ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 28 มาจากส่วนลึกของนรก
ที่ตำบลเสี่ยวหลิน เจ้าหรู่เฉิงกับตู้เหยี่ยหู่สูญเสียพลังต่อสู้ไป หลิงเหอกำลังแบกเจ้าหรู่เฉิงไว้ ระหว่างทางที่กลับไปยังทิศกลางจึงมีเพียงเจียงวั่งที่ลงมือได้ ยังดีที่เวลานี้เขามีประสบการณ์การรับมือกับวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นแล้ว และเชี่ยวชาญกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพามากขึ้นเรื่อยๆ ในการต่อสู้เช่นนี้
ปัญหาเรื่องพลังกายไม่น่ากังวล นับตั้งแต่กลับมาจากตำบลถังเส่อ ฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรมาถึงตอนนี้ รากพลังเต๋าที่เขารวมได้มีเจ็ดสิบกว่าเม็ดแล้ว แม้จะเสียไปเมื่อใช้งานก่อนที่กระแสวนเต๋าจะก่อตัว แต่เมื่อช่วงวิกฤตจริงๆ รากพลังเต๋าทุกเม็ดล้วนสามารถตอบสนองเขาได้อย่างเพียงพอ แรงกดดันในการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้จึงไม่มากนัก แท้จริงแล้วรากพลังเต๋าเหล่านี้เองที่เป็นไพ่ตายให้เขาตัดสินใจมาทำลายทิศซวิ่นกันสี่คน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าหรูเฉิ่งจะเจอสถานการณ์อันตรายกะทันหัน ส่วนตู้เหยี่ยหู่ก็เด็ดเดี่ยวเช่นนี้อีก
“ข้าว่านะ พวกท่านเลิกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาได้แล้ว” เดินทางไปพักหนึ่ง เจ้าหรู่เฉิงก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ก็แค่ใช้เลือดลมมากเกินไปไม่ใช่รึ ใช่ว่าจะไม่มีทางชดเชยกลับมาเสียหน่อย”
“วิธีอะไร” ตู้เหยี่ยหู่ยังไม่ทันพูดอะไร หลิงเหอกลับตื่นเต้นก่อนแล้ว พลิกจับมือของเจ้าหรู่เฉิงก่อนเขย่าเขาแรงๆ “เจ้ารีบพูดมา”
เจียงวั่งว่างจากจัดการวิญญาณเร่ร่อน ก็อดเหลือบมองเขาผาดหนึ่งไม่ได้ อยากจะแทงสักสองกระบี่จริงๆ เจ้าเด็กคนนี้มีวิธีก็ไม่รีบบอก เก็บเอาไว้อยู่ได้
“อ๊ะๆๆ ท่านเขย่าจนหน้าหล่อๆ ของข้าสั่นไปหมดแล้ว” ไม่ง่ายเลยว่าเจ้าหรู่เฉิงจะปลอบ ‘เก้าอี้ชั่วคราว’ นี้ให้สงบลงได้ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “ข้ารู้มาพอดีว่า หลายวันก่อนหน้านี้มีคนซื้อลูกกลอนเสริมพลังปราณจากรัฐอวิ๋นมาในราคาสูง กำลังคิดจะขายต่อพอดี ลูกกลอนนี้มีสรรพคุณหล่อเลี้ยงเลือดลม ทำให้รากฐานมั่นคงได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกชนชั้นสูงบางส่วนจะกินลูกกลอนเสริมพลังปราณไปหนึ่งเม็ดก่อนเปิดชีพจร เช่นนี้วิญญาณแท้ในชีพจรเต๋าหลังจากเปิดชีพจรแล้วก็จะยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีก! ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่ตู้เหยี่ยหู่เลือดลมเสียหายหนักเลย
