ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 43 พี่ชาย...ก็เพิ่งจะเป็นพี่ชายครั้งแรก
“อันอัน อันอัน!”
เจียงวั่งคุกเข่าลงบนพื้น ดึงตัวอันอันเข้ามาในอ้อมกอด
เขากอดศีรษะเล็กๆ ของนางพลางลูบซ้ำไปซ้ำมา “เจ้าไม่ต้องเป็นเด็กดีขนาดนี้ ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าเชื่อฟังปานนั้น”
เสียงของเขาแหบพร่าอย่างน่าประหลาด “เจ้าเอาแต่ใจได้ตามสบาย ไร้เดียงสาได้ตามใจ เจ้าทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ แต่ไม่จำเป็น…ต้องรู้ความมากขนาดนี้”
เขาเสียใจมากที่ตอนยืมเงินเจ้าหรู่เฉิงไม่ได้แยกเจียงอันอันออกไป เขาบอกกับตนเองอยู่ตลอดว่า น้องสาวเก็บเนื้อเก็บตัวและอ่อนไหวมาก ทว่าก็ยังมองข้ามไป
เขาสนิทสนมกับเจ้าหรู่เฉิงเหมือนพี่น้องก็จริง กระทั่งวิชายุทธ์ระดับสูงยังแบ่งปันให้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินทองของนอกกายเลย แต่เขาลืมไปว่าอันอันไม่รู้เรื่องด้วย
อันอันคิดเพียงแค่ว่าตนเองเป็นตัวถ่วงของพี่ชาย พี่ชายต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อบ้านหลังหนึ่งให้กับนาง
หลังจากบิดาป่วยตายไป เจียงวั่งแทบไม่เคยร้องไห้ ทว่าเวลานี้กลับแอบน้ำตาหลั่งรินอยู่ด้านหลังศีรษะของเจียงอันอัน
“พี่ชาย…ท่านเป็นอะไร” ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงอันอันถามขึ้น
“อา ไม่ ไม่มีอะไร” เจียงวั่งควบคุมอารมณ์ ยังคงกอดนางไว้ เอ่ยต่อว่า “จากนี้อย่าเรียกเจ้าหรู่เฉิงว่าคนหน้าขาวอีกล่ะ เขาคงไม่ชอบใจนัก”
“แต่เขาขาวมากจริงๆ นะ”
“คนหน้าขาวไม่ได้หมายถึงว่าหน้าขาวมาก[1]…เอาเถอะ เจ้าอยากเรียกอะไรก็เรียกไป ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะชอบหรือไม่”
“อืม”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าน้ำตาไม่ไหลออกมาอีก และเหมือนไม่เคยร้องไห้มาก่อน เจียงวั่งจึงค่อยดึงตัวเจียงอันอันออกจากอ้อมอก จ้องมองนางอย่างตั้งใจ “พี่ขอโทษเจ้าด้วย พี่ไม่ควรโมโหเจ้า พี่ชาย…เพิ่งจะเคยเป็นพี่ชายครั้งแรก ยังทำได้ไม่ดีนัก”
เจียงอันอันม้วนมุมเสื้อ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าก็เป็นน้องสาวครั้งแรกเหมือนกัน ข้าเองก็ทำได้ไม่ดี ข้าไม่ควรโกง ไม่ควรโกรธอาจารย์…”
“จริงหรือ” เจียงวั่งใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างเช็ดใบหน้าเล็กๆ ของเจียงอันอัน ปาดน้ำตาของนางออกเบาๆ “ที่แท้เจ้าก็เพิ่งเป็นน้องสาวครั้งแรกหรือ”
เจียงอันอันพยักหน้า
เจียงวั่งย้ายนิ้วโป้งมายกขึ้นตรงหน้าเจียงอันอัน “เช่นนั้นเจ้าก็มีพรสวรรค์จริงๆ! ข้าไม่เคยเห็นน้องสาวที่ดีกว่าเจ้าเลย”
“ฮี่ๆ…”
อันอันยิ้มขวยเขิน
เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว รอยน้ำตาบนใบหน้านางยังคงอยู่ ทว่าด้วยยิ้มนี้ บุปผาฤดูใบไม้ผลิทั้งมวลก็เบ่งบาน
……
ผู้คนบนโลกมีโชคชะตาของตนเอง และโชคชะตาของทุกคนล้วนแตกต่างกัน ในคำพูดนี้ไร้สาระไปครึ่งหนึ่ง
ซุนเซี่ยวเหยียนรู้สึกว่าตนเองโง่ยิ่งนัก ให้ตาย เขาไปเชื่อสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพพี่น้องได้อย่างไร เหตุใดถึงเชื่อคำพูดของนางมารนั่นได้
‘ข้างนอกมีของอร่อยเยอะเลย เป็นของที่เมืองซานซานหากินไม่ได้ทั้งนั้น!’
‘ข้ารับประกันว่าจะไม่รังแกเขา จะเป็นแบบอย่างที่ดีแน่นอน ให้ข้านำกลุ่มไปเถอะ’
‘ทำเหมือนข้าไปเที่ยวกับน้องชายนั่นละ พวกเราจะมีความสุขด้วยกัน!’
