ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 50 หวางหนึ่งเป่า
ในขณะเดียวกับที่ซุนเซี่ยวเหยียนได้รับความตกตะลึงจากคนทั้งสนาม หลินเจิ้งหลี่ที่รู้สึกตัวจากอาการสลบไสลกำลังบ่นงึมงำอยู่ข้างหลังพี่ชาย
“ทำไมถึงยอมแพ้ให้ข้า ตอนนั้นถ้าปลุกข้าขึ้นมา ใช่ว่าข้าจะเอาชนะไม่ได้!”
“จากนั้นเล่า” หลินเจิ้งเหรินไม่แม้แต่จะหันหน้ามา
“หากไม่ใช่ว่าประมาท คนเถื่อนนั่นจะมีโอกาสหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าคนเมืองเฟิงหลินคนนั้นเลย แม้แต่รากฐานยังสร้างไม่ได้! ให้มันชนะเลิศ ข้าเจ็บใจนัก!”
“ต่อให้เจ้าเอาชนะเขาได้ ดูจากคะแนนสะสม เขาก็เป็นผู้ชนะของศิษย์ปีหนึ่งอยู่ดี ไม่มีความหมายอะไร อีกอย่าง…” หลินเจิ้งเหรินยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “ถ้าเจ้าแพ้อีกเล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” หลินเจิ้งหลี่มองซ้ายมองขวา กดเสียงลงต่ำ เอ่ยอย่างไม่ยอมจำนนว่า “ท่านไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ ข้านี่นะจะแพ้ให้กับมัน”
“ใครจะไปรู้” หลินเจิ้งเหรินหัวเราะอย่างสบายๆ
หลินเจิ้งหลี่รู้สึกโกรธเกรี้ยวที่โดนดูถูก โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เขาถูกกดไว้กับพื้นแล้วโดนกระหน่ำชกต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น
เขากำลังจะพูดอะไร หลินเจิ้งเหรินก็พลันหันมาคว้าคอเสื้อของเขาไว้
“จำไว้! เจ้าใช้ความโง่เง่าของเจ้าสร้างศัตรูแล้ว”
หลินเจิ้งเหรินลดเสียงพูด “หากไม่มีความมั่นใจเต็มที่ ก็อย่าให้โอกาสศัตรูของเจ้าได้สมหวัง เขาไม่ได้เอาชนะเจ้าคนใดคนหนึ่งทั้งนั้น ชัยชนะของเขาห่างไกลจากความสมบูรณ์นัก”
เขาปล่อยมือ ปล่อยน้องชายของตัวเอง แล้วจึงหันไปดูการแข่งขันอีกครั้ง บนใบหน้าหล่อเหลาทรงภูมิไม่เห็นความชั่วร้ายแม้แต่น้อย
“อย่าให้เขาสมหวัง”
……
รอบผลัดกันสู้ โชคในการจับสลากของเมืองเฟิงหลินไม่เลวเลย รอบแรกไม่ได้ต่อสู้กันเอง
หลีเจี้ยนชิวเข้ารอบโดยไม่ต้องแข่ง หวางฉางเสียงสู้กับซุนเซี่ยวเหยียนก่อนรอบหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนวิธีการต่อสู้
ซุนเซี่ยวเหยียนยังคงพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดอะไร หวางฉางเสียงก็ยังใช้หมอกหนาเปิดศึกก่อนเช่นเดิม
“ทำอะไรน่ะ! หมอกอีกแล้ว!”
“นั่นสิ! มองไม่เห็นอะไรเลย!”
เมื่อมองไม่เห็นการแข่งขัน ประชาชนที่ดูอยู่รอบๆ ก็ไม่ไว้หน้าตระกูลหวาง
แต่ว่าความคิดเห็นของผู้ชมไม่รวมอยู่ในการคิดพิจารณาของหวางฉางเสียง
ซุนเซี่ยวเหยียนพุ่งไปมาในหมอก ทว่าไม่โดนเป้าหมายเลย ครั้นประสานปางมือเต๋าสำเร็จ ลมก็พัดหมอกสลายไป
ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นพัดผ่านนิ้ว พลันปะทุพลังกลายเป็นพายุมังกร มันคำรามพลางทะยานผ่านหมอกหนา ตรงดิ่งไปหาซุนเซี่ยวเหยียน!