แต่ก็ยังไม่รู้ว่า…” เขายกมุมปากขึ้น “ใครบางคนจะยอมซื้อหรือไม่”
ตู้เหยี่ยหู่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนโพล่งออกมาว่า “ข้าไม่มีเงิน”
“ท่านยืมเงินข้าก่อนได้นะ ตามกฎในวงการ ออกให้เก้าคืนมาสิบสาม” เจ้าหรู่เฉิงยิ้มตาหยีตอบกลับ
“เงินกู้ดอกเบี้ยสูงสินะ พี่หู่ชอบกู้ดอกเบี้ยสูง” ตู้เหยี่ยหู่ดูเหมือนยิ้มอย่างจริงใจ
“เอาละๆ” เจียงวั่งเริ่มเหนื่อยหน่าย กิจการเงินกู้ดอกเบี้ยสูงทั่วเมืองเฟิงหลิน มีใครไม่รู้บ้างว่าตู้เหยี่ยหู่ขึ้นชื่อเรื่องกู้แล้วไม่คืน ถ้าเอ่ยโดยใช้คำพูดของตู้เหยี่ยหู่คือ ถึงอย่างไรคนทำกิจการเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอย่างพวกเจ้าก็ไม่มีใครดีอยู่แล้ว หลอกเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาร่ำสุราก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ติดที่เขาเป็นคนของสำนักเต๋า ป่านนี้ถูกโยนลงคูเมืองไปนานแล้ว
“เจ้าห้า แล้วคนคนนั้นคือใคร ต้องใช้เงินสักแค่ไหนถึงจะซื้อมาได้”
เจียงวั่งแอบตัดสินใจไว้แล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นเสนอราคาสูงแค่ไหน เขาก็จะหาวิธีรวบรวมเงินมาให้พอ
“คนที่ซื้อลูกกลอนเสริมพลังปราณนี้มาได้ก็แซ่เจ้าเหมือนกัน ท่านว่าบังเอิญหรือไม่” เจ้าหรู่เฉิงถอนใจอย่างเสแสร้ง “ที่บังเอิญกว่าก็คือ เขายังเป็นคนในคฤหาสน์ของข้าเสียด้วย บังเอิญเกินไปแล้ว!”
เจียงวั่งสูดลมหายใจลึก พยายามข่มใจตัวเองไว้ น้องห้ากำลังบาดเจ็บหนัก ถ้าโดนทุบตีถึงตายได้โดยง่าย เช่นนี้เขาจึงจะระงับอารมณ์ชั่ววูบที่อยากซัดคนเอาไว้ได้
เจ้าเด็กนี่ชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่นาน เพื่อแค่จะบอกว่าที่บ้านตัวเองมีลูกกลอนเสริมพลังปราณอยู่เม็ดหนึ่ง ชดเชยพลังที่เสียไปให้ตู้เหยี่ยหู่ได้ แค่ประโยคเดียวนี้ กลับยั่วน้ำลายพวกพี่ชายอยู่ตั้งนานสองนาน
ขนาดหลิงเหอที่เป็นคนใจกว้างก็ยังรู้สึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทว่าเมื่อมีหลักประกันเช่นนี้ ทุกคนก็สบายใจขึ้นมาก ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็กลับมาถึงตำแหน่งทิศกลางพอดี
หลีเจี้ยนชิวกับเจ้าหล่างกลับมารอที่นี่ก่อนแล้ว กำลังหารืออะไรบางอย่างกับหวางฉางเสียง ตรงนั้นยังมีศิษย์พี่น้องคนอื่นอยู่อีกบางส่วน สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ส่วนเว่ยเหยี่ยนออกไปจัดการกับทิศตุ้ย ซึ่งเป็นจุดค่ายกลตำแหน่งเดียวที่ยังไม่ถูกทำลาย
“ศิษย์น้องเจียงทำได้ไม่เลว” หลีเจี้ยนชิวทักทายไปตามปาก
หวางฉางเสียงก็พยักหน้าให้เขา
