ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 34 เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพ
ตู้เหยี่ยหู่เป็นลูกชายของคนฆ่าสัตว์ เนื่องจากได้รับสารอาหารมากพอ ตั้งแต่เด็กจึงล่ำสันกำยำ มักจะไล่ตีเด็กรุ่นเดียวกันเจ็ดแปดคนด้วยตัวคนเดียว จนได้สมญาว่าอันธพาลน้อยแห่งตำบลตู้เจีย และก็ถูกบิดาทำโทษทุกๆ สองสามวันเพราะเหตุนี้ ยิ่งทุบตียิ่งแข็งแกร่งทรหด
ชื่อนี้ของเขาบิดาใช้เครื่องในหมูถึงสองชั่งเต็มแลกมาจากภิกษุชรารูปหนึ่ง
รัฐจวงมีสำนักเต๋าเป็นศาสนาประจำรัฐ สถานการณ์ของสำนักพุทธย่อมไม่ดีนัก ภิกษุชราดูแลวัดเก่าทรุดโทรมเพียงแห่งเดียวในบริเวณร้อยลี้ อดมื้อกินมื้อ ครั้นเห็นเครื่องในหมูก็เหมือนแมวเห็นปลา ดวงตาส่องแสงทองออกมาแล้ว เหมือนพุทธองค์แสดงปาฏิหาริย์อย่างไรอย่างนั้น
ตู้เหยี่ยหู่ในตอนนั้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเครื่องในหมูสองชั่ง เขาก็อยากกินเหมือนกัน แม้เป็นลูกชายของคนฆ่าสัตว์จะได้กินเนื้อไม่น้อย แต่เศษเนื้อพวกนั้นไม่พอให้เขากินเลย
เขาทั้งร้องทั้งโวยวายพลางบอกว่าไม่อยากได้ชื่อดีๆ อะไร ขอแค่ได้กินเครื่องในหมู ตัวเองชื่อท่อนไม้ชื่อเครื่องในหมูก็ยังได้
เหล่าตู้ผู้เป็นพ่อเสียหน้ายิ่งนัก คว้าลูกชายขึ้นมาฟาด ฟาดจนสุดท้ายตนเองเหนื่อยแล้ว ตู้คนลูกก็ยังกอดเครื่องในหมูสองชั่งนั้นเอาไว้
ภิกษุชราจึงเสนอว่าแบ่งกันคนละครึ่งกับเสี่ยวตู้ได้ ทั้งยังบอกว่าเจ้าเด็กคนนี้แข็งแกร่ง ดื้อรั้นควบคุมยาก ชื่อว่าเหยี่ยหู่ (เสือพยศ) กำลังดี
ตู้เหยี่ยหู่มีชื่อที่เป็นทางการแล้ว แต่ยังคงไม่เป็นโล้เป็นพายทั้งวัน หลังจากที่ได้รู้จักกับภิกษุชรา วันๆ ก็วิ่งตามก้นอีกฝ่ายต้อยๆ ภิกษุชรามีความสามารถรอบด้าน ทั้งทำนายชะตา ขอฝน ขับไล่สิ่งชั่วร้าย วิชาหลอกลวงโป้ปดต่างๆ นานา แต่ตู้เหยี่ยหู่เรียนแค่วิชาดื่มสุรามาจากเขาเท่านั้น
เหล่าตู้กังวลว่าหากไม่ระวังลูกชายจะออกบวช จึงถือมีดเชือดหมูมาดูที่วัดโทรมๆ แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง ดีที่ไม่นานเท่าไรภิกษุชราก็จากไป จากไปอย่างเงียบงัน ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา
ภายหลังวัดทรุดโทรมก็ถูกรื้อทิ้งแล้วสร้างเป็นศาลเจ้าที่แทน
ต่อมาไม่นาน เหล่าตู้ก็เกิดเรื่องขึ้น
ต้นเหตุของเรื่องเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น มือปราบคนหนึ่งในตำบลรู้สึกว่าเนื้อที่ตนซื้อไปไม่ได้น้ำหนักตามที่ซื้อ มาตำหนิเหล่าตู้ว่าขายของน้ำหนักขาดไป ตามหลักแล้วแค่ชดใช้ไปสองตำลึงก็จบแล้ว แต่เหล่าตู้เป็นคนดื้อดึง เขาเงื้อมีดเชือดหมูปักลงบนเขียง บ่งบอกว่าจะไปร้องแรกแหกกระเชอที่ไหนก็เชิญ แต่ถ้าคิดจะเอาเปรียบกันก็ไม่มีทาง
มือปราบคนนั้นเสียหน้า ด้วยความวู่วามจึงแทงออกไปหนึ่งที ผลคือเหล่าตู้ตายคาที่
