ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 3 แค้นนี้ยากจะชดใช้ (2)
ฟางเผิงจวี่ในชุดผ้าไหมหรูหรายิ้มพลางเดินขึ้นมาด้านหน้า “กลับมาก็ดีแล้ว หลายวันนี้ทุกคนเป็นห่วงท่านกันมาก”
“ใช่แล้ว” เจียงวั่งก็ยิ้มเช่นเดียวกัน “หาศพไม่เจอ เจ้าจะไม่กังวลได้อย่างไร”
ฟางเผิงจวี่เปลี่ยนสีหน้า “ประโยคนี้ของท่านหมายความว่าอะไร หลังจากที่ท่านเกิดเรื่อง ข้าก็ร้อนใจเหมือนมีไฟเผา! ส่งคนออกไปตามหาท่านจนทั่ว!”
เจียงวั่งเอ่ยขึ้นเบาๆ “ดังนั้นจนถึงวันนี้ ข้าถึงเพิ่งจะกล้าเผยตัวออกมา”
“เจียงวั่ง! คนที่เล่นงานท่านคือเศษเดนโจรชั่วจากเขาประจิม เรื่องนี้ทุกคนรู้กันถ้วนทั่ว! หรือว่าท่านสงสัยในตัวข้า” ฟางเผิงจวี่หน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าทั้งตกใจทั้งโกรธ “พวกเราห้าจอมยุทธ์แห่งเฟิงหลินสนิทกันเหมือนพี่น้อง! ท่านไปฟังเรื่องเหลวไหลอะไรมาใช่หรือไม่”
หลิงเหอ ตู้เหยี่ยหู่ เจียงวั่ง ฟางเผิงจวี่ เจ้าหรู่เฉิง ห้าคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่ศิษย์สายนอกของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน เพราะนิสัยใจคอเข้ากันได้ สนิทสนมรู้ใจกัน จึงมักจะร่วมมือกันออกกวาดล้างโจรผู้ร้าย จนถูกเรียกว่าห้าจอมยุทธ์แห่งเฟิงหลิน
ครั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา ศิษย์สายนอกที่เข้ามาต้อนรับเจียงวั่งก็เริ่มไม่สบายใจ
“หรือว่าฟางเผิงจวี่จะทำร้ายเจียงวั่ง”
“อย่าพูดจาซี้ซั้ว ฟางเผิงจวี่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีคุณธรรม จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ต้องเข้าใจผิดกันแน่ๆ!”
“ข้าว่าไม่ใช่นะ…ศิษย์พี่เจียงไม่ใช่คนโง่ที่จะยอมให้คนอื่นปั่นหัวเล่นเสียหน่อย”
ทุกคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“ล้วนเป็นพี่น้องสำนักเดียวกันทั้งนั้น เจ้าอย่ามาพูดมั่วซั่ว!” ตู้เหยี่ยหู่จ้องเขม็งที่เจียงวั่ง สีหน้าร้อนรนอย่างมาก เขามีลางสังหรณ์ไม่ดียิ่งนัก แต่ก็ไม่มีวิธีหยุดเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
หลิงเหอคิดสักครู่ ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าว “น้องสาม ช่วงที่ผ่านมาเจ้าคงจะผ่านอะไรมาเยอะ ลำบากมามาก ไม่สู้ไปพักผ่อนเสียก่อนดีกว่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักสายในแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ของทั้งชีวิต จะต้องรับมืออย่างรอบคอบ เจ้าพวกโจรชั่วเขาประจิมถูกพวกเราร่วมมือกันสังหารหมดแล้ว หากเรื่องนี้ยังมีลับลมคมในอะไรอีก ก็ค่อยๆ สะสางไปได้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม รู้สึกเคียดแค้น พวกเราพี่น้องจะช่วยเหลือเจ้าแน่ ต่อให้อาละวาดไปจนถึงสำนักเต๋าระดับเขตปกครองหรือสำนักเต๋าระดับรัฐก็ถึงไหนถึงกัน!
แต่เผิงจวี่เป็นพี่น้องที่ร่วมดื่มเลือดสาบานกัน ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ บางทีอาจจะมีคนยุยงอยู่ภายใน…”
“พี่ใหญ่” เจียงวั่งตัดบทเขา “ข้าเคยพูดจาเหลวไหลตอนไหนกัน เรื่องความสัมพันธ์พี่น้อง ข้าเองก็ให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าท่าน วันนี้ที่ข้าพูดเช่นนี้ นั่นก็เพราะเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ”
“ฟางเผิงจวี่!” เจียงวั่งหันหน้าไปมองชายหนุ่มในชุดผ้าไหม ยื่นมือชี้ไปหา “ข้าหวังว่าหลังจากที่เจ้าเปิดหีบใบนี้แล้ว เจ้าจะยังพูดจาหนักแน่นเช่นนี้อยู่อีก!”