“ย้าก!” เจ้าอ้วนน้อยคำรามด้วยความโมโห ไม่มีพลังสยบอะไรเหมือนดั่งลูกหมูแรกเกิด
ทว่าพลังของเขาไร้ซึ่งข้อกังขา เขายังพยายามทะลวงผ่านพายุมังกรคำรามไปข้างหน้า!
แรงลมฉีกทึ้งจนเสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าแดงก่ำ
สองเท้าของเขาเหยียบพื้นไว้มั่น แต่เมื่ออิฐแต่ละก้อนๆ แตกละเอียด เขาก็ถอยหลังไปทีละก้าวๆ
หากถอยออกนอกเส้นก็คือแพ้
ซุนเซี่ยวเหยียนเริ่มประสานปางมือ การทำปางมือท่ามกลางพายุมังกรเช่นนี้ยากลำบากนัก แต่เขาอย่างน้อยก็ทำสำเร็จ
กำแพงหินแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา แต่เพียงอึดใจเดียวก็ถูกพัดกระจาย
เศษหินกระแทกเข้ากับร่างของซุนเซี่ยวเหยียน การสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ครั้งนี้ทำให้ทั้งร่างเขาถูกหอบม้วนขึ้นไปบนฟ้า กระเด็นออกไปนอกสนามประลอง
การป้องกันของวิชาเต๋ากลองหนังปฐพีแข็งแกร่งจริงๆ อยู่ในพายุมังกรที่รุนแรงเช่นนี้ ร่างของเขาก็ยังไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เศษหินพวกนั้นกระแทกใส่ร่างก็ไม่มีแม้แต่รอยเขียวช้ำให้เห็น
แต่เขาก็ยังคงพ่ายแพ้
การป้องกันของซุนเซี่ยวเหยียนในระดับตอนนี้แทบจะแก้ทางไม่ได้ หากเป็นการต่อสู้จริง หวางฉางเสียงอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่นี่คือการแข่งขัน เมื่อพัดอีกฝ่ายออกนอกสนามประลองไปก็นับว่าชนะ
เจียงวั่งถอนหายใจ เพราะเขาพลันพบว่าไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับหวางฉางเสียงหรือซุนเซี่ยวเหยียน เขาเหมือนจะทำอะไรไม่ได้เลย การป้องกันจากเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพเทียบกลองหนังปฐพีไม่ได้ กระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาแม้จะดุดัน แต่ก็ไม่อาจทำลายการป้องกัน หากมีอาวุธดีๆ ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาส แต่ตอนนี้เขาสู้เจ้าอ้วนน้อยไม่ได้
สำหรับหวางฉางเสียง แค่เพียงลมหายใจพายุมังกรพัดมาครั้งหนึ่ง เจียงวั่งก็ทำได้แค่หนีเท่านั้น
นั่นเป็นวิชาเต๋าชั้นหนึ่งเชียว! ทั้งสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินนับรวมอาจารย์ผู้สอน จะมีสักกี่คนที่ใช้ได้
อัศจรรย์นัก!