ตู้ฮูหยินวิ่งไปแจ้งความที่ศาลาว่าการ คดีนี้ความจริงง่ายมาก พยานบุคคลและหลักฐานล้วนมีครบ เสียแต่พี่ชายภรรยาของมือปราบคนนั้นเป็นคนใหญ่คนโตในศาลาว่าการเล็กๆ ของตำบลตู้เจีย
แค่ยัดเงินเล็กน้อย คดีนี้ก็กลายเป็นเหล่าตู้คนฆ่าสัตว์ถือมีดจะฆ่าคน มือปราบจนปัญญาต้องตอบโต้ ทำให้พลั้งมือฆ่าคนตาย สุดท้ายลงโทษด้วยการหักเงินเดือนครึ่งปี
เหล่าตู้ผู้น่าสงสารแม้จะฆ่าหมูมาทั้งชีวิต แต่เขามีความกล้าไปฆ่าคนเสียที่ไหน ตู้ฮูหยินโมโหจนไม่อาจทนได้ จึงโขกศีรษะตายอยู่ในศาลาว่าการ
วันนั้นตู้เหยี่ยหู่พาเด็กกลุ่มหนึ่งไปจับปลาในแม่น้ำที่ตำบลข้างๆ ตอนที่กลับมาถึงบ้านก็ไม่เหลืออยู่แล้ว
เขาจึงถือมีดเชือดหมูเล่มนั้นของเหล่าตู้ บุกเข้าไปในศาลาว่าการตอนกลางวันแสกๆ จากนั้นฟันมือปราบคนนั้นกับพี่ชายภรรยาตายคาโถงศาลาว่าการต่อหน้าทุกคน
ปีนั้นเขาเพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้น
คดีนี้ภายหลังทำให้จวนเจ้าเมืองแตกตื่น หลังจากที่เจ้าเมืองชราตรวจสอบเรื่องนี้แล้วก็ละเว้นโทษให้ตู้เหยี่ยหู่ ทั้งยังรับเขาเข้าสำนักเต๋าเป็นกรณีพิเศษ
นี่ก็คือเรื่องของตู้เหยี่ยหู่ เขานิสัยดื้อดึงมาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ช่วยไม่ได้ บิดามารดาของเขายังหัวแข็งเช่นนี้เลย
……
“วิชายุทธ์…น่าจะให้ท่านมาแล้วกระมัง” เจียงวั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้น
ตู้เหยี่ยหู่ล้วงสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนลงบนโต๊ะตรงหน้าเจียงวั่งตามใจชอบ “นี่ เคล็ดหลอมกายาพยัคฆ์ขาว ยังเป็นเล่มที่ไม่สมบูรณ์ บอกว่าเป็นฉบับที่ใช้กันทั่วในกองทัพ”
วิชายุทธ์ประเภทนี้ย่อมเอาออกมาเผยแพร่ไม่ได้ แต่ตู้เหยี่ยหู่เชื่อว่าเจียงวั่งไม่มีทางทำร้ายเขาเด็ดขาด
เจียงวั่งหยิบวิชายุทธ์สายทหารเล่มนี้ขึ้นมาเปิดดูตามใจ ไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้ามีธุระจะออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง พวกท่านรอข้าสักประเดี๋ยว”
บอกให้เจ้าหรู่เฉิงกับตู้เหยี่ยหู่รู้แล้ว เจียงวั่งก็ลุกขึ้นออกไปด้านนอก สุ่มเลือกห้องที่ไม่มีคนอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วก็ลงกลอนประตู จากนั้นกระตุ้นกุญแจมายาเข้าไปในมิติมายาห้วงจักรวาล
เขาเรียกเวทีแสดงเต๋าออกมา วางตำราวิชาที่ไม่สมบูรณ์เล่มนี้ลงไปแล้วเริ่มอนุมาน แต้มบนนาฬิกาแดดลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบจึงจะหยุด
การอนุมานวิชายุทธ์เล่มนี้ใช้ไปถึงสามพันสี่ร้อยแต้ม แทบจะเป็นสองเท่าของกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา! และก็ถึงขีดจำกัดของเวทีแสดงเต๋าในตอนนี้แล้วเช่นกัน