ตอนนี้เองทุกคนถึงจะสังเกตเห็นว่าด้านหลังเจียงวั่งมีหีบใบใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่
“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าฟางเผิงจวี่ไม่มีวันที่จะทำร้ายสหายด้วยกัน!” ฟางเผิงจวี่อึ้งไปชั่วพริบตาหนึ่งก็เอ่ยต่ออย่างใจกว้าง “ข้าขอดูกับตาหน่อย หลักฐานอะไรที่ทำให้พี่สามสงสัยพี่น้องของตัวเองได้!”
เขาก้าวยาวๆ เดินไปด้านนอกสำนัก ชักกระบี่ยาวออกมาจากข้างเอว และเปิดฝาหีบออกด้วยกระบี่!
ในหีบมีร่างคนที่ถูกมัดมือมัดเท้าเผยออกมา ปากถูกยัดเศษผ้าเอาไว้ หลังจากเห็นฟางเผิงจวี่สีหน้าก็ร้อนรนเป็นที่สุด ร้องอู้อี้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ตู้เหยี่ยหู่กับหลิงเหอก็นิ่งเงียบไป พวกเขาจำได้ว่านี่คือฟางเต๋อไฉข้ารับใช้คนสนิทของฟางเผิงจวี่
“จดหมายที่ทาสบ้านเจ้าคนนี้ส่งมาในวันนั้น บอกว่าเจ้านัดข้าไปร่ำสุราที่หอชมจันทร์ ตอนที่ข้าไปถึงเจ้ายังไม่มา เขาบอกให้ข้าดื่มไปก่อน ลองชิมสุราชั้นเลิศที่เจ้าส่งมาให้เป็นพิเศษ ในสุรานั้นมีพิษ…พิษหยินหยางสลายสองฟากฝั่ง
ตอนที่พิษเริ่มกำเริบ ก็มีโจรภูเขาพังประตูเข้ามาโจมตี…ข้าสังหารโจรชั่วเขาประจิมด้วยมือตนเอง ไม่คิดเลยว่าเกือบจะถูกกลุ่มเศษเดนโจรชั่วสังหารในเมืองเฟิงหลินนี้!”
เสียงของเจียงวั่งดั่งขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ดังนั้นสิ่งแรกที่ข้าทำหลังจากที่ฟื้นตัว ก็คือตามหาตัวฟางเต๋อไฉ”
ฟางเผิงจวี่เงียบไปอึดใจเดียวเท่านั้น ต่อมาก็ฟันกระบี่ยาวไปอย่างรวดเร็ว!
“เจ้าเดรัจฉาน! ตระกูลฟางของข้าเลี้ยงเจ้ามาอย่างดี เจ้ากลับกล้าสมคบคิดกับโจรภูเขา ปลอมแปลงจดหมายแล้วทำร้ายพี่สามของข้า!”
กระบี่นี้ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ เลือดสดซ่านกระเซ็น ฟางเต๋อไฉชักกระตุกอย่างรุนแรง ส่งเสียงอึกอักในลำคอไม่กี่ทีก็แน่นิ่งไปเหมือนสุนัขขาดใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ทันได้แก้ตัวอะไรให้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ฟางเผิงจวี่!” ที่นี่ไม่มีใครโง่ ตู้เหยี่ยหู่ถึงแม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่เขลา นี่ยิ่งทำให้เขาเบิกตากว้าง ความโกรธพลุ่งพล่าน
“พี่รอง” ฟางเผิงจวี่ลดกระบี่ยาวที่มีเลือดหยดลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ข้า…บันดาลโทสะไปชั่ววูบ ข้าแค่คิดจะสังหารเดรัจฉานนี่แทนพี่สามเท่านั้น!”
“ไม่เป็นไร” เจียงวั่งชมฟางเผิงจวี่แสดงละครจนจบ จากนั้นจึงล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ด้านบนมีตัวอักษรถี่ยิบเขียนเอาไว้ “นี่คือคำสารภาพพร้อมการลงนามของฟางเต๋อไฉ เผิงจวี่จะดูหรือไม่”
“เคร้ง!”
ฟางเผิงจวี่ปล่อยกระบี่ยาวในมือ คุกเข่าลงอย่างแรง “ข้าไม่ต้องดูก็รู้ว่าบนนั้นเขียนอะไรไว้ พูดได้เพียงว่าโจรชั่วเขาประจิมมีใจหมายจะทำลายพวกเราอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าจ่ายอะไรให้ เจ้าเดรัจฉานเต๋อไฉถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้! แต่ว่าพี่สาม ท่านต้องเชื่อข้า ข้าเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร เคยทำพฤติกรรมชั่วช้าเสียที่ไหน ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีสาเหตุจากอะไร ตระกูลฟางของข้าจะให้คำอธิบายกับท่านอย่างแน่นอน ข้าจะตั้งเงินรางวัลหลักหมื่น ต้องกำจัดพวกโจรชั่วในรัศมีร้อยลี้ให้สิ้นเพื่อลบล้างความแค้นของพี่สาม!”
