ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 62 หมอกมงคลมาจากบูรพา เจ้ารัฐหวั่นเกรงรอบทิศ
ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของจู้เหวยหว่อคือเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาท่าสังหารที่ห้า หมอกมงคลแห่งบูรพา!
หมอกม่วงถาโถมมา พลังกระบี่พาดผ่านท้องฟ้าดุจสายรุ้ง
เจียงวั่งมาพร้อมกับกระบี่ พุ่งจากตะวันออกไปยังตะวันตกด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวที่สุด ก่อนโถมเข้าเสียบกระบี่ไปที่หัวใจของสยงเวิ่นจากด้านหลัง
จากนั้นก็ทิ้งกระบี่ตีลังกากลางอากาศ หลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่สยงเวิ่นจะโจมตีก่อนตาย
แต่ร่างที่ใกล้มอดม้วยของสยงเวิ่นไม่เหลือพลังอยู่แล้ว
ร่างกายที่เหี้ยมโหดน่ากลัวของเขาร่วงหล่นลงไปอย่างไร้หนทางทั้งยังตรงดิ่ง กระแทกลงกับพื้นดิน ไม่อาจผสานไปในเงาได้อีก
ดวงตาเบิกโพลงของเขายังบ่งบอกถึงความไม่อยากจะเชื่อให้เห็น
เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะตายไปแบบนี้!
และเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เลย เจ้าคนชั่วช้าต้อยต่ำคนนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสหนีไปหรอกหรือ
มันกลับซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอด นิ่งเงียบ อดทนอดกลั้น ไร้สุ้มเสียงเช่นนั้น แล้วแทงโจมตีเอาชีวิตในตอนนี้
นี่เป็นกระบี่ที่กะทันหัน เหลือเชื่อ ทั้งยังน่าตื่นตะลึงและประจวบเหมาะพอดี!
ท่ามกลางความอึ้งตะลึงของทุกคน เจียงวั่งค่อยๆ ลุกขึ้นมา
คืนนี้เจียงวั่งวางเดิมพันมาโดยตลอด ในเมื่อจู้เหวยหว่อตามล่าจนสยงเวิ่นต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทุกที่ได้ ก็ต้องมีวิธีไล่ตามพวกเขาทัน ไม่ว่าพวกเขาจะปิดบังร่องรอยอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น
เขายิ่งเดิมพันว่าเมื่อเขากลับไปไม่ทันเวลา หลิงเหอกับเจ้าหรู่เฉิงจะต้องคิดหาวิธีตามหาเขาอย่างแน่นอน ในฐานะที่เขาเป็นผู้ชนะของศิษย์ชั้นปีหนึ่งในงานสามเมืองเสวนาเต๋า สำนักเต๋าไม่มีทางเมินเฉยต่อการหายตัวไปของเขาแน่ นี่จะเป็นการให้เบาะแสอันเยี่ยมยอดกับจู้เหวยหว่อ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น
ดังนั้นเขาถึงได้กระตือรือร้นช่วยสยงเวิ่นซ่อนร่องรอย จนได้ความไว้ใจมาในช่วงเวลาสั้นๆ
ความจริงแล้วสิ่งที่เขาอยากทำคือการถ่วงเวลาสยงเวิ่นเท่านั้น
เขาจึงจงใจพาสยงเวิ่นเดินอ้อมรอบใหญ่ เข้ามาในตระกูลฟางอย่างลับๆ ล่อๆ ปีนเข้ามาในศาลบรรพชนของตระกูลฟาง และกระตุ้นพลังที่ปกป้องศาลบรรพชนตระกูลฟางขึ้นมา
แต่จะทำแค่นี้ไม่ได้
สยงเวิ่นคนนี้เหี้ยมโหด แข็งแกร่ง ทั้งยังกำเริบเสิบสาน ทำเรื่องฆ่าล้างสังหารอย่างไม่คาดคิดได้อยู่แล้ว
จู้เหวยหว่อแบกรับได้ แต่เขาทำไม่ได้
ตัวเขาเองสามารถหลบหนีไปให้ไกล ถึงขั้นไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกนับตั้งแต่นี้จวบจนกระทั่งสยงเวิ่นตาย แต่อันอันจะหลบซ่อนอย่างไร
ดังนั้นคืนนี้เขาจะต้องฆ่าสยงเวิ่นให้ได้
เขาจะปล่อยให้สยงเวิ่นหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
วันนี้ทั้งวันชีวิตเขาเสี่ยงอยู่ในกำมือคนอื่น ตอนนี้เขาสังหารคนกุมที่ชะตาชีวิตของเขาด้วยตัวเองแล้ว
จิตใจที่สุดโต่งรุนแรงเช่นนี้ทำให้รากพลังเต๋าในจุดผ่านสวรรค์ปั่นป่วนไม่หยุด
วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าเส้นเล็กๆ เหมือนไส้เดือนดินทะลวงชอนไชอยู่ตลอด คายพลังไม่จบสิ้น
แต่เจียงวั่งทำแค่หมุนตัว เดินออกไปข้างนอก
“เดี๋ยวก่อน” เป็นเสียงของจู้เหวยหว่อ
