ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 137 ความรู้สึกของสหายเก่า
บทที่ 137 ความรู้สึกของสหายเก่า
จางหลินชวนลงมือโดยไม่ทันให้ตั้งตัว โจมตีสังหารเว่ยชวี่จี๋
ลู่เหยี่ยนไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หัวเราะเคี้ยกๆ เสียงประหลาด “เจ้าตัวดี”
ดวงตายมโลกกลิ้งกรอกไปมา ควบคุมค่ายกลอีกครั้ง
แต่พวกฟางเจ๋อโฮ่วที่เห็นภาพฉากนี้ กลับตกอยู่ในความตื่นตะลึงสุดขั้วหัวใจ
ไม่ได้ตกใจแค่การกระทำของจางหลินชวนเท่านั้น แต่ยิ่งตกใจพลังของของเขา
ตอนนี้เขาก้าวสู่ท้องฟ้าลอยอยู่อย่างสงบ ท่วงท่าสบายๆ พลังบำเพ็ญเป็นแค่ขอบเขตจุดผ่านสวรรค์เสียที่ไหน
นี่มันเปิดประตูฟ้าดินได้แล้วชัดๆ ขอบเขตมังกรทะยาน กระทั่งว่า…เปิดประตูขอบเขตเบิกคลังแล้ว
หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตเบิกคลัง ต่อให้เป็นลอบโจมตี ต่อให้เว่ยชวี่จี๋บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นนั้น ก็ไม่มีทางโจมตีทีเดียวก็ถึงแก่ความตาย
ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
สู้สุดกำลังแต่แพ้ที่การประลองสามเมืองเสวนาเต๋า รอคอยอย่างสงบหนึ่งปี รอการประลองสามเมืองเสวนาเต๋าของปีหน้า เพื่อสอบเข้าสำนักเต๋ารัฐ…
ล้วนโกหกทั้งเพ
เขาอยู่ในเมืองเฟิงหลินเพื่อการเตรียมตัวสำหรับวันนี้
เขาเป็นคนของพรรคกระดูกขาวชัดๆ!
ฟางเฮ่อหลิงในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้ถามว่าต่งเอออยู่ที่ไหน แต่ไม่สนใจเรื่องอื่น
เพราะเสี้ยวพริบตาที่ตัวตนเปิดเผยออกมา สังหารต่งเออเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ไม่ใช่ต่งเออ ก็เป็นเว่ยชวี่จี๋
“ไป!” ฟางเจ๋อโฮ่วรีบเดินไปสองก้าว คว้าฟางเฮ่อหลิงพูดว่า “รีบไปเร็วเข้า!”
“ไม่ ท่านพ่อ” ฟางเฮ่อหลิงดิ้นรนอีกครั้ง เขาหัวเราะขึ้นมา “ข้าวางเดิมพันถูกแล้ว! โอกาสของข้ามาแล้ว”
เขารีบเดินขึ้นไป เอ่ยทักทายว่า “ศิษย์พี่จาง! ที่แท้ท่านก็เข้าร่วมพรรคกระดูกขาวเหมือนกัน! มีอะไรให้ศิษย์น้องช่วยเหลือหรือไม่”
จางหลินชวนไม่แม้แต่จะมองซากร่างของเว่ยชวี่จี๋ ยิ่งไม่สนใจฟางเฮ่อหลิง แต่เงยหน้ามองลู่เหยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ผู้อาวุโสลงมือดำเนินทำตามแผนการได้อย่างวางใจ”
พูดพลางหยิบหน้ากากออกมา แล้วกดไปบนใบหน้าเบาๆ
หน้ากากอันนั้นทำมาจากกระดูกขาว
แล้วเขาก็พลันหันกลับมา!
ทางประตูทิศใต้มีผู้บำเพ็ญถือดาบยืนอยู่คนหนึ่ง
ผมดำดุจหมึก ดาบยาวราวหลอมขึ้นจากหิมะ
เป็นเว่ยเหยี่ยนนั่นเอง
ดูจากเวลาแล้ว เขาน่าจะเห็นภาพที่เว่ยชวี่จี๋ถูกสังหารฉากนั้นพอดี
สีหน้าแปลกประหลาดนัก
เหมือนจะไม่โกรธ
แต่ก็เหมือนกับว่ามีเพียงความโกรธแค้นเดือดดาลเท่านั้น
เว่ยเหยี่ยนไม่ใช่คนพูดมาก
ดังนั้นฝีเท้าของเขาจึงเริ่มก้าวออกไป เขาเริ่มพุ่งมาข้างหน้า
พุ่งมาทางจวนเจ้าเมือง มาทางจางหลินชวน ทำการบุกโจมตี!