“น่าละอายนัก ล้วนเป็นฝีมือของพี่เหยี่ยหู่กับหรู่เฉิงทั้งนั้น” เจียงวั่งตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
เมื่ออยู่เบื้องหน้ากำลังหลักเหล่านี้ เขายอมทิ้งคุณงามความดีโดยไม่ลังเล สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการให้พวกเขาเปิดชีพจรสำเร็จ ส่วนเหตุที่ไม่ได้พูดถึงหลิงเหอ นั่นก็เพราะสภาพของตู้เหยี่ยหู่กับเจ้าหรู่เฉิงชวนให้เชื่อได้มากกว่า
หลิงเหอเองก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย
พวกหลีเจี้ยนชิวล้วนเป็นผู้ที่ผ่านศึกมานับร้อย พอเห็นก็รู้ว่าตู้เหยี่ยหู่อยู่ในสภาพเช่นไร และยังแอบตกใจกับความแข็งแกร่งของเลือดลมเขาด้วย
“รอให้เว่ยเหยี่ยนกลับมาก่อน พวกเราจะตรงเข้าไปในทิศกลาง” หวางฉางเสียงกล่าว “ครั้งนี้ทุกคนขจัดความชั่วร้ายอย่างกล้าหาญ สร้างผลงานน่าชื่นชม เมืองเฟิงหลินจะไม่มีทางลืมคุณูปการของพวกเจ้า สำนักเต๋าก็จะไม่ลืมคุณงามความดีของพวกเจ้าด้วย”
“ถูกต้อง!” ระหว่างที่พูดคุย เว่ยเหยี่ยนเดินออกมาจากหมอกหนา ด้านหลังมีศิษย์สำนักเต๋าตามมาสามคน ยังมีศิษย์อีกสองคนที่ไม่ปรากฏตัว ดูท่าทางจะโชคไม่ดีแล้ว
การต่อสู้ดุเดือดไม่ใช่แค่ตำแหน่งทิศซวิ่น นอกจากเว่ยเหยี่ยนกับหลีเจี้ยนชิวที่แทบจะจัดการวิญญาณแค้นได้โดยไม่เกิดการสูญเสีย กลุ่มอื่นๆ ล้วนบาดเจ็บล้มตาย มีจำนวนคนตายสิบเอ็ดคน อัตราการรบตายเกือบครึ่ง! คนที่รอดชีวิตบาดเจ็บแทบทั้งหมด ขนาดเจ้าหล่างเองก็ยังเกือบโดนฉีกไส้แหวกพุง ช่วงท้องมีบาดแผลน่ากลัวเหลืออยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะหวางฉางเสียงที่คอยดูแลอยู่ในทิศกลางแบ่งงานอย่างทันท่วงที การแบ่งกลุ่มปฏิบัติการครั้งนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
เว่ยเหยี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ศึกนี้หากสามารถกลับไปได้ ข้าจะไปขอคุณความดีให้ทุกคนเป็นอย่างแรก อันตรายของศึกครั้งนี้คือสิ่งที่ข้าคิดไม่ถึง แต่ตอนนี้กำลังต่อสู้ในเมืองเฟิงหลินนั้นว่างเปล่า มีเพียงทุกคนที่จัดการศึกนี้ได้” ครั้นพูดถึงจุดนี้ เขาโค้งกายลงคารวะครั้งหนึ่ง “ข้าขอเป็นตัวแทนดวงวิญญาณที่ตายในตำบลเสี่ยวหลิน เป็นตัวแทนประชาชนทุกคนในเมืองเฟิงหลิน ขอบคุณทุกคนที่ยอมหลั่งเลือด!”
“ศิษย์พี่เว่ยกล่าวเกินไปแล้ว” หลีเจี้ยนชิวบอก
ทุกคนทยอยกันหันข้าง ไม่กล้ารับการคารวะนี้
“แม่ทัพเว่ยกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร ท่านเป็นคนเมืองเฟิงหลิน แล้วพวกข้าไม่ได้เติบใหญ่ที่นี่ด้วยหรือไร” เป็นตู้เหยี่ยหู่ที่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “อย่าถ่อมตนมากพิธีที่นี่เลย เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้!”
ถึงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ คนผู้นี้ก็ยังไม่เก็บงำความห้าวหาญเอาไว้
เว่ยเหยี่ยนมองเขาอย่างลึกล้ำผาดหนึ่ง จากนั้นชูดาบหันไป “ศิษย์น้องคนนี้พูดถูกแล้ว ทุกคนบุกทะลวงตามข้ามา! พวกเราไปดูกันสักหน่อย ผู้ที่มาทำร้ายชาวบ้านของพวกเราเป็นปีศาจตนใดกันแน่!”
ทิศทั้งแปดถูกทำลาย กำแพงหมอกตรงตำแหน่งทิศกลางก็สูญเสียรากฐานและพังทลายอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่กีดขวางเส้นทางอีกต่อไป มีแค่หมอกหนาที่ยังไม่สลายไปไหน ยังคงบดบังสายตาอยู่ตลอด
เว่ยเหยี่ยนนำหน้า หลีเจี้ยนชิวกับหวางฉางเสียงคุ้มกันเขาอยู่ทางซ้ายขวา เจ้าหล่างแม้จะบาดเจ็บ แต่พลังต่อสู้ส่วนใหญ่ยังดีอยู่ จึงคอยคุมท้ายขบวน กลุ่มคนทั้งหมดพุ่งเข้าไปสำรวจทิศกลางอย่างตื่นตัวเต็มที่
เรื่องดำเนินมาจนถึงบัดนี้ อันตรายในตำบลเสี่ยวหลินไม่จำเป็นต้องพูดให้มากอีก เมื่อได้ผ่านภยันตรายจากการสังหารวิญญาณแค้นแปดทิศ คนทั้งหลายจินตนาการถึงความเหี้ยมโหดชั่วร้ายในทิศกลางเอาไว้แล้วเรียบร้อย
ปีศาจที่เข้ามาทำชั่วในตำบลเสี่ยวหลิน ถ้ามีแผนการอะไรก็ต้องอยู่ที่ตำแหน่งใจกลางนี้แน่นอน
คนกลุ่มนี้พูดได้ว่าเป็นตัวแทนความหวังของคนหนุ่มสาวในเมืองเฟิงหลิน หากทั้งหมดสู้จนตัวตายที่นี่ ก็กล่าวได้เลยว่าทั้งสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินจะขาดแคลนกำลังคนนับจากนี้
แต่ไม่มีใครสักคนพูดว่าจะถอยกลับ หนทางข้างหน้าอันตรายและน่ากลัวก็จริง ทว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา!
พวกเขาเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ ร่ำเรียนที่นี่ และก็ยอมตายที่นี่
นอกจากเจ้าหรู่เฉิงกับตู้เหยี่ยหู่แล้ว ยังมีศิษย์สำนักเต๋าอีกสามคนที่หมดพลังต่อสู้ ตำบลเสี่ยวหลินอันตรายถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าจะทิ้งพวกเขาไว้ที่เดิมไม่ได้ ดังนั้นหลิงเหอจึงยังแบกเจ้าหรู่เฉิงอยู่กลางขบวน หวงอาจ้านในฐานะที่เป็นสหายร่ำสุราของตู้เหยี่ยหู่ ก็ปกป้องอยู่ข้างกายเขาเช่นกัน
แตกต่างจากตู้เหยี่ยหู่ที่แทบจะทรุดลงไปแล้ว หวงอาจ้านกลับมีชีวิตชีวา ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จะเห็นได้ว่ายังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ไม่ได้มีแต่ความเจ้าชู้เสเพลเท่านั้น
ทั้งคณะมุ่งตรงไปด้านหน้า จู่ๆ หวงอาจ้านก็หยุดฝีเท้าลง เขาทำจมูกฟุดฟิดแรงๆ “ข้าได้กลิ่นหอมจรุง”
ทุกคนหยุดลงชั่วคราวด้วยเหตุนี้
เขาเอ่ยต่อว่า “เป็นกลิ่นเครื่องหอมของสตรี…ไม่สิ เป็นกลิ่นหอมจากร่างกาย”
กลุ่มคนพากันมองดู
เขาเสริมอีกว่า “เป็นสาวงามเสียด้วย”
ตู้เหยี่ยหู่เอ่ยอย่างเคืองๆ “เจ้ามันจมูกสุนัขหรือไร”
“อ๋า! ผีสาวทรงเสน่ห์!” เจ้าหรู่เฉิงตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ข้าบอกแล้วไงว่ามี? ตู้เหยี่ยหู่ ท่านไปหาสาวงามด้วยกันกับข้าเถอะ!”