ในฝูงชนมีศิษย์สายนอกพูดขึ้นว่า “จริงด้วยศิษย์พี่เจียง พวกท่านห้าจอมยุทธ์เฟิงหลินล้วนเป็นยอดบุรุษ เป็นความภาคภูมิใจของศิษย์สายนอกแห่งสำนักเต๋าเฟิงหลิน อย่าได้ถูกพวกคนชั่วยุยงโดยเด็ดขาด!”
“มารดาของข้าเคยป่วยหนัก ก็ได้ศิษย์พี่ฟางใจกว้างออกเงินช่วยเหลือ ข้าเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น”
ยังมีคนถ่มน้ำลายใส่ศพของฟางเต๋อไฉด้วย “ข้ารับใช้ชั่วช้าพวกนี้ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย สุดท้ายยังทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่ฟางแปดเปื้อน ทำลายความสัมพันธ์พี่น้องของห้าจอมยุทธ์เฟิงหลินอีก ถ้ายังมีชีวิตอยู่ละก็ ข้าจะฟันมันเป็นพันหมื่นชิ้น!”
“ทุกคนไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ!” ฟางเผิงจวี่โบกมือหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน ก่อนเดินด้วยเข่าเข้าไปพลางมองเจียงวั่งอย่างจริงใจ “หลังจากที่พี่สามหายตัวไป ข้าก็พาคนออกไปค้นหาทั่วทุกที่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปหลายครั้ง! ความรู้สึกที่ข้ามีให้พี่สามใครๆ ก็รู้กัน ฟ้าดินเป็นพยานได้! ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไว้วางใจเต๋อไฉ และพี่สามเองก็เชื่อในตัวข้า เจ้าเดรัจฉานนี่จะมีโอกาสทำชั่วได้อย่างไร ความผิดทั้งหมดอยู่ที่ข้า ข้ายอมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
ข้ายอมมอบทรัพย์สมบัติส่วนตัวทั้งหมดเพื่อชดใช้ให้ความเจ็บปวดของพี่สาม ข้ายอมรับทัณฑ์แส้เพื่อชดเชยความผิดที่ไปหลงเชื่อคนอื่น ข้ายอมออกกวาดล้างโจรชั่ว สังหารเศษเดนโจรเขาประจิมเพียงลำพัง ถ้าจัดการไม่หมด ข้าก็จะไม่กลับเมือง!
ข้ายินยอมทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อจะชดเชยให้ พี่สามตกอยู่ในอันตรายเกือบเอาชีวิตไม่รอด ความแค้นนี้ยากที่จะชดใช้! เพียงแต่พวกเราพี่น้องอยู่กันที่นี่ ข้าไม่อาจให้อภัยตัวเองได้จริงๆ!”
“ถ้าหาก…” ประโยคสุดท้ายฟางเผิงจวี่แทบจะอธิบายด้วยน้ำตา กัดฟันเอ่ยว่า “ถ้าหากความแค้นของพี่สามยังไม่จางหายโดยง่าย เช่นนั้นก็หยิบกระบี่ยาวเล่มนี้สังหารข้าเสียเถอะ! เผิงจวี่จะไม่กล่าวโทษสักคำ!”
สายตาของคนทั้งหมดจ้องไปที่กระบี่ยาวเปื้อนเลือดที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้น
“ศิษย์พี่ฟางทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
“ข้าเชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของเขา ชายชาตรีจะมาตายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
ในสถานการณ์นี้ ไม่มีคนที่ชมอยู่คนไหนไม่หวั่นไหว พากันพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมา
กระทั่งหลิงเหอก็เอ่ยปากอีกครั้งหลังจากเงียบไปพักใหญ่ “น้องสามน้องสี่ เรื่องนี้…”
เจียงวั่งสะบัดแขนเสื้อที่ขาดวิ่นและเดินตรงเข้าไป “เผิงจวี่ ข้าเคยแบกรับเพื่อเจ้ามาหลายครั้ง เจ้าเองก็เคยออกหน้าให้ข้าหลายครา พวกเราพี่น้องทั้งห้าเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้ว”
ไม่ว่าจะหลิงเหอ ตู้เหยี่ยหู่ หรือว่าเจ้าหรู่เฉิง ทุกคนสะเทือนอารมณ์อยู่ลึกๆ เลือดกับน้ำตาเหล่านั้นที่เคยผ่านมาด้วยกัน วันคืนเหล่านั้นที่ร่วมกันฟันฝ่า ความสุขที่เคยมีมา…มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ
มิตรภาพร่วมเป็นร่วมตาย จะมาจบสิ้นลงด้วยคำพูดสองสามประโยคได้ที่ไหน
“พี่สาม…” ฟางเผิงจวี่ก้มหน้าลง ไม่นานหยาดน้ำตาก็ไหลริน สะอึกสะอื้นโดยไร้เสียง “ความผิดทั้งหมดเป็นเพราะศิษย์น้องเอง ข้าไม่ควรไปเชื่อข้ารับใช้ชั่วจนเกือบจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเช่นนี้เลย!”
“แต่ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้แล้ว…” ได้ยินเพียงเจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “เช่นนั้นพี่สามก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”
……………………………………….