……
“ทูตกระดูกขาว!” เห็นภาพจางหลินขวนสวมหน้ากากกระดูกขาวกับตา ฟางเฮ่อหลิงตื่นเต้นขึ้นมา “ที่แท้ท่านก็คือทูตกระดูกขาว! ที่แท้เป็นศิษย์พี่จางที่ดึงข้าเข้าลัทธิ!”
เนิ่นนานก่อนที่ยังไม่ได้สัมผัสกับพรรคกระดูกขาว เขากับจางหลินชวนรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีต่อกันเอาไว้ ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าเขาเป็นทูตกระดูกขาว ในใจก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
ฟางเจ๋อโฮ่วขวางข้างหน้าเขา กดเสียงต่ำตวาดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว! ที่นี่อันตราย พวกเรารีบตามอาหลี่ของเจ้าไปจากที่นี่”
“อันตรายอะไร ตอนนี้ที่นี่พรรคกระดูกขาวเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ!” ฟางเฮ่อหลิงหงุดหงิดกับความขี้ขลาดของบิดา แต่อย่างไรก็เป็นบิดาของตัวเอง เขาตะโกนพูดกับจางหลินชวนอีกว่า “ศิษย์พี่จาง พ่อข้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายขนาดนั้น ข้ากลัวสหายในลัทธิจะพลาดทำร้ายเขาเข้า ท่านคิดหาวิธีได้ไหม ช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“มีหลักฐานพิสูจน์ตัวตนอะไรหรือไม่…”
เสียงของเขาพลันชะงัก
เห็นเพียงแสงอัสนีกลุ่มหนึ่งฟาดมาบนร่างฟางเจ๋อโฮ่ว
ส่วนฟางเจ๋อโฮ่วทำได้เพียงถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างสุดกำลัง กระตุกเกร็ง ตัวไหม้ต่อหน้าลูกชายไปแบบนั้น ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป
ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่า คนธรรมดาที่ไม่มีพลังบำเพ็ญก้าวขาจากวิชาอัสนีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร
ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าอะไรที่ค้ำยันเขาเอาไว้ มีปฏิกิริยาตอบสนองให้ห่างออกไปให้ไกลจากลูกชายทันทีในเสี้ยวพริบตาก่อนตาย
ผู้บำเพ็ญขั้นเหนือมนุษย์ขอบเขตจุดผ่านสวรรค์ส่วนมากล้วนถูกสังหารในทันทีภายใต้แสงอัสนีจากกระบวนท่านี้
แม้แต่จะกะพริบตายังทำไม่ได้ ยังทำไม่ทัน
แต่ฟางเจ๋อโฮ่วกลับดิ้นรนก้าวห่างออกไปก้าวหนึ่ง
นี่เป็นแค่คนธรรมดาที่ธรรมดาสุดๆ
บิดาที่ธรรมดาที่สุด
และเขาตายไปแล้ว
“ไร้สาระ”
จางหลินชวนสะบัดๆ ควันที่มือ เพียงหมุนตัวก็พุ่งเข้าไปหาเว่ยเหยี่ยนที่ถือดาบเข้ามา!
ไม่มีคำพูดก่อนสู้ ยิ่งไม่มีการยืนประจันหน้า
มีเพียงแค่การต่อสู้อันดุเดือดที่ปะทุขึ้นทันทีในเสี้ยวพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน
……
ฟางเฮ่อหลิงอ้าปากค้าง คิดอยากจะตะโกนอะไรออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
จางหลินชวนช่วยเขาจัดการปัญหาเรื่องความปลอดภัยของบิดาเขาจริงๆ แต่ว่าเป็นวิธีที่เขาไม่อาจรับได้เลย
บิดาของเขาถูกสังหารตายง่ายๆ ต่อหน้า เรียบง่าย สบายเสียยิ่งกว่าเชือดไก่ แต่เพราะร่างยังมีสายฟ้าส่งเสียงคำราม เขากระทั่งว่าไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือไปสัมผัส
เขาคิดไม่ออกว่าทำไม
เขาก็เป็นสมาชิกในพรรคกระดูกขาวเหมือนกัน เขาทำอะไรเพื่อพรรคกระดูกขาวไปตั้งมากมาย!