“วิหควายุ” ยังคงเป็นเสียงคนชราหลังค่อมดังขึ้น “วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของเขาคือวิหควายุ ใกล้ชิดกับพลังปราณธาตุลมโดยกำเนิด ดังนั้นถึงข้ามขั้นไปใช้วิชาเต๋าชั้นหนึ่งได้”
เจียงวั่งเพิ่งเคยได้ยินว่ามีวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าประเภทวิหควายุเป็นครั้งแรก ในบทเรียนความรู้เกี่ยวกับชีพจรเต๋าที่สำนัก เหล่าอาจารย์บรรยายถึงวิญญาณแท้ไส้เดือนดินเท่านั้น เจียงวั่งยังคิดมาตลอดว่าวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าทั้งหมดเป็นไส้เดือนดินเสียอีก
ความรู้ประสบการณ์มักจะเป็นตัวบอกถึงพลัง
พวกเจียงวั่งมองตากัน ท่าทีที่มีต่อคนชราอัปลักษณ์ผู้นี้มีมารยาทขึ้นมาก
“ยังไม่ได้ถามเลยว่าท่านผู้ชรามีแซ่ว่าอะไร” หวงอาจ้านกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ท่าทางเคารพนอบน้อม สุภาพเรียบร้อย
ชายชราหลังค่อมคงเกลียดชังความปากเสียของเขาก่อนหน้านี้ จึงปฏิบัติต่อหวงอาจ้านแย่นัก แค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่ยอมตอบคำถาม
“จริงด้วย ท่านปู่แซ่อะไรหรือ” เจียงอันอันพลันหันหน้ามา ในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสับ “ข้าเห็นท่านบ่อยมาก แต่ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรดี”
“กุ้ย!” แม่หนูชิงจื่อที่อยู่ข้างๆ เพิ่งจะเอ่ยปาก ชายชราหลังค่อมก็รับคำรอยยิ้มสว่างสดใส “ปู่แซ่กุ้ย เรียกปู่กุ้ยก็พอ”
“แซ่กุ้ยท่านนี้มีสง่าราศีนัก” หวงอาจ้านเริ่มกล่าวชมอย่างนึกสนุก
คำยกยอปอปั้นของเขาหลั่งไหลจากปากไม่ขาดสาย
แม้แต่เจียงอันอันกับชิงจื่อยังรีบหันหน้ากลับ ทอดสายตาไปยังสนามประลอง
การประลองศึกที่สองเริ่มขึ้นแล้ว
หวางฉางเสียงสู้กับหลีเจี้ยนชิว
ไม่ว่าจะเป็นอันดับรายชื่อบนกระดานแต้มเต๋าที่ผ่านมา หรือพลังต่อสู้ที่ทั้งสองแสดงออกมาในตอนนี้ หวางฉางเสียงก็ล้วนเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ไม่รู้ทำไม เจียงวั่งมักจะรู้สึกว่าหลีเจี้ยนชิวไม่ได้มีความสามารถแค่นี้
“ศิษย์พี่หวาง เราไม่ใช้วิชาเต๋าน่าไม่อายอย่างลมหายใจพายุมังกรแล้วได้หรือไม่” หลีเจี้ยนชิวหารือก่อนจะเริ่มการต่อสู้
หวางฉางเสียงในตอนนี้ฟื้นคืนรากพลังเต๋าเรียบร้อย พลังเต็มเปี่ยม ได้ยินดังนั้นก็ทำแค่ยิ้ม “ศิษย์น้องล้อเล่นแล้ว”
สุภาพอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย
ครั้นประสานปางมือวิชาเต๋าเสร็จสิ้น หมอกหนาก็กระจายมา
ยามนี้หลีเจี้ยนชิวกางสองมือออกพอดี วายุคลั่งพลันปรากฏ
วิชาเต๋าชั้นสามระดับล่าง วายุโหมพัด!
