ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 64 ฝนกำลังจะมา
บทที่ 64 ฝนกำลังจะมา
บนกำแพงถ้ำ เปล่งแสงขาวทึมราวกับอยู่ในร่างโครงกระดูกสัตว์ยักษ์อะไรบางอย่าง
เดินผ่านอุโมงค์ยาวเข้ามาจึงเห็นว่าด้านในยังมีโถงกว้างอยู่อีกแห่ง
ในจุดกึ่งกลางของถ้ำ พรมสีแดงผืนหนึ่งปูอยู่ ทูตกระดูกขาวสวมหน้ากากกับเมี่ยวอวี้ในชุดแดง ยืนขนาบอยู่ทั้งสองด้าน
ด้านหลังพวกเขายังมีคนชุดคลุมดำอีกหลายคนติดตามอยู่เหมือนแบ่งออกเป็นสองฝักฝ่าย
พรมสีแดงฉานยื่นยาวไปถึงปลายสุด
ปลายสุดเป็นบันไดกระดูกขาว มีเลือดเนื้อกองจนเป็นแท่น และบนแท่นสูงยังมีเก้าอี้กระดูกที่ดูโหดร้ายอยู่ตัวหนึ่ง
บนเก้าอี้ มีโครงกระดูกที่ดูอ่อนแอเหี่ยวแห้งอยู่โครงหนึ่ง ราวกับว่าเพียงแค่ลมพัดก็ปลิวกระจัดกระจายลงแล้ว
แต่ก็มีเสียงดังลอดออกมาจากปากที่ว่างเปล่าของโครงกระดูก “ใครบอกข้าได้บ้าง ว่าเทียนยมโลกเล่มนั้นไปอยู่ไหนแล้ว”
ชายชราชุดคลุมดำคนหนึ่งทิ้งตัวคุกเข่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ”
เสียงนี้ยังคงดูว่างเปล่าราวกับไม่มีอารมณ์ใดๆ “แล้วใครบอกข้าได้อีกบ้าง การเคลื่อนไหวที่เสียหายยับเยินขนาดนี้ ใครคือผู้รับผิดชอบ”
ชายชราชุดคลุมดำมองทูตกระดูกขาวด้วยหางตา แต่เขาก็ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ช่วยเขาพูดอธิบายอะไรเลย เขาจึงโขกศีรษะลงกับพื้นหนักๆ “ข้าน้อย…สมควรตาย”
เสียงยังไม่ทันขาด เขาก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน ตกตะลึงเจ็บปวดขีดสุด “ท่านผู้อาวุโส! ได้โปรด…”
ประดุจมีลมหยินพัดผ่าน
ชุดคลุมดำผืนหนึ่งร่อนลงมาอย่างห่อเหี่ยว ใต้ชุดคลุมดำเหลือเพียงผงกระดูกกองหนึ่ง
เขาตายไปแล้ว
“ก็สมควรตายจริงๆ นั่นล่ะ” โครงกระดูกนั่นพูดต่อ “สำนักกระดูกขาวกว่าจะสืบทอดมาถึงปัจจุบัน วิชามากมายยังไม่สมบูรณ์ เทียนยมโลกเป็นสมบัติของสำนักเรา สืบทอดมาอย่างลับๆ เป็นกำลังเพื่อชดเชยวิชาที่ขาดหายไปให้ข้าได้ แต่พวกเจ้ากลับไร้ความสามารถ พลาดมันไปเปล่าๆ เช่นนี้!”
ตอนนี้เอง ทูตกระดูกขาวจึงเอ่ยขึ้น “ข้าจำได้ว่าธิดาเทพมีวางทางหนีทีไล่ไว้นี่”
เมี่ยวอวี้ยิ้มหยาดเยิ้ม “ท่านทูตเป็นฝ่ายรุกก่อน ข้าถึงได้มีทางหนีทีไล่ แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว คนของข้าก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย ไม่รู้ถูกเว่ยชวี่จี๋สังหารหรือว่าถูกพวกแมวป่าสุนัขป่ากินไปแล้ว”
ทูตกระดูกขาวหัวเราะ “รุกก่อนอะไรกัน ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“เอาล่ะ” บนเก้าอี้กระดูกขาว โครงกระดูกเอ่ยต่อ “ในเมื่อเว่ยชวี่จี๋เอาเทียนยมโลกมาเป็นเหยื่อ แสดงว่าเขารู้แล้วว่าสำนักกระดูกขาวของพวกเราเหยียบหน้าของเขา แต่ยังไม่รู้ว่าเทียนยมโลกมีความหมายอะไรกับพวกเรา เขาสังหารคนจนพอก็จะไม่สนใจใส่ใจอะไรกับเทียนยมโลกอีก ข้าต้องการให้พวกเจ้าสืบหาทุกตารางชุ่น หามาให้ได้ว่าเทียนยมโลกอยู่ในมือใคร”
“ทราบ” ทุกคนก้มหน้าทั้งหมด
“แล้วก็ ช่วงนี้ข้าจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่รัฐอวิ๋น พวกเจ้าทำอะไรก็เก็บเนื้อเก็บตัวหน่อย” ผู้อาวุโสพูดจบประโยคนี้ โครงกระดูกนั่นหลุดแยกจากกันในพริบตา กระดูกขาวร่วงกราวกองบนเก้าอี้กระดูก
เมี่ยวอวี้โบกมือ กลุ่มคนในถ้ำก็แยกย้าย จนเหลือเพียงนางกับทูตกระดูกขาวสองคน