วันนี้พรรคกระดูกขาวสร้างธรณีพิบัติถึงระดับนี้ ปฏิบัติแผนการได้อย่างแข็งแกร่งรอบคอบ ไม่มีการปกปิดช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังจากตระกูลฟางหรอกหรือ
เพื่อพรรคกระดูกขาว เขาไปรับการสอบปากคำที่กรมอาญาตั้งกี่ครั้ง เขาต้องเสี่ยงตั้งเท่าไร เสียสละแค่ไหน
ไม่มีใครสนใจเลยหรือ
ทำไม
ทำไมกัน
“ไป!”
ผู้พิทักษ์หลี่คว้าฟางเฮ่อหลิง หมุนตัวทะยานไปนอกเมือง
ในใจเขาโกรธแค้นเดือดดาล แต่กลับควบคุมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฟางเจ๋อโฮ่วมีบุญคุณกับเขา ปกป้องฟางเจ๋อโฮ่วไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องปกป้องลูกชายของเขา
แม้ว่าไอ้เจ้านี่จะโง่ขนาดนี้ก็ตาม!
ฟางเจ๋อโฮ่วเพียงแวบเดียวก็มองออกแล้ว แต่ฟางเฮ่อหลิงกลับมองไม่ออกว่าตัวเขาไม่เคยอยู่ในสายตาของจางหลินชวนเลย
การแสดงความภักดี ความเด็ดเดี่ยว คุณงามความชอบของเขานอกจากจะทำให้คนรังเกียจแล้ว ก็ไม่ได้อะไรมาทั้งนั้น
บางทีจนถึงวันนี้ จวบจนตอนนี้ เสี้ยวขณะนี้
เขาถึงเพิ่งจะรู้ตัว แต่นี่ก็สายเกินไปแล้ว
……
จางหลินชวนและเว่ยเหยี่ยนปะทะเข้าหากันทันที
เพียงปะทะก็แยกจากกันทันที
เว่ยเหยี่ยนกระอักเลือดถอยหลัง จางหลินชวนกายพันล้อมด้วนสายฟ้า ประดุจเทพแห่งสวรรค์
ใต้หน้ากากกระดูกขาวมองไม่เห็นสีหน้าของจางหลินชวน แต่เสียงของเขาเย็นชา “กล้าชักดาบใส่ข้าอย่างนั้นรึ ท่าทางข้าจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิดกันไปนานเหลือกเกิน เจ้าคิดว่าจู้เหวยหว่อคือลูกพี่ใหญ่ เจ้าคือลูกพี่รองจริงๆ อย่างนั้นรึ”
อันดับกระดานแต้มเต๋าสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นจู้เหวยหว่อ เว่ยเหยี่ยน จางหลินชวน จัดอันดับแบบนี้มาโดยตลอด
ต่อให้ทั้งสามอันดับนี้ใช้คะแนนแต้มเต๋าไปอย่างมหาศาล แต่ผู้บำเพ็ญรุ่นหลังพวกเขาก็จะควบคุมคะแนนแต้มเต๋าอย่างรู้หน้าที่ จัดอันดับให้ต่ำตามลงไป นี่เป็นความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง
แต่ใครก็ไม่เคยคิดว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือจางหลินชวน
เขาไม่ใช่แค่แข็งแกร่งกว่านักเรียนทั้งหมดของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน แต่ยังแข็งแกร่งกว่าอย่างมหาศาล ห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว
เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่เหมือนว่าสำหรับเว่ยเหยี่ยนแล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรเลย
วายุเหมันต์ต้องการดื่มเลือด ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเพียงใด
เว่ยเหยี่ยนไม่ไปเช็ดรอยเลือด กลับเหยียบไปบนอิฐที่แหลกละเอียด ถือดาบบุกขึ้นไปอีกครั้ง
วายุเหมันต์ประดุจรุ้งที่ปลายขอบฟ้า เริ่มจากเว่ยเหยี่ยนพุ่งไปหาจางหลินชวน
เคร้ง!