นี่ไม่ใช่หมอกยมโลกในตำบลเสี่ยวหลิน แค่ลมธรรดาพัดก็สลายไปได้
อย่างไรเสียหมอกมายาก็ไม่ใช่วิชาเต๋าที่ไร้ทางแก้ วิชาที่แก้ทางไม่ได้จริงๆ มีแค่ลมหายใจพายุมังกรเท่านั้น ในการต่อสู้สองศึกก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าคู่ต่อสู้ไม่มีวิชาทำลายหมอกมายา แต่เลือกที่จะปกป้องตัวเองก่อน ล้วนคิดไม่ถึงว่าจะถูกโจมตีพ่ายแพ้ในทีเดียว
ในสนามประลองที่หมอกสลายไปแล้ว มือของหวางฉางเสียงประสานท่ามือไม่หยุด เสียงที่เอ่ยอ่อนโยน “แต่ก่อนศิษย์น้องหลีไม่สนใจวิชาเต๋าธาตุลมนี่”
โลกของวิชาเต๋ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เรียนหลายวิชาไม่สู้เลือกเรียนเฉพาะวิชา ฝึกฝนหลากหลายไม่สู้ฝึกจนเชี่ยวชาญ
หลีเจี้ยนชิวประทับปางมือเสร็จสมบูรณ์ สองมือก็สะบัดดาบเพลิงสองเล่มออกมา ครั้นแตะปลายเท้าก็ราวกับเหยี่ยวโจมตีไปบนท้องฟ้า
“เรียนเพื่อศิษย์พี่!”
เสี้ยวขณะนี้ ตัวเขาอยู่กลางท้องฟ้า รัศมีอำนาจท่วมท้น
หวางฉางเสียงไม่เปลี่ยนสีหน้า ประกบมือไว้ตรงริมฝีปาก นิ้วชี้กับนิ้วกลางเชื่อมติด ปลายนิ้วโป้ง นิ้วนางและนิ้วก้อยแต่ละข้างประสานกัน แล้วจึงพ่นลมหายใจผ่านพื้นที่สามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นระหว่างนิ้วกลางและนิ้วนาง
ลมหายใจพายุมังกร!
ลมหายใจสายนั้นกลายเป็นพายุมังกรในทันที หลีเจี้ยนชิวประชิดเข้ามาใกล้แล้ว เขาพลันตีลังกากลางอากาศหลายตลบโดยไม่ได้ยืมแรงจากภายนอกใดๆ
“เยี่ยม!” หวงอาจ้านตบมือร้องชมทันใด!
ก่อนที่จะเปิดประตูฟ้าดิน มนุษย์แทบจะไม่สามารถใช้กายเนื้อโบยบินได้ ยกเว้นในบางกรณีเท่านั้น การลอยตัวที่หลีเจี้ยนชิวแสดงออกมากจึงน่าตื่นตะลึงมากแล้ว
แต่คนรอบๆ กลับใช้สายตาเหมือนมองคนโง่มองที่หวงอาจ้าน หวงอาจ้านตบมืออยู่สองสามทีก็หดศีรษะกลับอย่างแค้นใจ
ถึงแม้การลอยตัวตีลังกากลางอากาศของหลีเจี้ยนชิวจะยอดเยี่ยม แต่หากตีลังกาออกไปนอกสนาม ก็แทบไม่ต่างจากการยอมแพ้
หลีเจี้ยนชิวลอยต่ำลงมาที่พื้น สลายกระบี่เปลวเพลิงที่ถืออยู่ทั้งสองเล่ม สีหน้าฉายแววตกใจ “ท่านประสานท่าวิชาลมหายใจพายุมังกรเสร็จได้เร็วขนาดนี้แล้วหรือ”
หลีเจี้ยนชิวอดตกใจไม่ได้ ผู้บำเพ็ญที่ตามีแววอยู่บ้าง ณ ตรงนั้นล้วนมองออก โอกาสเอาชนะหวางฉางเสียงอยู่ที่ก่อนเขาจะประสานท่าวิชาลมหายใจพายุมังกรสำเร็จ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาไม่เพียงควบคุมวิชาเต๋าชั้นหนึ่งได้ ทว่ายังควบคุมได้ชำนาญและรวดเร็วถึงเพียงนี้ กระทั่งว่าสามารถลดเวลาทำประสานปางมือได้แล้ว!