ทูตกระดูกขาวร้องชิขึ้น “ผู้อาวุโสสามใช้ตนเองไปดึงความสนใจ นี่ให้ภาพมายาด่านประตูผีกับเขาไปเพื่อสร้างความน่าเกรงขามที่รัฐอวิ๋นหรือไรกัน”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ” เมี่ยวอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ผู้อาวุโสใหญ่ตอนนี้ เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับการค้นหาบุตรมรรคาเลย”
“ฮ่าๆๆๆ” ทูตกระดูกขาวไพล่หลังเดินออกไป “ตอนที่บุตรมรรคาไม่อยู่ เขาเป็นตัวแทนอำนาจของเจ้าเทวะ แล้วพอบุตรมรรคาปรากฏบนโลก เขาก็จะเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสใหญ่ไปจริงๆ แล้วเจ้าจะเลือกอย่างไรล่ะ”
…
ทุกครั้งที่มาถึงโรงทักษะ เจียงวั่งมักจะใจลอย
ไม่ใช่อื่นใด เขายังไม่มีรากฐาน ไม่ว่าจะร่ำเรียนไปมากสักเพียงไหน เขาก็ทำได้แค่ฝึกฝนในจิตใจ ดับความกระหายลงไม่ได้ และไม่สามารถที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
พอเทียบกับศิษย์คนอื่น เจียงวั่งกลับยอมที่จะไปเรียนวิชาคัมภีร์มากกว่า ฟังเหล่าอาจารย์อธิบายถึงเหตุผลแห่งมหามรรคา คัมภีร์ของเหล่าเทวะน่าจะทำให้เขาเพลิดเพลินกว่านี้
แต่วิชาของโรงทักษะเขาก็ไม่กล้าที่จะขาดเรียน โดยเฉพาะวิชานี้ของเซียวหน้าเหล็ก
ชื่อเดิมของเซียวหน้าเหล็กไม่มีใครจำได้แล้ว แม้จะเป็นแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับเจ็ดผ่านสวรรค์ แต่ความรู้เกี่ยวกับรากฐานวิชาเต๋าก็ลึกซึ้งและคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คาบเรียนยังไม่เริ่ม เจียงวั่งที่นั่งอยู่บนเบาะรองก็เริ่มใจลอย
เขาระลึกกลับไปถึงการท้าดวลแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อคืน แต่ก็วิเคราะห์รายละเอียดออกมาได้ไม่มากนัก
เพราะพอการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เขายังไม่ทันได้ชักกระบี่ ก็ถูกศรขนนกดอกหนึ่งจบการเคลี่อนไหวไปแล้ว
เขาร่วงลงมาจากแท่นหยกเขียวลงมาอยู่แท่นแสงสวรรค์อันดับที่ยี่สิบห้า ทุกเดือนการผลิตแต้มลดลงมาอีกหนึ่งร้อย เหลือเพียงหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบแต้ม พอบวกกับหนึ่งร้อยเก้าสิบแต้มหลังจากอนุมานเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพไปครั้งก่อน รวมแล้วมีหนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบแต้ม
ด้านนอกมิติมายาห้วงจักรวาล แต้มเต๋าในผังอันดับแต้มเต๋าของเขายังเหลืออยู่สี่ร้อยแต้ม ส่วนนี้คือจำนวนสุทธิทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญของเจียงวั่ง
เจ้าหรู่เฉิงแม้จะไม่ใช้ลูกกลอนเปิดชีพจรของสำนักเต๋าเพื่อเปิดชีพจร แต่เขาก็ยังแลกมาไว้ก้อนหนึ่ง น่าจะปิดบังอะไรไว้บางอย่าง เขาไม่อยากพูด เจียงวั่งเองก็ไม่คิดจะถาม
จากที่เด็กคนนี้อวดอ้าง เขาจะใช้ลูกกลอนเปิดชีพจรที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานที่สุดมาเปิดชีพจร น่าเสียดายที่เขามีอยู่แค่ก้อนเดียว จึงไม่สามารถแบ่งให้เจียงอันอันได้
เจียงวั่งเลยถามเขา ว่าเจ้าลูกกลอนเปิดชีพจร ‘ที่สมบูรณ์แบบไร้เทียมทานที่สุด’ นี่ต้องใช้แต้มเต๋าสักเท่าไรในการแลก
เจ้าหรู่เฉิงไม่ได้บอกจำนวนที่เป็นรูปธรรม เพียงแค่ตบลงบนบ่าของเขา บอกเขาต้องพยายามอีก
สรุปคือ จะเลี้ยงน้องสาวสักคน ภาระช่างหนักอึ้งหนทางช่างยาวไกล
ระหว่างที่ใจเหม่อลอย เซียวหน้าเหล็กก็ขึ้นไปบนแท่นปราศรัย
เจียงวั่งรีบตั้งสติ ปรับเป็นท่าทีขยันตั้งใจฟังขึ้นมา
“คนบางคน อย่าคิดว่าตัวเองมีผลงานนิดหน่อยก็จะยกหางกระดกขึ้นