ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 47 หยางซิ่งหย่ง
ระหว่างจอมยุทธ์ด้วยกัน การต่อสู้ระยะประชิดใช้ทดสอบปฏิกิริยาโดยพื้นฐานและพิสูจน์ทักษะการต่อสู้ได้ดีที่สุด
ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานโลดแล่นบนเขาเหมือนพื้นดินเรียบๆ ตั้งแต่ยังเด็ก จับราชสีห์สังหารพยัคฆ์ ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน การต่อสู้ระยะประชิดแม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ก็มีความมั่นใจอยู่ไม่น้อย
ทว่าเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพที่เจียงวั่งฝึกฝนเป็นวิชาที่ถ่ายทอดให้กับทหารโดยเฉพาะ และได้รับการเสริมจนสมบูรณ์ผ่านเวทีแสดงเต๋าในมิติมายาห้วงจักรวาล ในตอนนี้นับเป็นวิชาหลอมกายาชั้นหนึ่ง
เอ็นกล้ามเนื้อทั้งตัวของเจียงวั่งถึงจะไม่ได้แกร่งเกินเหล็กกล้า แต่ก็ห่างชั้นกันไม่มาก เลือดลมมหาศาลที่จำศีลอยู่ในกล้ามเนื้อทุกมัด ปกติไม่ค่อยได้เห็น ทว่าพอถึงสถานการณ์เช่นวันนี้ก็ระเบิดความแข็งแกร่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา
ผัวะๆๆๆๆ!
หมัดมาเท้าสกัด เข่ามาศอกเข้าปะทะ
ทั้งสองคนใช้กำปั้นปะทะกำปั้น เสียงดังราวกับตีกลอง
ความรุนแรงของหมัดเท้าลุ่นๆ ระดับนี้เป็นสิ่งที่เจียงวั่งไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน ในการต่อสู้เช่นนี้ เขาสัมผัสได้ว่าเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพค่อยๆ ผสานเข้ากับร่างของเขา ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะพากเพียรฝึกฝน ทว่าอย่างไรเขาก็เติบโตมาจากสำนักเต๋า จึงไม่เข้าใจว่าอะไรคือการหลอมกายาที่แท้จริง
ระหว่างการปะทะกันซึ่งหน้าเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเลือดลมเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าเดิม กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้น รากพลังเต๋าคึกคักกว่าที่เคย และยังรู้สึกว่า…พลังของอีกฝ่ายค่อยๆ อ่อนแอลง
ตึง!
การปะทะครั้งสุดท้ายด้วยหน้าผาก ผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานล้มหงายหลังอย่างห่อเหี่ยว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะสู้ต่อ แต่เขาเค้นพลังสักเล็กน้อยออกมาไม่ไหวแล้วจริงๆ
เขาพยายามขนาดไหน ทุ่มเทสุดชีวิตเพียงใด อาจมีเพียงเจียงวั่งที่ต่อสู้กับเขาเท่านั้นที่เข้าใจ
มีหลายครั้งที่เจียงวั่งคิดว่ารู้ผลแพ้ชนะแน่แล้ว ทว่าสิ่งที่ตามมาคือกำปั้นของอีกฝ่าย
เขาสัมผัสได้ถึงปณิธานดั่งเหล็กกล้าของผู้บำเพ็ญเมืองซานซานคนนี้อย่างชัดเจน
อีกฝ่ายทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อชัยชนะ
พวกเขาไม่อยากถูกเรียกว่าคนเถื่อน!
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ พวกเขายิ่งทุ่มเทเต็มกำลังแบบนี้เท่าไร กลับยิ่งมีคนพูดว่า ‘ดูสิ คนเถื่อนก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นชีวิตเป็นชีวิต’
……
กรรมการชูธง รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
เหล่าผู้ชมรอบๆ เงียบลงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงเฮขึ้นมา
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองเฟิงหลิน เป็นถิ่นของเจียงวั่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชายร่างกำยำที่เจ้าหรู่เฉิงจ้างมาตะเบ็งเสียงเลย เพื่อเงินรางวัลก้อนใหญ่ พวกเขาสามารถตะเบ็งเสียงสุดกำลัง ดูไปแล้วยังลึกซึ้งยิ่งกว่าความรู้สึกที่เจียงอันอันมีให้พี่ชายเสียอีก
ท่ามกลางเสียงกู่ร้องอันคึกคัก เจียงวั่งยื่นมือจับคู่ต่อสู้ไว้ไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงไปบนพื้น
“ขอถามท่านมีนามว่าอะไร” เจียงวั่งมองคู่ต่อสู้ที่น่าเคารพคนนี้ พลางแสดงออกถึงความเคารพของตน
อันที่จริงก่อนจะเริ่มการแข่งขัน ผู้ตัดสินประกาศชื่อแซ่ของทั้งสองฝ่ายแล้ว ทว่าเจียงวังไม่ได้จำไว้
ก็เหมือนกับคนธรรมดาสามัญมากมาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกมา แต่จากสิ่งที่ได้ฟังได้เห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก ในใจก็นึกดูถูก ‘คนเถื่อน’ เหล่านี้อยู่เหมือนกัน
ผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานยืนโงนเงนเหมือนจะล้ม น้ำหนักแทบทั้งหมดของตัวได้เจียงวั่งประคองไว้ ดวงตาของเขาบวมปูด หรี่ลงจนเป็นเส้นเส้นหนึ่ง
“หยางซิ่งหย่ง!” เขาเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “ข้าชื่อหยางซิ่งหย่ง!”