แน่นอน นี่ก็เป็นเพราะวิชายุทธ์นี้แม้จะเป็นเล่มไม่สมบูรณ์ แต่อย่างไรก็เป็นวิชาฝึกฝนสายทหาร เป็นวิชายุทธ์เหนือมนุษย์ของจริง พื้นฐานดีกว่าเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพามากนัก ขีดสูงสุดย่อมสูงกว่ามากเป็นธรรมดา
รอจนอนุมานเสร็จสิ้น เจียงวั่งก็รับวิชายุทธ์โฉมใหม่มาดู พบว่าไม่ใช่แค่เติมเต็มเนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์ของเคล็ดหลอมกายาพยัคฆ์ขาวเท่านั้น แต่ยังขยายเนื้อหาและพัฒนาด้วย ตอนนี้มีแบ่งเป็นมังกรเขียว พยัคฆ์ขาว วิหคชาด และเต่างูดำรวมสี่บท สุดท้ายสี่สัตว์เทพรวมเป็นหนึ่ง พลังต่างจากก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว
เจียงวั่งออกมาจากมิติมายาห้วงจักรวาล หยิบเคล็ดวิชาออกไป เพิ่งจะผลักประตูเปิดก็เห็นหญิงงามในชุดแดงนางหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู คิ้วตาดำขลับ ระยิบระยับดุจผิวน้ำสารทฤดู เพียงแค่ปรายตามองมาก็มีเสน่ห์เย้ายวนไร้ที่สิ้นสุด
ในดวงตาของนางแฝงไว้ด้วยอารมณ์ ริมฝีปากแดงขยับเล็กน้อยเหมือนจะพูดอะไร
“ขอทางด้วย” เจียงวั่งเดินผ่านนางไป
ไม่ใช่ว่าเจียงวั่งไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึกของหนุ่มสาว แต่เขาเพิ่งออกมาจากมิติมายาห้วงจักรวาล จึงลนลานเหมือนเกือบถูกใครล่วงรู้ความลับเข้า ต่อให้เป็นหญิงงามปานใดเขาก็ไม่มีอารมณ์ชื่นชม
การดื่มสุราทำให้เสียงานจริงๆ เจียงวั่งแอบระมัดระวังขึ้นมา เขาถึงกับเข้าไปในมิติลับห้วงมายาในหอคณิกาที่มีมัจฉาและมังกรปะปนกัน[1]อย่างหอสามจรุง ประมาทไปแล้วจริงๆ
เจียงวั่งลนลานกลับมายังห้องส่วนตัวของเจ้าหรู่เฉิง รอเงียบๆ สักครู่หนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก และกลับไปนั่งที่เดิม
เขาคืนเคล็ดหลอมกายาพยัคฆ์ขาวให้ตู้เหยี่ยหู่ ส่วนเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพที่อนุมานขึ้นมาใหม่ยังอยู่ในมิติมายาห้วงจักรวาล จะต้องคัดลอกใหม่
“ท่านจะไปเมื่อไร” เจียงวั่งถาม
“พรุ่งนี้เช้า” ตู้เหยี่ยหู่ตอบ
“พรุ่งนี้พวกเราจะไปส่งท่าน…”
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างไม่ถูกเวลา
“เข้ามา” เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยไปตามปาก
ผู้ที่เข้ามาคือแม่เล้าของหอสามจรุง เป็นสตรีที่แต่งกายฉูดฉาดแต่งหนาหนาเตอะ
“แหมๆ คุณชายเจ้าของพวกเราหล่อเหลาขึ้นเรื่อยๆ เลย” สตรีคนนั้นเอ่ยหยอกล้อ ทั้งยังยื่นมือทำท่าเหมือนจะแตะใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกันมาก
เจ้าหรู่เฉิงถอยหลบไปก้าวหนึ่ง จงใจปรายตาไปยังเนินอกขาวเนียนที่โผล่ออกมาข้างนอกครึ่งหนึ่งแล้วของนาง “อย่าเข้ามาใกล้เกิน ข้าเมาหน้าอก”
แม่เล้าแสร้งหัวเราะเสียงใส “คุณชายละก็ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นท่านจะเป็นโรคนี้เสียหน่อย”
“ก่อนหน้านี้หอสามจรุงของเจ้าก็ไม่เห็นจะวางท่าแบบนี้นี่นา!”