จางหลินชวนงอนิ้วดีดไปบนตัวดาบวายุเหมันต์พอดี
แสงอัสนีระเบิดจากปลายนิ้วแผ่ลามไปตามวายุเหมันต์
เว่ยเหยี่ยนปล่อยมืออย่างรวดเร็วแล้วกำไว้แน่นอีกครั้ง หลังจากหลบสายฟ้าก็ชักดาบ พลิกฟันไป!
เขาฟันเข้าไปในแสงสายฟ้ากลุ่มหนึ่ง
เขาเร็วมาก แต่จางหลินชวนเร็วกว่า
บึ้ม!
แสงอัสนีระเบิด
เว่ยเหยี่ยนฝืนสะกดความชาหนึบถือดาบเอาไว้ให้มั่น แต่ก็ถูกฟ้าฟาดถอยไปอีกครั้ง
จางหลินชวนก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง ยื่นมืออกมา แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง!
แสงทองแทบจะไร้จุดสิ้นสุดท่วมจมเขาจนมิดทันที
นั่นเป็นวิชาเต๋าชั้นหนึ่งระดับล่างที่วางเอาไว้ตรงนั้น เว่ยเหยี่ยนใช้ตัวเองเป็นสื่อนำ ค่ายกลสังหารแสงทอง
วิชาชุดนี้มีความยอดเยี่ยมคล้ายกับวิชาต่อสู้ที่จางหลินชวนใช้สู้กับหลินเจิ้งเหรินบนการประลองสามเมืองเสวนาเต๋า
ล้วนเป็นการวิเคราะห์ล่วงหน้า
ในขณะเดียวกับที่ค่ายกลแสงทองระเบิด ก็มีธนูแสงทองนับไม่ถ้วนปรากฏปุบปับขึ้นบนท้องฟ้า ส่งเสียงคำรามพุ่งเข้ามาในค่ายกลแสงทอง
เป้าหมายของธนูแสงทองทุกดอกคือจางหลินชวน
เมืองเฟิงหลิน ณ ตอนนี้ ณ เสี้ยวขณะนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ธนูแสงทองให้ได้ผลแบบนี้ ผู้ที่เคยอยู่ในอันดับที่ห้าของกระดานแต้มเต๋า เสิ่นหนานชี!
ไม่รู้ว่าเขาไล่ตามมายังสนามรบตั้งแต่เมื่อไร แต่การโจมตีนี้เห็นได้ชัดว่าสะสมพลังมานานแล้ว
พลังทั้งสองสอดประสานซ้อนทับ เกิดเป็นสุดยอดการสังหารทันที
……
แสงทองสลายไป โครงกระดูกมหึมา ณ ที่ตรงนั้นยืนขึ้นช้าๆ
มือกระดูกแบออก จางหลินชวนก็เดินลงมาจากบนนั้น ไม่บาดเจ็บอะไรเลย
เขาก้าวเดินกลางอากาศ เดินลงมาทีละก้าวๆ โครงกระดูกมหึมาค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย
วิชาอัสนีเป็นเพียงแค่การอำพรางตอนอยู่สำนักเต๋าเท่านั้น วิชาที่เขาใช้ได้อย่างแข็งแกร่งที่สุดก็คือวิชาเต๋ายมโลกของพรรคกระดูกขาว
“ไม่เลวนี่ เสิ่นหนานชี ในที่สุดเจ้าก็เปิดประตูฟ้าดินได้”
ปากชื่นชม แต่ดวงตาใต้หน้ากากของจางหลินชวนกลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
สองมือจู่ๆ ก็ดึงไปข้างนอก ประตูกระดูกขาวบานหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคำรามอยู่แว่วๆ คำรามอยู่กลางอากาศ
“ไสหัวไป! เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
เว่ยเหยี่ยนคว้าเสิ่นหนานชีเอาไว้ ในขณะเดียวกับที่เหวี่ยงเขาไปข้างหลัง ก็ถือดาบพุ่งไปข้างหน้า
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสิ่นหนานชีจะปรากฏตัวขึ้น
ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเสิ่นหนานชีจะลงมือช่วยเขา