……
นอกลานประลอง เจียงอันอันกำลังตบมือให้พี่ชายตัวเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของสหายรัก “อันอัน!”
เด็กน้อยชิงจื่อกระโดดโหยงเหยงอยู่ในกลุ่มคนห่างออกไป เบียดเสียดเข้ามาหาเจียงอันอันอย่างตื่นเต้น
ข้างกายนางมีชายชราคนหนึ่งตามมาด้วย ร่างกายผอมแห้ง หลังค่อมหนักมาก แต่ในฝูงชนที่เบียดเสียดกันขนาดนี้ ตลอดทางที่พวกเขาเดินมาไม่ได้เชื่องช้าเลย และราวกับว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับคนรอบด้านด้วย
คนทั้งหลายใคร่รู้เรื่องสหายของเจียงอันอันมาก โดยเฉพาะแม่เด็กน้อยที่คิดจะชกเจียงวั่งคนนั้น
มุมมองของหวงอาจ้านแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เหมือนใคร เขามองเห็นคนชราหลังค่อมเป็นอันดับแรก
ใบหน้าของชายชรา…ดูรับมือยากนัก ถึงแม้สีหน้าจะเคร่งขรึม แต่ก็ชวนให้คนรู้สึกโดยธรรมชาติว่าชั่วร้ายอัปลักษณ์
หวงอาจ้านใช้แขนกระทุ้งเจ้าหรู่เฉิง “นี่ เจ้าดูสิ ตาแก่นั่น”
“ทำไมหรือ” เจ้าหรู่เฉิงถาม
หวงอาจ้านกดเสียงต่ำ “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าศีรษะของเขา…เหมือน…เหมือน…”
“เหมือนอะไร”
หวงอาจ้านไม่พูด แต่มองลงไปที่เป้ากางเกงของอีกฝ่าย
เจ้าหรู่เฉิงระแวดระวังขึ้นมาก่อน “เจ้ามองอะไร”
ต่อมาเมื่อนึกได้ ก็หันไปมองพิจารณาทางนั้น ลูบคางเอ่ยขึ้นว่า “อืม! ดูคล้ายอยู่เหมือนกัน…”
พวกเขาทางนี้คุยกันเงียบๆ ไม่นึกว่าชายชราหลังค่อมคนนั้นจะพลันเงยหน้าขึ้นมา ส่งสายตาโกรธขึ้งมาหาพวกเขา เห็นได้ชัดว่าได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันอย่างชัดเจน
“ไม่พูดแล้วไม่พูดแล้ว ดูการแข่งขัน” หวงอาจ้านหันหน้ากลับมาอย่างร้อนตัว พยายามมองไปที่ลานประลองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แค่กๆ” เจ้าหรู่เฉิงกระแอมไอสองที ก่อนจะยื่นมือรับเจียงอันอันลงจากบ่าของหลิงเหอมาไว้บนบ่าของตนเอง “นี่อันอัน พี่หลิงเหอของเจ้าเหนื่อยแล้ว มานั่งบนบ่าข้าสักครู่”
ในใจคิดว่าชายแก่คนนั้นอายุมากขนาดนี้แล้ว คงไม่มาอาละวาดทุบตีตนเองที่กำลังอุ้มเด็กอยู่หรอกกระมัง
เจียงอันอันตอนนี้สนิทสนมกับเจ้าหรู่เฉิงแล้ว จึงนั่งบนบ่าเขาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ และพูดคุยกับชิงจื่ออย่างสนุกสนาน
“เมื่อครู่พี่ชายข้าชนะด้วยนะ เขาเก่งมากเลย!”