ไม่มีใครสนใจตัวตลกสองคนนี้ เพราะว่าพวกเขาเดินมาถึงใจกลางของตำบลเสี่ยวหลินแล้ว และมองเห็นคลื่นวนขนาดยักษ์ที่กำลังหมุนวนอยู่
นอกเหนือจากนี้ ทั่วทั้งทิศกลางก็ไม่มีอะไรอยู่อีก
สตรีชุดแดง ชายชราผมขาว และผู้ฝึกตนชุดดำเหล่านั้น ราวกับไม่เคยปรากฏกายขึ้นที่นี่
ไม่ใช่เพียงแค่ไม่มีพวกเขา แต่ยังไม่มีคน ไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่มีกระทั่งอิฐกระเบื้อง นอกจากหมอกหนาอันไร้ที่สิ้นสุด ก็มีแต่คลื่นวนขนาดใหญ่ที่แปลกประหลาดและโดดเดี่ยวเท่านั้น
“ทางการของที่นี่ทำไมไม่อยู่แล้ว แล้วคลื่นวนนี่มันอะไรกัน”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ มีเพียงหวางฉางเสียงที่เบิกตากว้าง รู้สึกพรั่นพรึงอย่างอธิบายไม่ถูก!
“ศิษย์น้องหวังรู้จักหรือ” เว่ยเหยี่ยนถือดาบเตรียมพร้อมพลางถามเสียงหนัก
แต่คำถามของเขาก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว
เพราะในความดำมืดอันลึกล้ำใจกลางคลื่นวน วัตถุดำทะมึนอย่างหนึ่งโผล่ออกมาช้าๆ
มองเห็นสีดำทะมึนในความมืดมิด นี่เป็นคำบรรยายที่ฟังแล้วไม่เข้ากันนัก แต่ว่าเรื่องเป็นเช่นนี้จริง
วัตถุสีดำทะมึนในความมืดนั้นราวกับเป็นศูนย์กลางของความมืดมิด แต่ก็ทำให้คนทั้งหมดมองเห็นรูปร่างของมันอย่างชัดเจนได้ เมื่อมันโผล่ออกมาทีละน้อยจากในกระแสวน รูปร่างทั้งหมดก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาเบื้องหน้าทุกคน
นั่นคือซุ้มประตูที่ทำจากหินบานหนึ่ง สร้างออกมาไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการนัก เป็นรูปแบบสามบานสี่เสาเจ็ดชั้นเท่านั้น ถ้าหากมองข้ามความดำสนิทนั้น และมองข้ามฉากการปรากฏตัวของมันไป ก็แทบไม่ต่างอะไรจากซุ้มประตูที่พบเห็นได้บ่อยๆ เหล่านั้นเลย
ทว่าป้ายชื่อตรงกลางของซุ้มประตูนี้กลับพิเศษไม่ธรรมดา
ด้านบนเขียนอักษรไว้สามตัว คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครรู้จักอักษรนี้ แต่พอทุกคนได้เห็นก็เข้าใจความหมายของมันในทันที
ด่าน-ประตู-ผี!
……………………………………….