เจียงวั่งหันกลับมา เห็นจู้เหวยหว่อพยักพเยิดไปทางศพของสยงเวิ่น “รางวัลของเจ้า”
ผู้แข็งแกร่งระดับสยงเวิ่นต้องมีของดีติดตัวไม่น้อยแน่นอน ความหมายของจู้เหวยหว่อคือให้เขาเลือกเอาไปได้ตามสบาย
แต่เจียงวั่งไม่กล้าโลภมาก รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็โชคดีมากแล้ว เขารู้ดีว่าคืนนี้ใครเป็นตัวละครหลัก พูดได้ว่าหากไม่มีจู้เหวยหว่อ สยงเวิ่นอาจสามารถฆ่าเขาแล้วหนีต่อได้สบาย
และถึงแม้ว่าจะไม่มีกระบี่ที่เขาแทงออกไป สยงเวิ่นก็ไม่แน่ว่าจะหนีต่อไปได้
เขาแค่ตัดความเป็นไปได้อันน้อยนิดนั่นทิ้งไปเท่านั้น ไม่คิดเป็นอันขาดว่าการสังหารสยงเวิ่นเป็นคุณงามความดีของตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงทำแค่ยิ้มอย่างอ่อนล้า ตอบกลับว่า “ล้วนเป็นคุณงามความดีของศิษย์พี่ ศิษย์น้องไม่กล้ารับเป็นความชอบของตัวเอง”
พูดจบก็เดินเข้าไปในความมืด ไม่หันหน้ากลับมาอีก
จู้เหวยหว่อยิ้มๆ เพียงพูดกับคนตระกูลฟางทั้งหลายที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ว่า “ส่งร่างครบสมบูรณ์ไปที่สำนักเต๋า รบกวนพวกท่านแล้ว”
พูดจบก็เหวี่ยงทวนพาดไว้บนบ่า และจากไปเช่นนั้น ไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตระกูลฟางจะฮุบเอาของบนตัวสยงเวิ่น
เขามองได้ชัดเจนยิ่ง หากตระกูลฟางมีความกล้านั้นอยู่ เมื่อครู่ไม่มีทางตายแค่ชายชราที่เฝ้าศาลบรรพชนเพียงคนเดียวแน่
……
จวบจนเดินจากมาไกลมากแล้ว เจียงวั่งถึงเพิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ของคนตระกูลฟางทางด้านหลังพลันดังขึ้นมา
ชายชราที่ดูแลศาลบรรพชนคือผู้บำเพ็ญระดับแปดวัฐจักรดาราเพียงคนเดียวของตระกูลฟาง เดิมก็เป็นคนชรารุ่นก่อนที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วของตระกูล ทั้งยังเป็นเหมือนเสาหลักค้ำตระกูลฟางด้วย
แม้จะมีบุญคุณความแค้นกับตระกูลฟางมานาน แต่สำหรับชายชราคนนี้ พูดตามตรงแล้วเจียงวั่งรู้สึกผิดนัก
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น โลกก็โหดร้ายเช่นนี้ เขาแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เมื่อครู่เขาไม่ได้แสดงท่าทีออกมา
ในพริบตาที่เขาแทงสยงเวิ่นตายจากข้างหลัง มีของบางอย่างลอยออกจากร่างของสยงเวิ่นมาชนร่างเขา
ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นการย้อนโจมตีก่อนตายของสยงเวิ่น แต่ภายหลังพบว่าไม่ใช่
เพราะเขากลับมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย เงาลวงตาสีขาววาบผ่านแล้วหายไปในดวงตา เหมือนพันธนาการบางอย่างถูกปลดออก
เวลานี้ของสิ่งนั้นมาปรากฏอยู่ในจุดผ่านสวรรค์
มันเป็นเทียนเล่มสั้นๆ สีดำ ยังไม่ได้จุด
วิญญาณแท้ไส้เดือนดินกำลังว่ายวนอยู่รอบๆ มัน
เจียงวั่งยังไม่ทันได้สัมผัสมันให้มากยิ่งขึ้น เพราะเขาเห็นเจ้าหรู่เฉิงถือโคมเฝ้าอยู่ที่ปากทางด้านหน้า กำลังรอเขาอยู่
เจ้าหรู่เฉิงไม่ได้ถามเจียงวั่งว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เจียงวั่งก็ไม่ได้ถามเจ้าหรู่เฉิงเช่นกันว่าคืนนี้เขาทุ่มเททำอะไรลงไปบ้าง
สิ่งที่พวกเขาคุยกันคือเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น
“อันอันเล่า”
“พี่ใหญ่ดูแลอยู่น่ะ เด็กเล็กหลอกง่าย ข้าบอกว่าท่านไปซื้อน้ำตาลปั้นที่ตำบลเฟิ่งซีให้นาง นางก็เชื่อแล้ว”
เจียงวั่งทำหน้าขมขื่น “เวลานี้ข้าจะไปหาน้ำตาลปั้นมาจากไหน”
“ฮ่าๆๆ” เจ้าหรู่เฉิงหัวเราะอย่างได้ใจ ก่อนหยิบน้ำตาลปั้นที่งดงามเหมือนจริงห้าอันออกมา โบกไปมาตรงหน้าเจียงวั่ง “ข้าสั่งให้คนไปซื้อจากตำบลเฟิ่งซีมาแล้ว!”