……
สุดท้ายหยางซิ่งหย่งก็ถูกคนแบกลงไป
การต่อสู้อีกสองศึกเสร็จสิ้นนานแล้ว ผู้บำเพ็ญอีกคนหนึ่งของเมืองซานซานล้มคู่ต่อสู้จากเมืองวั่งเจียงด้วยความได้เปรียบอย่างท่วมท้น ส่วนหลินเจิ้งหลี่จากเมืองวั่งเจียงก็เอาชนะศิษย์ปีหนึ่งอีกคนของเมืองเฟิงหลินอย่างง่ายดาย
แต่ความสนใจของผู้ชมถูกการต่อสู้ของเจียงวั่งกับหยางซิ่งหย่งดึงดูดไปจนหมด เพราะถึงอย่างไรก็เป็นความดุเดือดแบบหมัดต่อหมัด
“ก็แค่ไก่อ่อนจิกกันเท่านั้น เมืองเฟิงหลินนี่จริงๆ เลย ขนาดประชาชนก็ยังมีตาไม่มีแวว” หลินเจิ้งหลี่เอ่ยเยาะเย้ยกับผู้ชนะอีกคนหนึ่ง เหมือนอยากจะได้ความเห็นพ้องสักหน่อย
แต่ผู้ชนะจากเมืองซานซานคนนั้นกลับไม่เล่นด้วย
เขากล่าวอย่างเย็นชา “ขอให้เจ้าเคารพคู่ต่อสู้ของตัวเองด้วย”
ในความคิดของเขา หลินเจิ้งหลี่ไม่ใช่แค่ไม่เคารพเจียงวั่ง แต่เขายังไม่เคารพหยางซิ่งหย่งผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานของเขาด้วย
หลินเจิ้งหลี่เสนอไมตรีทว่าได้ความเย็นชาตอบ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ “อา เจ้าพวกคนเถื่อน”
ดวงตาของผู้บำเพ็ญเมืองซานซานแทบจะพ่นไฟออกมาทันที แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
รอบแรกจบลงแล้ว ทั้งสามเมืองเหลือผู้ชนะเมืองละหนึ่งคน ถือว่าเหลืออยู่เท่าๆ กัน ถัดมาจะเป็นการต่อสู้รอบเวียน ใช้การจับสลากตัดสินลำดับ รอบนี้ดวงสำคัญมาก
ผู้ตัดสินจากสำนักเขตปกครองรับผิดชอบจับสลาก แสดงให้เห็นความยุติธรรมในระดับสูงสุดอย่างไร้ข้อกังขา
เขาจับสลากใบหนึ่งออกมาจากกล่อง มองและอ่านขึ้นมา “เจียงวั่ง!”
หลิงเหอกับเจ้าหรู่เฉิงที่อยู่ด้านล่างถอนหายใจโล่งอก นี่หมายความว่าศึกแรกจะเป็นการต่อสู้ของหลินเจิ้งหลี่กับผู้บำเพ็ญเมืองซานซาน ส่วนเจียงวั่งค่อยแยกสู้กับพวกเขาสองคนภายหลัง ถือเป็นสลากที่โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เจียงวั่งถอยมาอยู่ข้างสนามประลอง ยกพื้นที่ตรงกลางให้กับสองฝ่ายที่กำลังจะต่อสู้กัน
ชั่วพริบตาที่เดินสวนกัน หลินเจิ้งหลี่หัวเราะเบาๆ “เจ้าดวงดีเสียจริงๆ ได้พักไปอีกยก”
ความหมายในคำพูดก็คือรอให้ศึกที่สองเริ่มก่อน จะจัดการเจียงวั่งให้สู้ต่ออีกไม่ได้ น้ำเสียงเหยียดหยามอย่างยิ่ง
เจียงวั่งยิ้มๆ “หวังว่าเจ้าจะโชคดีสักหน่อย อีกสักครู่จะได้มาเจอกับข้า”
ความหมายของเขาคือหลินเจิ้งหลี่อาจจะไปไม่ถึงรอบที่สอง แต่โดนจัดการจนเละในรอบแรก
ถ้าพูดเรื่องความปากร้าย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้รับอิทธิพลมาจากเจ้าหรู่เฉิงเต็มๆ แต่ไม่ถึงกับมีแรงสวนกลับอย่างสมบูรณ์
เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าความเป็นอริที่หลินเจิ้งหลี่มีต่อเขามาจากไหน หรือว่าคำขวัญที่เจ้าหรู่เฉิงให้คนทำขึ้นมาโฉ่งฉ่างไปหน่อย?
ดูแล้วคนผู้นี้ไม่เหมือนพวกขวานผ่าซากเสียด้วย ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่ได้รับการสั่งสอนจากสำนักเต๋ามา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นศิษย์หัวกะทิที่ถูกส่งมาสู้เป็นตัวแทนสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ขนาดนี้เลยหรือ
ความจริงแล้วเจียงวั่งอยากรู้คำตอบเบื้องหลังเรื่องนี้มาก
ส่วนเรื่องการต่อสู้ เขาไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
เทียบกับหลินเจิ้งหลี่ที่ใจร้อนไร้แก่นสารแล้ว ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานคนนั้นกลับนิ่งเงียบไม่พูดจาตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเพียงจ้องมองคู่ต่อสู้ของตน
สำหรับการต่อสู้ศึกนี้ ท่าทีที่เขาแสดงออกมาต้องจริงจังขึ้นมากอยู่แล้ว และก็อธิบายได้ว่าเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ด้วย
……………………………………….