ตอนนั้นเขาเลือกที่จะทอดทิ้งสหายของพวกเขา ก็เท่ากับว่าทิ้งมิตรภาพของทั้งสามคนไปแล้ว
เขาไม่เสียใจ
หากตอนนั้นคนที่ประสบกับอันตรายเป็นเสิ่นหนานชี เขาก็ยังคงตัดสินใจแบบเดิม
เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูก
เทียบกับตายด้วยกันแล้ว ไม่สู้ตายน้อยลงไปคนหนึ่ง นับเป็นคนหนึ่ง
เขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ดังนั้นเขาก็รู้ตัวแล้วว่าจะถูกเสิ่นหนานชีเกลียดไปจนตาย
ดังนั้น หากวันนี้เสิ่นหนานชีเห็นภาพนี้แล้วเลือกที่จะเดินจากไป เขาก็ไม่รู้สึกผิดคาด และไม่ผิดหวังเลยเด็ดขาด
สำหรับเรื่องละทิ้งและถูกทิ้ง เรื่องแบบนี้เขาเข้าใจได้อย่างดี
ในเมื่อจางหลินชวนในสภาวะแบบนี้แข็งแกร่งเกินไป
ความแตกต่างของขอบเขตมังกรทะยานกับขอบเขตเบิกคลังไม่จำเป็นต้องพูดถึง เขากระทั่งยังไม่รู้ว่าจางหลินชวนมีกลวิชาอภินิหารอะไรของตัวเองหรือไม่ เขายังบีบจางหลินชวนไม่ถึงขั้นนั้น
ด้วยเหตุนี้ อันที่จริง ในเสี้ยวพริบตาที่เห็นเว่ยชวี่จี๋ถูกสังหาร เขาก็ควรจะหนีไป แบบนั้นถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด
เพราะจากการรบตายของเว่ยชวี่จี๋ โอกาสรางเลือนสุดท้ายของเมืองเฟิงหลินทั้งเมืองก็ดับสลายแล้ว
เดิมเขาควรตัดสินใจแบบนั้น
เขาตัดสินใจแบบนั้นมาโดยตลอด
เขาเกลียดแค้นชิงชังเว่ยชวี่จี๋สุดหัวใจ แต่กลับไม่รู้ตัวว่าได้รับอิทธิพลจากเขา
เขาเกลียดเว่ยชวี่จี๋ แต่กลับกลายเป็นเว่ยชวี่จี๋
แต่วันนี้เขากลับชักดาบออกมา
เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
เดินไปตายไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำเด็ดขาด
แต่ครั้งนี้หากไม่ชักดาบ วายุเหมันต์เหมือนว่าจะไม่มีโอกาสได้ออกจากฝักอีกแล้ว
ครั้งนี้หากไม่เดินไปตาย เขาเหมือนว่าจะทรมานกว่าตายเสียอีก
ใจของเขาทั้งๆ ที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้
เขาชี้วายุเหมันต์ลง ลากดาบพุ่งไปข้างหน้า
เขาแอบพูดในใจว่า
ขอโทษด้วย บางทีการเลือกของข้ามักจะเย็นชาไร้จิตใจนัก
แต่นี่เป็นวิธีการเลือกที่ข้าเรียนรู้มา
ข้าก็ถูกเลือกแบบนี้ มารดาของข้าตายจากการเลือกเช่นนี้
ในที่สุดครั้งนี้ข้าได้ทำการเลือกที่น่าขบขันที่สุด แต่แปลกนัก ข้าไม่ได้หัวเราะ
ข้าไม่ได้หัวเราะ
เขาคิด
เขาพลันลากแสงดาบ ประดุจผืนน้ำตก ประดุจจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่ง ลอยกลางท้องนภา!
ตอนนี้เขาได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง ไล่ตามมายังข้างหู
“เจ้าสนใจบิดาได้หรืออย่างไร”
เป็นเสียงของเสิ่นหนานชี
………………………………………………………