นี่ก็หมายความว่า ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมพร้อมนานขนาดนั้นเลย หมอกมายาเป็นเพียงแค่วิชาอำพรางตาที่ไร้ความสำคัญเท่านั้น จะพรางตาคู่ต่อสู้ระดับหลีเจี้ยนชิว
“ถ้าช้าไปเล็กน้อยข้ารู้สึกว่าข้าต้องเกิดเรื่องแน่” หวางฉางเสียงพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
หลีเจี้ยนชิวเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันหัวเราะออกมา
“ข้าแพ้แล้ว”
ผู้ชนะเลิศของศิษย์ชั้นปีสามในงานสามเมืองเสวนาเต๋าก็ตัดสินกันเช่นนี้ หวางฉางเสียงชนะทั้งสองศึก กลับมาพร้อมเกียรติยศ
หลังผ่านเรื่องนี้มา หวางฉางเสียงได้ฉายาใหม่ว่า หวางหนึ่งเป่า…
หมายถึงไม่ว่าจะเจอคู่ต่อสู้แบบไหน เขาเป่าทีเดียวก็จบเรื่องได้ทั้งนั้น แน่นอน นี่ก็สื่อถึงว่าเขามีแค่พลังเป่าหนึ่งครั้งด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยใช้คำพูดของหวงอาจ้านก็คือ แม้จะสั้นแต่โหด
การต่อสู้ของหลีเจี้ยนชิวกับซุนเซี่ยวเหยียนในรอบต่อไปไม่ส่งผลกระทบอะไรกับผลการตัดสิน การต่อสู้ของพวกเขาจึงทำพอเป็นพิธี
ทว่าก็ยังดุเดือดในสายตาของประชาชนที่ล้อมดูอยู่ หลีเจี้ยนชิวแทบจะสำแดงความดุดันของวิชาเต๋าธาตุไฟออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ประทับปางมือดุจโบยบิน ซุนเซี่ยวเหยียนก็อาศัยกลองหนังปฐพีพุ่งชนเหมือนเดิม แต่ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน หลีเจี้ยนชิวก็ลอยออกไปนอกเส้น ยอมแพ้อีกครั้ง
สำหรับเจียงวั่ง หลีเจี้ยนชิวยังไม่ได้พยายามสุดกำลัง เพราะนับตั้งแต่ต้นจนจบ กระบี่ยาวเก่าแก่ที่อยู่ข้างเอวเขาไม่ได้ออกมาจากฝักเลย
ทุกคนลงมาจากสนาม เว้นพื้นที่การต่อสู้ให้ศิษย์ชั้นปีห้าของสำนักเต๋า
ในฐานะศิษย์น้องที่ค่อนข้างสนิทกัน เจียงวั่งย่อมต้องไปปลอบใจหลีเจี้ยนชิวสักหน่อย
แต่หลีเจี้ยนชิวกลับเอ่ยปากว่า “เดิมทีเตรียมเรื่องน่าประหลาดใจเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีโอกาสแสดงให้ดู”
เจียงวั่งรู้ว่าสิ่งที่เขาถึงพูดคือความเร็วในการออกวิชาลมหายใจพายุมังกรอันน่าทึ่งของหวางฉางเสียง
“เมื่อครู่ตอนที่สู้กับคนเมืองซานซาน ทำไมศิษย์พี่ไม่ลองดู”
เมื่อครู่แม้จะสู้กันจนตาลายไปหมด แต่คนมีปัญญาล้วนมองออกว่าหลีเจี้ยนชิวไม่มีความคิดที่จะเอาชนะเลย
หลีเจี้ยนชิวยิ้มขมขื่น “หนึ่งเพราะวิชาเต๋าป้องกันของเขา ใช่ว่าข้าจะมองออก สองคืออันดับที่สองที่สามไม่มีความหมาย”
เขาหมุนตัวเดินออกไป
“การประลองจะเริ่มแล้วนะ!” เจียงวั่งร้องเตือน
หลีเจี้ยนชิวจับกระบี่เดินจากไปไกลแล้ว “ไม่ดูแล้ว”
………………………………………………………