋าไม่มีคนกุมบังเหียน สับสนวุ่นวายไปหมด
หลิงเหอกระโจนตัวขึ้น ยืนบนศีรษะรูปปั้นบรรพชนเต๋า
เขาเป็นคนที่ยึดถือข้อบังคับมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ยอมที่จะล่วงเกินมารยาทแม้แต่น้อย เวลานี้กลับเหยียบลงบนศีรษะของรูปปั้นบรรพชนเต๋าอย่างร้อนรน ไม่สนใจเลยว่าพฤติกรรมดูหมิ่นเช่นนี้จะนำมาซึ่งการลงโทษอะไรบ้าง
“ชีวิตของพวกเรา เป็นชีวิตที่ยืนยาว!”
เขาตะโกนเสียงสูง “พวกเราฝึกบำเพ็ญบรรลุพลังในสำนักเต๋าเมือง อาบอิ่มความรุ่งโรจน์มาแล้ว! จะเหยียบความรุ่งโรจน์นี้ไว้ใต้เท้า ทิ้งมันไว้เบื้องหลัง หรือจะยื่นมือคว้ามันไว้ พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง!”
พูดจบ เขาก็ไม่รีรอ
ปีนข้ามกำแพงข้ามบ้าน พุ่งตรงไปทางสถานธรรมกระจ่างด้วยความเร็วสูงสุด
…
เมืองซานซาน ในจวนเจ้าเมือง
โต้วเยวี่ยเหมยนั่งเงียบไม่พูดจา
อดพูดไม่ได้เลยว่าสำนักกระดูกขาวเตรียมการได้อย่างรอบคอบ ทั้งเมืองเฟิงหลินแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทว่าพอออกจากเขตเมืองเฟิงหลิน กลับฟ้าใสกระจ่าง สงบราบเรียบ
ความสับสน ภัยพิบัติทั้งหมดล้วนถูกจำกัดอยู่ในเขตเมืองเฟิงหลินเท่านั้น
ด้านนอกไม่มีการรับรู้ใดๆ
ค่ายกลไร้เกิดไร้ดับสูญราวกับเป็นฝาครอบขนาดยักษ์ใบหนึ่ง จัดการครอบสิ่งที่มันทำลายล้างทั้งหมดไว้ด้านใน
แต่ทว่าสำหรับโต้วเยวี่ยเหมยที่มีพลังวิเศษเคลื่อนคีรีแล้ว การเคลื่อนไหวอย่างมังกรพสุธาพลิกตัว เขาถล่มพสุธาแยกเช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางปิดบังนางไว้ได้
ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขตเมืองเฟิงหลินอยู่ห่างไกล นางในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองซานซานก็ไม่สามารถออกจากเขตเมืองตนเองในขณะที่มีอันตรายล้อมอยู่รอบด้านได้
แต่การเคลื่อนไหวที่ยอดเขาเหินทะยาน กลับมีปฏิกิริยาต่อเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษบนตัวนางอย่างชัดเจน
ผู้มีพลังวิเศษเคลื่อนคีรี ไม่สนใจเรื่องการดูแลป่าเขาไม่ได้
แต่นางสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีคนจากสำนักกระดูกขาวพลังบำเพ็ญระดับมังกรทะยานมากกว่าห้าคนคอยนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกเมืองซานซาน
ฝั่งตรงข้ามไม่มีการปิดบังร่องรอยโดยสิ้นเชิง
เป็นการสยบด้วยอานุภาพอย่างโจ่งแจ้ง สำนักกระดูกขาวแสดงท่าทีชัดเจน ยอมให้ผู้แข็งแกร่งขั้นมังกรทะยานจำนวนห้าคนมานั่งเฝ้านางเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ยังอธิบายกับราชวงศ์จวงได้
พวกหน้ากากกระดูกขาวเหล่านี้แน่นอนว่าไม่ใช่คู่มือของนาง แต่การจะขวางนางไว้สักระยะหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ยิ่งไปกว่านั้น การทลายยอดเขาเหินทะยาน ไม่ใช่สิ่งที่นางปรารถนาหรอกหรือ
จะสถานการณ์ใหญ่แค่ไหน หรือจะเป็นอนาคตอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิอะไรนั่น จะมาเทียบกับประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในการปกครองของนางได้หรือ จะมาเทียบกับปณิธานของสามีผู้ล่วงลับไปแล้วได้หรือ
นางถูกราชวงศ์จวงทำร้ายจนใจเจ็บ
บิดา สามี พี่น้องของนาง ทั้งหมดล้วนสู้จนตัวตายเพื่อราชวงศ์จวง
แล้วราชวงศ์จวงจะมีเหตุผลอะไร ให้แม่ม่ายอย่างนางต้องสู้อย่างถวายชีวิตอีก
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป” โต้วเยวี่ยเหมยเอ่ยขึ้น “ปิดประตูเมือง!”
