ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 52 ฟ้าดินเชื่อมประสาน
“ไม่นึกว่าสมบัติของเมืองซานซานอย่างค้อนสะเทือนเขาจะถูกส่งต่อให้เด็กสาวคนนี้” บนแท่นผู้ชม เว่ยชวี่จี๋หรี่ตาลง
ระบบการต่อสู้ของหลินเจิ้งเหรินใช้วิชาเต๋าธาตุไม้กับน้ำเป็นหลัก น้ำกับไม้สร้างเสริมกันและกัน พอใช้คู่กันจะได้ประสิทธิภาพมากกว่าสอง
แต่ภายใต้ค้อนยักษ์ทั้งสองของซุนเสี่ยวหมาน เมื่อสัมผัสโดนก็พังทลายทันที
กำแพงเถาอสรพิษพังครืน แส้ยาวนาคามรกตถูกทุบจนกลับเป็นรูปร่างเดิมของอาวุธเวทแล้วปลิวออกไปไกล
คลื่นน้ำใต้เท้าหลินเจิ้งเหรินพวยพุ่ง พาเขาหลบการฟาดค้อนของซุนเสี่ยวหมาน
นี่เป็นวิชาชั่วพริบตาที่สองของเขา สิ่งที่หลินเจิ้งเหรินเลือกสลักลงไปคือวิชาคลื่นทะยานซ้อนสาม
ถึงจะงัดไม้ตายมาใช้หมดแล้ว กระทั่งอาวุธเวทสืบทอดของตระกูลก็ถูกซัดจนหลุดมือ หลินเจิ้งเหรินกลับไม่ตื่นตกใจแต่อย่างใด
“นี่ไม่ใช่งานสามเมืองเสวนาเต๋าหรือ ทำไมแม่นางซุนจากสำนักเต๋าเมืองซานซานถึงดูเหมือนนักรบเลยล่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ “หรือว่าพอฉู่ผิงตายไป ระบบสืบทอดเต๋าของเมืองซานซานก็สิ้นไปด้วย”
ภายใต้ความสงบสุขุม เขาโจมตีคุณสมบัติเข้าร่วมแข่งขันของซุนเสี่ยวหมาน
บนแท่นผู้ชม ต่งเออเอ่ยเรียบๆ ว่า “รัฐจวงนับถือเต๋า แต่ก็ไม่ดูแคลนสำนักสายอื่น ในการต่อสู้อาศัยเพียงฝีมือก็พอกระมัง”
ตอนนี้จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นมา พื้นดินมีเสียงฟ้าร้อง
จางหลินชวนใช้วิชาอัสนีจัดการคู่ต่อสู้เมืองซานซานได้อย่างสบายๆ เหมือนเป็นการอธิบายประกอบเสียงพูดของต่งเออ
ด้านข้าง ลูกศิษย์ชั้นปีห้าอีกคู่หนึ่งจากเมืองวั่งเจียงและเมืองเฟิงหลินกำลังต่อสู้ติดพัน การต่อสู้ดำเนินไปได้ดุเดือดอย่างยิ่ง
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้น มีเพียงแพ้หรือชนะเท่านั้น
หลินเจิ้งเหรินย่อมไม่คิดว่าอาศัยสถานะผู้ฝึกยุทธ์แล้วจะเอาชนะซุนเสี่ยวหมานได้โดยไม่ต้องต่อสู้ มิเช่นนั้นการแข่งขันครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มขึ้นแล้ว
เขาเพียงแค่จะลองดูว่า จิตวิญญาณของเด็กสาวคนนี้จะเข้มแข็งไม่สั่นคลอนจริงหรือไม่
การตายของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋าเมืองซานซานจะไม่ทำให้คนรู้สึกโศกเศร้าหรือไร?
ค้อนยักษ์ของซุนเสี่ยวหมานโจมตีเข้ามาแล้ว
นางกวัดแกว่งค้อนยักษ์ที่ใหญ่เท่าตัวนาง แต่กลับคล่องแคล่วว่องไวดุจกำลังร่ายรำโคม
ถึงอย่างไรการตายของฉู่ผิงก็ส่งผลกระทบต่อตัวนาง
พลังค้อนของนางรุนแรงเกินไป รายละเอียดจุดนี้เล็กน้อยมาก แต่เป็นไปไม่ได้ที่หลินเจิ้งเหรินจะไม่สังเกตเห็น
คลื่นทะยานดีดเท้า ส่งให้เขาลอยขึ้นไปอย่างง่ายดาย
คลื่นทะยานซ้อนสามส่งตัวแล้วส่งตัวอีก หลินเจิ้งเหรินกระโดดขึ้นไปอยู่บนค้อนสะเทือนเขาเรียบร้อย
ปลายเท้าของเขาเพียงแตะไปบนค้อนเบาๆ
พลังนี้สำหรับซุนเสี่ยวหมานแล้วไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย นางเป็นยอดฝีมือสายยุทธ์ที่ใช้ค้อนยักษ์เป็นอาวุธ มือทั้งสองมีกำลังพันชั่งอยู่
แต่ในพริบตานี้เอง พลังปราณทั้งหมดพลันปั่นป่วนโดยมีหลินเจิ้งเหรินเป็นศูนย์กลาง
ความว่างเปล่าด้านหลังเขาราวกับมีประตูบานหนึ่งก่อร่างขึ้นมา นั่นคือภาพสะท้อนของกายเนื้อ
ระหว่างฟ้าดินมีประตูหนึ่งบาน ตัวคนก็คือประตูฟ้าดินนั้น
คล้ายจะส่งเสียงดังสนั่น แต่ก็ราวกับไร้สุ้มเสียงด้วยเช่นกัน
ประตูแง้มเปิดออก!