……
ณ หอสามจรุง
เมี่ยวอวี้กำลังพูดอะไรกับคนสวมหน้ากากกระดูกขาว จู่ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้า
“เป็นอะไรไป”
เมี่ยวอวี้พึมพำ “เมล็ดพันธุ์กระดูกขาวที่ข้าฝังไว้หายไปแล้ว”
คนสวมหน้ากากกระดูกขาวเอาสองมือไพล่หลัง “เมล็ดพันธุ์กระดูกขาวที่เจ้าฝังรึ เมื่อไรกัน ฝังให้กับใคร”
เมี่ยวอวี้ดึงสติกลับมา ปรายตามองเขา เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ทำเรื่องของเจ้าให้ดี เรื่องของข้ายุ่งให้น้อยๆ หน่อย”
คนสวมหน้ากากกระดูกขาวก็ไม่ต่อล้อต่อเถียง มุดลงไปใต้ดินทันที
เมื่อคนคนนี้จากไป เมี่ยวอวี้จึงกลับมาทำท่าทางครุ่นคิดอีกครั้ง “หรือว่า…”
นางพลันยืนขึ้นมา แล้วก็นั่งลงไปใหม่
“ไม่ได้ ยังไม่แน่ใจ ข้าต้องระวังอีก ต้องระวังอีก…”
……
ตรอกอาชาเหิน บ้านตระกูลเจียง
จากท้องฟ้าแจ่มใส จนอาทิตย์อัสดง มาถึงราตรีที่เย็นเยียบ
สีหน้าของเจียงอันอันห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ
หลิงเหออยู่เป็นเพื่อนข้างๆ นาง คอยปลอบนางอย่างสุดความสามารถ ทว่าหนึ่งคือเขาไม่มีพรสวรรค์ในการปลอบคน สองคือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ผลเลย
เจียงอันอันไม่ได้เกลียดหลิงเหอผู้เป็นพี่ใหญ่คนนี้ แต่พูดจากใจจริง พี่หลิงไม่สนุกเหมือนพี่หรู่เฉิง
ส่วนพี่ตู้เหยี่ยหู่…หน้าตาก็โหดเกินไป!
แน่นอนว่าพี่ชายเหล่านี้ล้วนดีทั้งนั้น แต่พี่ชายทุกคนรวมกันแล้วสู้พี่ชายแท้ๆ ของตนไม่ได้
นางไม่ค่อยมีความสุข
กล่าวโดยใช้คำพูดของอาจารย์ก็คงเป็น ‘ความกังวลที่สั่งสมในใจข้า ทะลักล้นออกมาเป็นมหาวารี’
‘เฮ้อ’ เจียงอันหมดอาลัยตายอยาก
“อะไรที่คลายกังวลได้ มีเพียงน้ำตาลเท่านั้น”
น้ำตาลปั้นที่งดงามเหมือนของจริงตัวหนึ่งโผล่มาตรงหน้านาง จากนั้นก็เป็นตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่ และตัวที่ห้า
น้ำตาลปั้นห้าตัวเรียงราย
ข้างหลังน้ำตาลปั้นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเจียงวั่ง
“เจียงอันอัน! สุขสันต์วันเกิด! นับจากวันนี้ไป เจ้าอายุห้าขวบแล้ว!”
………………………………………………………