ผู้บัญชาการเอ่ยตอบเสียงเล็ก “ท่านเจ้าเมือง ด้านนอกนั่น…”
“ถ้าหากมีเรื่องใหญ่อะไรจริง ราชวงศ์จะออกคำสั่งมาเอง ในเมื่อพวกเราไม่ได้รับคำสั่ง ก็อธิบายได้ว่าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร” โต้วเยวี่ยเหมยเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราแค่ไม่เคลื่อนไหว ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง”
“…รับทราบ!”
ท่ามกลางเสียงครึกโครม ประตูใหญ่เมืองซานซานลั่นดาลสนิท
…
เมืองเฟิงหลิน ในจวนเจ้าเมือง เว่ยชวี่จี๋ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ชีวิตนี้ของเขา ในสายตามีแต่ภาระงาน ใต้ฝ่าเท้าก็มองเพียงอนาคต
ละทิ้งสิ่งของไปมากมาย จึงเดินมาถึงตำแหน่งในวันนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
นี่คือเมืองของเขา
นี่คือความรุ่งโรจน์ของเขา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของเขา
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ความพยายามบากบั่นทั้งชีวิตของเขา
ถ้าหากเมืองเฟิงหลินหายไป สิ่งที่เขาเสียสละไปทั้งหมด ภรรยาเขา สหายร่วมรบเขา ลูกชายเขา…ทั้งหมดที่เขาสละทิ้งไปจะมีความหมายอะไร
เขาเตรียมนำทั้งชีวิตมอบให้ที่นี่แล้ว
การแก่ตายในเมืองเฟิงหลินถือเป็นการมอบอย่างหนึ่ง
การสู้จนตัวตายนั้นไม่ใช่เลย
ลู่เหยี่ยนเป็นมารเฒ่าเก่าแก่ พอเทียบกับกับโอวหยางเลี่ยผู้อาวุโสใหญ่สำนักกระดูกขาวแล้วชื่อเสียงอาจจะไม่ได้เลื่องลือนัก
แต่ทว่าคนที่ได้สัมผัสจึงจะเข้าใจ ถึงความน่ากลัวในดวงตามืดมนคู่นั้น
ระดับหอนอกจะทำการทิ้งสมอกำหนดแดนดาราทั้งสี่ทิศ รับเอาแสงดาวเก้าชั้นฟ้า เพียงแค่ขยับแขนขาก็ล้วนมีพลังมหาศาลระดับท้องฟ้าดวงดาราแล้ว
โดยเฉพาะที่เผชิญหน้ายังเป็นผู้แข็งแกร่งแบบลู่เหยี่ยน
ลมเต๋าเก้าชั้นฟ้าที่เว่ยชวี่จี๋โยงใยขึ้นมาได้จากการควบคุมเมืองเฟิงหลินเป็นเวลานาน ยังถูกทำลายทิ้งไปทั้งหมด
เขาเผาจดหมายแจ้งเตือนสามฉบับติดต่อกัน แต่ทั้งเมืองเฟิงหลินถูกค่ายกลใหญ่ครอบเอาไว้ ข่าวสารคงส่งออกไปไม่ได้
เวลานี้เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับเมืองเพื่อนบ้านที่สัมผัสได้ถึงอันตรายในเขตเมืองเฟิงหลิน ทำการติดต่อราชวงศ์จวงขณะที่ตรงเข้ามาเพื่อร่วมศึกเท่านั้น
เขาคิดไปไม่ถึงเลย ว่าการลอบโจมตีครั้งนี้ ก่อนที่จะเกิดเรื่องกลับไม่มีกระทั่งลางบอกเหตุอะไรแม้แต่น้อย
การควบคุมต่อเมืองเฟิงหลินของเขามีปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาพิจารณาเรื่องเหล่านี้
เขาจำเป็นต้องถ่วงเวลาคู่ต่อสู้เอาไว้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
อย่างไม่เสียดายอะไร
กลืนเลือดลงไป เขาสังเกตว่ามีผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
เห็นในหางตา เขาจำได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หล่อเหลาจางหลินชวนจากสำนักเต๋าเมือง
“จางหลินชวน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าสอดมือเข้ามาได้!”
เว่ยชวี่จี๋เอ่ยขึ้นอย่างแข็งกร้าว “ไปค่ายทหารนอกเมืองติดต่อขุนพลหลักฟางหนวดเฟิ้มเสีย ให้เขากระจายกลุ่มทหาร ออกไปหาต้นตอภัยพิบัติ!”
“ท่านเจ้าเมือง ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร” จางหลิงชวนเดินไปด้วยพูดไปด้วย
เว่ยชวี่จี๋จ้องเขม็งไปยังลู่เหยี่ยนที่อยู่กลางอากาศ ลอยตัวจากพื้นอีกครั้ง
เขาเพียงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ด้านหลัง “คำพูดนี้ถ้าเป็นต่งเออมาพูดยังพอไหว แต่เจ้ายังอ่อนเกินไป! ไปนอกเมือง!”
แม้ต่งเออจะยังไม่ปรากฏตัว แต่เว่ยชวี่จี๋ไม่คิดว่าคนแบบต่งเออจะทิ้งเมืองแล้วหนีไปอย่างแน่นอน
เขาคงกำลังพยายามอะไรของเขาอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ยิ่งนิ่งเงียบ ก็ยิ่งลำบาก
ข่าวดีเพียงเรื่องเดียวก็คือ โอวหยางเลี่ยผู้อาวุโสใหญ่ก่อนหน้านี้ไปอาละวาดอยู่ในรัฐอวิ๋น ถูกเจ้าหอนภาเทียมเมฆาเล่นงานจนเจ็บหนักเจียนตาย ในสำนักกระดูกขาว น่าจะไม่มีใครสามารถบดขยี้ต่งเออได้แล้ว
ลมหมุนคำรามบ้าคลั่งอยู่กลางอากาศ เว่ยชวี่จี๋ยกฝ่ามือเป็นใบมีด ตวัดจากล่างขึ้นบนราวกับจะตัดฟ้านภา
ลู่เหยี่ยนจึงต้องหยุดโน้มนำค่ายกลใหญ่อีกครั้ง สายตาแฉลบผ่าน สองมือกำเป็นค้อน พุ่งทั้งร่างกระแทกสู่เบื้องล่าง
แสงใสปะทะแสงขาว
ฝ่ามือดาบกับกับกำปั้นค้อนพอสัมผัสก็แยกจากกัน
พอมีการปลุกเสกจากพลังดวงดารานอกพิภพ เว่ยชวี่จี๋ถูกซัดกระแทกร่วงลงมาอีกครั้ง
“เจ้าเมืองเว่ย!” จางหลินชวนกระโดดกระโจนขึ้น ราวกับคิดจะไปรับตัวเขา
พลังบำเพ็ญระดับผ่านสวรรค์เดิมทีไม่มีทางจะรับคลื่นพลังระดับนี้ได้ พริบตาคงถูกบดขยี้จนกระจุย
“ไสหัวไป!” เว่ยชวี่จี๋ทั้งโมโหทั้งร้อนรน ต่งเออทำไมสอนนักเรียนไม่มีสมองแบบนี้ออกมาได้นะ
ฝืนใช้พลังที่เหลือ หักหลบกลางอากาศ
แต่จางหลินชวนกลับเหยียบกลางอากาศ ไล่ตามเขาไปอีกครั้ง!
“ไม่ถูกสิ!”
ยังไม่ได้เปิดประตูฟ้าดิน ทำไมจึงเหยียบย่ำเคลื่อนไหวบนอากาศได้
สมองเว่ยชวี่จี่เพิ่งจะหันมาที่ความคิดนี้ ก็ได้ยินเสียงอัสนีคำรามขึ้น
วิชาเต๋าชั้นหนึ่งระดับกลาง แสงอัสนีคำราม
ความเร็วของแสงนำหน้าเสียงของมันมาไกล
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียง จุดสำคัญช่วงท้องและหน้าอกของเขา ก็ถูกแสงอัสนีที่ระเบิดขึ้นฉีกทิ้งจนกระจุย!
พลังธาตุลมบ้าคลั่งทะลักเข้ามา ช่วงสุดท้ายของเขาเขาก็ยังคิดที่จะทำอะไร
แต่จางหลินชวนเพียงแค่สั่นมือ แสงอัสนีปรากฏแล้วหายไป ร่างกายทั้งหมดของเว่ยชวี่จี๋ก็ร่วงหล่นลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
อีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย ที่ร่วงหล่นลงไปในจวนเจ้าเมืองของเขาเอง
……………………………………….