แม่เล้าขมวดคิ้ว “ร้านเล็กๆ ของข้าดูแลตรงไหนขาดตกบกพร่องหรือ หรือว่าพวกผู้หญิงต่ำต้อยเมื่อครู่นี้ดูแลท่านไม่ดี”
เจ้าหรู่เฉิงมองนางอย่างรู้สึกสนใจนัก “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า วันนี้ข้าทุ่มเงินไปมากมายขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังไม่ยอมให้เมี่ยวอวี้มาพบหน้าข้าสักครั้ง หอสามจรุงชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า หรือว่าจะมีแต่วิธีรั้งแขกผู้มีพระคุณแบบนี้”
หอสามจรุงเป็นหอคณิกาที่โด่งดังไปทั่วแผ่นดินอย่างแท้จริง แม้แต่ที่รัฐเลี่ยยังมีสาขาย่อยอยู่ เจ้าหอลึกลับราวเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่ชื่อเสียงเล่าลือไปในหมู่ผู้มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วหล้า ได้สมญาว่างามสะคราญเป็นที่หนึ่ง
ชายคนใดก็ตามที่ได้เห็นนางล้วนยอมศิโรราบเป็นทาสใต้ชายกระโปรง ในนั้นมีขุนพลผู้กุมอำนาจ ทายาทรุ่นหลังชนชั้นสูง กระทั่งเล่ากันว่ามีเจ้ารัฐกับผู้ทรงอำนาจในดินแดนหนึ่งด้วย ล้วนแต่หลงใหลปักใจกับนางไม่เปลี่ยนแปลง
เบื้องลึกเบื้องหลังของหอสามจรุงน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย สาขาย่อยเล็กๆ ที่เปิดในเมืองเฟิงหลินแห่งนี้ แม้จะไม่มีผู้มีอิทธิพลอะไรดูแล แต่อาศัยเพียงชื่อของหอสามจรุง ก็มากพอที่จะเป็นหอคณิกาที่เยี่ยมยอดที่สุดในเมืองนี้แล้ว
เพราะเบื้องหลังของหอสามจรุง แม่เล้าถึงได้มั่นใจนัก แต่ก็เพราะเบื้องหลังนี้เช่นกัน นางถึงไม่กล้าให้ชื่อเสียงของหอสามจรุงเสียหายเด็ดขาด ดังนั้นสีหน้าจึงหนักใจขึ้นมาทันที
“เป็นไปได้ไหมว่า…” ตอนนี้เองเสียงที่ชวนให้คนตัวอ่อนยวบก็รับช่วงสนทนา สตรีในชุดแดงเดินเยื้องย่างเข้ามา สีแดงเป็นสีที่สวมใส่ให้งามยาก ทำให้คนใส่ฉูดฉาดไร้รสนิยมได้ง่าย แต่นางกลับสวมได้เหมาะนัก หรือพูดอีกอย่างคือตัวนางเองก็อธิบายคำว่า ‘ฉูดฉาด’ คำนี้ได้ดีที่สุดอยู่แล้ว จึงไม่ถูกสีแดงบดบังรัศมี
นางเดินเข้ามาในห้อง ใช้ดวงตาสุกสกาวกวาดมองคนทั้งหลายในห้องรอบหนึ่ง จากนั้นก็มาหยุดที่เจ้าหรู่เฉิงพร้อมรอยยิ้มเขินอาย “ไม่ใช่ท่านแม่ห้ามไม่ให้ข้าพบท่าน แต่เป็นข้าเองที่ไม่อยากพบท่าน”
แน่นอนว่านางคือเมี่ยวอวี้นั่นเอง
………………………………………………………
[1]มีมัจฉาและมังกรปะปนกัน หมายถึง มีทั้งคนดีและคนชั่วอยู่รวมกัน