พลังปราณศิโรราบ ฟ้าดินเชื่อมประสาน
เขาสามารถเลือกเปิดประตูฟ้าดินได้นานแล้ว แต่ก็ยังมั่นใจจนถึงขั้นเลือกเปิดมันในเวลานี้
อธิบายได้ว่าเขาควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ ประตูฟ้าดินไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขามานานแล้ว เขาแค่เคยชินกับการปลอมเป็นหมูเพื่อกินพยัคฆ์เท่านั้นเอง
เขาเชื่อมต่อฟ้าและดิน ติดต่อกับโลก ไม่จำเป็นต้องยืมพลังจากภายนอก ตัวเขาเองมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว
เขามีพลังบำเพ็ญระดับหกมังกรทะยาน เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสามขั้นกลาง!
ครั้นเท้าเหยียบลงไป ค้อนสะเทือนเขาก็ร่วงลงพื้นโดยไม่อาจห้ามได้ กระแทกจนพื้นอิฐแตกกระจุย ฝังลงไปในชั้นดิน
ซุนเสี่ยวหมานยังไม่ปล่อยมือ แม้ทั้งตัวจะเอียงลงไปเพราะค้อนที่ถูกปะทะจนจมดินอันนั้น แต่นางก็ทำเพียงยืมแรงพลิกตัวก่อนพลิกมือหวดค้อนอีกอันไปทางหลินเจิ้งเหริน คิดจะไล่ให้เขาถอยร่นไป
ทว่าความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญขั้นกลางกับผู้บำเพ็ญขั้นต้นช่างมากมหาศาล
นิ้วมือของหลินเจิ้งเหรินขยับเล็กน้อย แล้วดีดออกไปในฉับพลัน
จากกลางฝ่ามือของเขา มังกรตัวน้อยที่รวมขึ้นจากพลังปราณธาตุน้ำตัวหนึ่งพุ่งคำรามออกไป
ฮูม!
มังกรน้ำสูบพลังปราณไปตลอดทางจนร่างขยายใหญ่ จากนั้นพุ่งชนค้อนยักษ์ แล้วจึงกดค้อนยักษ์กระแทกเข้าใส่ซุนเสี่ยวหมานจนร่างคนปลิวกระเด็นไปพร้อมกับค้อน
วิชาเต๋าชั้นหนึ่งระดับล่าง คลื่นมังกรวารี
ค้อนสะเทือนเขาทั้งสองอัน อันหนึ่งหลุดมือฝังอยู่ในดิน อีกอันหนึ่งทับอยู่บนร่างของซุนเสี่ยวหมานจนไม่รู้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ชั่วเวลาต่อมา ค้อนยักษ์บนร่างสาวน้อยเท้าเปล่าสั่นไหว นางสูดลมหายใจลึก ย้ายค้อนยักษ์อันนี้ออกมาและลุกขึ้นยืนทันใด
เจียงวั่งพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหยางซิ่งหย่งกับเจ้าเถี่ยเหอจึงต้องทุ่มเทเอาเป็นเอาตายเสียขนาดนี้
ลูกศิษย์ชั้นปีสามและปีห้าของพวกเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก กระทั่งพูดได้ว่าอ่อนแอด้วยซ้ำ เด็กอ้วนคนนั้นมีพลังป้องกันที่แทบจะไร้เทียมทานในคนระดับเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่อายุน้อยเกินไป สั่งสมประสบการณ์ยังไม่มากพอ
ศึกของศิษย์ปีหนึ่งน่าจะเป็นโอกาสคว้าชัยเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา เป็นโอกาสเดียวที่จะสำแดงศักยภาพในอนาคตของเมืองซานซาน คนสำนักเต๋าเมืองซานซานรวมศิษย์พี่ใหญ่ฉู่ผิงที่สู้จนตัวตายไปสิบคนล้วนเป็นยอดฝีมือในกลุ่มลูกศิษย์ทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าขาดแคลนกำลังคนมากความสามารถแล้ว ดังนั้นเด็กสาวที่ฝึกแต่วิชายุทธ์อย่างซุนเสี่ยวหมานจึงจำต้องออกมานำกลุ่ม ดังนั้นซุนเซี่ยวเหยียนเด็กอ้วนอายุสิบสามขวบจึงถูกพาตัวออกมาด้วยวิธีการต่างๆ นานาภายใต้ความยินยอมของมารดาเขา
ไม่มีเหตุผลอื่นใด เมืองซานซานในเวลานี้ต้องการทรัพยากรมาก! งานสามเมืองเสวนาเต๋าที่ราชสำนักจวงจะจัดสรรทรัพยากรลงมาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับพวกเขา
และยามนี้ศิษย์ชั้นปีห้าอีกคนหนึ่งของเมืองซานซานก็ถูกจางหลินชวนโค่นไปแล้ว แรงกดดันทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่สาวน้อยเท้าเปล่าคนนี้
ด้วยเหตุนี้นางจึงยืนขึ้นมา
ในสภาพที่กระดูกหน้าอกยุบลงไปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้แสดงพลังระดับหกออกมา
ร่างเล็กอ้อนแอ้นของนางโอนเอนแต่ก็ไม่ยอมล้มลง
หลินเจิ้งเหรินกวักมือเรียก แส้นาคามรกตที่ถูกซัดปลิวไปบินกลับเข้ามาอยู่ในมือ
แส้เส้นนี้สามารถเพิ่มพลานุภาพของวิชาเต๋าธาตุดินให้เขาได้
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ
เขาประสานปางมือจบอย่างรวดเร็วอีกครั้งตามลำดับขั้นตอน งูหลามยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งพุ่งทะลวงดินออกมาพันรัดร่างซุนเสี่ยวหมานไว้แน่น
แค่รอบเดียวก็มองไม่เห็นร่างของสาวน้อยเท้าเปล่าแล้ว คนกับค้อนถูกห่อไว้ใต้ร่างที่พันรัดของงูหลามยักษ์สีเขียว
วิชาเต๋าชั้นหนึ่งระดับล่าง งูเขียวรัดสังหาร
เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลย!
เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังคงนิ่งสงบ แทบจะมั่นคงจนทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุผล
ผู้บำเพ็ญอย่างหลินเจิ้งเหรินพูดได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด ไม่มีวันยอมให้โอกาสใดๆ แก่ศัตรู
“ท่านพี่!”
นอกลานประลอง ซุนเซี่ยวเหยียนใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว
ตอนนี้เอง มือข้างหนึ่งบีบคองูหลามยักษ์สีเขียวเอาไว้ พอเทียบกับขนาดของงูหลามยักษ์ มือข้างนั้นเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่ามีพละกำลังนัก
นั่นคือมือของต่งเออ
เมื่อเขาสะบัดมือ งูหลามยักษ์สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง เผยให้เห็นซุนเสี่ยวหมานที่ถูกรัดไว้
นางล้มลง
สติสัมปชัญญะดับวูบไปนานแล้ว แต่มือของนางยังคงกำค้อนสะเทือนเขาที่เหลืออยู่เอาไว้แน่น
“เจ้าชนะแล้ว” ต่งเออเอ่ยกับหลินเจิ้งเหริน
หลินเจิ้งเหรินโค้งตัว มีมารยาทอย่างไร้ที่ติ “ลำบากเจ้าสำนักต่งแล้ว”
จนถึงตอนนี้ ผู้ตัดสินจึงค่อยเข้ามาย้ายตัวซุนเสี่ยวหมานออกไปนอกลานประลอง ผู้ตัดสินที่มาจากนครเขตปกครองคนนี้ก็เพิ่งจะเปิดประตูฟ้าดินได้ การต่อสู้เมื่อครู่เขาจึงไม่ทันได้สอดมือเข้าช่วย
ต่งเออโบกมือ เป็นสัญญาณว่าเริ่มการแข่งขันรอบต่อไปได้
ขณะมองต่งเอ่อที่ลอยกลับมานั่งบนที่นั่งผู้ชม เว่ยชวี่จี๋ไม่ขยับปาก แต่มีเสียงดังขึ้นว่า “สะเทือนเขายอมรับเป็นนายแล้ว เด็กสาวคนนี้ภายภาคหน้าจะเก่งกาจนัก ทำไมไม่ให้หลินเจิ้งเหรินสังหารนางทิ้งเสีย”
“สามีเพิ่งตายไปไม่กี่ปี ถ้าลูกสาวมาตายอีก คนผู้นั้นที่เมืองซานซานจะคลั่งเอาได้”
“แม่พยัคฆ์ถึงแม้จะดุร้าย แต่ที่ผูกพยาบาทด้วยคือเมืองวั่งเจียง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเมืองเฟิงหลินนี่ ถ้าแม่เด็กคนนี้มีชีวิตต่อไป ในรุ่นเดียวกันใครจะเป็นคู่มือด้วยได้ อีกหน่อยมีแต่จะขวางทางลูกศิษย์เมืองเฟิงหลินของข้า”
ต่งเออไม่มองเขา เพียงส่งเสียงแผ่วเบากลับไปถึงหู “ศิษย์เมืองซานซานและศิษย์เมืองเฟิงหลิน ล้วนเป็นศิษย์แห่งรัฐจวงของข้าทั้งสิ้น”
เว่ยชวี่จี๋ไม่พูดอะไรอีก ไม่แสดงความเห็นว่าถูกหรือผิด
……………………………………….