เสียงยังก้องอยู่ในหู ยังก้องในหูอยู่เลย!
ซุนเซี่ยวเหยียนที่ปีนี้อายุสิบสามปี ชื่อฟังแล้วดูไพเราะเสนาะหู แต่รูปร่างของเขากลับ…อ้วนกลมยิ่งนัก
แฮ่ก! แฮ่ก!
เขาหอบหายใจวิ่งตรงไปข้างหน้า ช่วงท้องแสบร้อนไปหมด เหงื่อไหลราวสายฝน เสื้อผ้าสวยสดงดงามบนตัวมองไม่เห็นเค้าโครงเดิมอีกต่อไป ทั้งยับยู่ยี่และสกปรกมอมแมม
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นอัมพาตล้มพับลงไปได้ทันที ทั้งตัวอ่อนยวบกลายเป็นโคลนก้อนหนึ่ง หมูตัวหนึ่ง หรือเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถปวกเปียกล้มลงไป แต่เขาก็ไม่กล้า
เขาอยากร้องไห้นัก ตอนนั้นควรจะกอดขาท่านแม่ไว้ไม่ยอมปล่อย ทำไมถึงเลอะเลือนพลาดไปเชื่อศัตรูทั้งชีวิตได้
เขาวิ่งและวิ่ง มองจากไกลๆ แทบจะมองไม่เห็นขา ราวกับลูกหนังหลากสีลูกหนึ่งกำลังกลิ้งหลุนๆ
เขาไม่ได้อยากกลิ้ง!
นอกเสียจากจะกลิ้งกลับไปได้
คิดว่าเขาซุนเซี่ยวเหยียนเป็นถึงลูกชายเจ้าเมืองซานซาน บุรุษคนเดียวในรุ่นนี้ของตระกูลซุน จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนในเขตเมืองซานซาน? เรียกได้ว่า ‘เป็นรองเพียงหนึ่ง อยู่เหนือหมื่นพัน!’ ด้วยซ้ำ
ทำไมเขาจึงคิดไม่ออก แล้วออกเดินทางไกลเพียงลำพังมากับ ‘คนผู้นั้น’ ได้ วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเมืองซานซานไม่ดีหรือ คอยรังแกสหายตัวเล็กคนอื่นๆ ก็มีความสุขอยู่แล้วนี่ เมื่อแมวไม่อยู่ เขาจะเป็นหนูร่าเริงบ้างไม่ได้หรือไร
ซุนเซี่ยวเหยียนหยุดเท้าลง
ไม่ใช่ว่าความโกรธของเขาพุ่งออกมาจากใจ หรือเกิดความเกลียดชังขึ้นมาจากความกล้าอะไร เขาไม่มีสิ่งที่เรียกความกล้าอยู่เสียหน่อย…
แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองมาถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาไม่ได้ไม่อยากวิ่ง แต่เขาวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ
ตอนนี้เอง เขาได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยนั้นไล่กวดเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
“เจ้า! อ้วน! ซุน!”
ซุนเซี่ยวเหยียนยังไม่ทันได้ตั้งตัว เท้าขาวเนียนปานผลึกที่เรียกได้ว่างดงามข้างหนึ่งก็ประทับลงบนก้นของเขาด้วยวิธีที่ไม่น่ามองนัก
รอบนี้เขากลิ้งจริงๆ แล้ว
กลิ้งหลุนๆ อย่างบ้าคลั่งไปบนถนนทางหลวง
ตอนที่เขาหยุดลงได้ในท้ายที่สุด ก็ถูกกระแทกเสียจนหน้าบวมปูดไปหมดแล้ว
เขานั่งโงนเงนอยู่บนพื้นเช่นนั้น รู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังโยกเยก
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาเป็นอย่างแรกคือเท้าเปล่าดุจหยกสลักคู่หนึ่ง เปลือยขึ้นไปจนถึงช่วงน่อง จากนั้นเป็นกางเกงกระโปรงหกส่วนที่เหมาะสำหรับการต่อสู้เป็นที่สุด เจ้าของเท้าเปล่าสวมเสื้อตัวสั้นคอเสื้อเบี่ยงข้าง มีใบหน้าเรียวเล็กน่ารัก เข้ากับร่างกายที่เล็กกะทัดรัดของนาง
พอเทียบกันแล้ว ซุนเซี่ยวเหยียนที่อ้วนกลมแทบจะเป็นสิ่งของชิ้นมหึมา ทว่าเขาเบะปากเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ออกมา “ท่านพี่ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว ข้ารู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ!”
“ไม่ใช่เจ้ารู้สึก ให้ข้ารู้สึกต่างหาก” ซุนเสี่ยวหมานนั่งยองลงไป ยิ้มแก้มปริพลางมองเขา “ข้ารู้สึกว่าเจ้ายังไหว”
ซุนเสี่ยวหมานทำท่าทางเหมือนตัดสินใจจะเจรจา มอบความกล้าให้กับซุนเซี่ยวเหยียน
เขาจึงนอนลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น ร้องตะโกนฮึดฮัดขึ้นมาว่า “โอ๊ย จะตายแล้ว ขยับไม่ไหวแล้ว…”
ท่าทางเหมือนหมูตายย่อมไม่เกรงกลัวน้ำเดือดอีก มีฝีมือนักก็มาตีข้าให้ตายสิ
ตอนเขายืนก็กลม ตอนนอนลงก็ยังกลม ร่างกายสมมาตรเหลือเกิน
“ให้เจ้าลดความอ้วนสักหน่อย มันยากขนาดนี้เชียว?” ซุนเสี่ยวหมานถาม
เพื่อจะให้เขาลดความอ้วน ซุนเสี่ยวหมานบังคับให้เขาวิ่งมาด้วยกำลังกายตัวเองจนถึงตอนนี้ ส่วนคนอื่นจะใช้ยันต์เร่งความเร็วอะไรก็ตามสะดวก อยากเดินก็เดิน อยากพักก็พัก
ซุนเซี่ยวเหยียนทั้งเศร้าทั้งโกรธเคือง “ข้าอ้วนมาตั้งแต่เกิด!”
“ไม่มีคนที่อ้วนมาแต่เกิด มีแต่คนอ้วนเพราะขี้เกียจ!”
เริ่มจะมีแรงบันดาลใจขึ้นมาแล้ว…
แต่ซุนเซี่ยวเหยียนก็ยังไม่ขยับ กระทั่งปิดดวงตาที่เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ท่าทีประมาณว่าข้าไม่ฟังข้าไม่ฟังข้าไม่ฟัง
“เจ้าอ้วนจนเหมือนลูกหนังแล้ว พอถึงเวลาต้องแสดงตัว จะไม่ขายหน้าเมืองซานซานของพวกเราหรือ”
“คนอื่นล้วนเรียกพวกเราว่าคนเถื่อน เมืองซานซานมีอะไรให้ขายหน้ากัน!”
ซุนเสี่ยวหมานเม้มปาก ไม่พูดอะไรแล้ว
ซุนเซี่ยวเหยียนใจสะดุดกึก รีบเบิกตาโพลงทันที ก่อนจะมองพี่สาวอย่างน่าสงสาร “ท่านเป็นพี่สาวของข้า มีพี่สาวที่ไหนโหดร้ายกับน้องชายเช่นนี้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ยังเล็ก ข้ายังเป็นเด็กอยู่เลยนะ!
อีกอย่าง ว่ากันว่าพี่สาวคนโตก็เหมือนมารดา มารดาใจดีลูกก็กตัญญู เจ้าดีกับข้า จากนี้ไปข้าก็จะดีกับเจ้า ทุกคนสุขสันต์กลมเกลียวกัน ไม่ใช่ว่ามีความสุขหรือไร”
เขาไล่มาเป็นชุด ตรรกะความคิดชัดเจนมาก
“คนอื่นพูดกันว่าจะสั่งสอนเด็กต้องตีหนึ่งไม้ให้ผลพุทราหนึ่งลูก กับท่านข้าเห็นแต่ไม้ ไม่มีพุทราเลยสักลูก!”
ซุนเซี่ยวเหยียนยิ่งพูดยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ สุดท้ายก็ร้องไห้โฮออกมา
“เฮ้อ” ซุนเสี่ยวหมานมองเขาอย่างจนใจยิ่ง จากนั้นตบเบาๆ บนหน้าอกของเขา ท่าทางอ่อนโยนมาก “พี่สาวเพิ่งจะเป็นพี่สาวครั้งแรก ยังทำได้ไม่ดีนัก…”
นางคว้าปกคอเสื้อของซุนเซี่ยวเหยียนไว้ จัดการยกตัวเขาขึ้นมาจากพื้น “เช่นนั้นเจ้าก็ลุกขึ้นมาตีข้าสิ!!!”
นางพลันชกกำปั้นใส่ซุนเซี่ยวเหยียนจนปลิวออกไป ตะคอกว่า “ทำตัวให้เหมือนผู้ชายหน่อยได้หรือไม่ ร้องห่มร้องไห้อะไรกัน!”
คนอื่นๆ ที่ติดตามมาจากเมืองซานซานทำเพียงมองฉากนี้อย่างเงียบๆ หดคอลง ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าเข้าไป
ซุนเซี่ยวเหยียนหมุนคว้างรอบหนึ่งกลางอากาศ ครั้นหล่นลงบนพื้นก็ไม่พูดไม่จา เริ่มเผ่นหนีทันใด…ถึงโดนอัดจะไม่ตาย แต่มันเจ็บนะ!
ไม่มีทางเลือก วิ่งดีกว่า
ข้างหน้า…ข้างหน้าคือเมืองเฟิงหลินสินะ ยังอีกนานไหม…ยังอีกนานไหม!
ฮือๆๆ…
……………………………………….
[1]หนุ่มหน้าขาว หมายถึงหนุ่มน้อยรูปงาม เจ้าสำราญ แต่ยังสื่อความหมายในแง่ลบถึงชายที่คบหาผู้หญิงอายุมากกว่าตน และอาศัยเงินอุปถัมภ์เลี้ยงดูจากฝ่ายหญิง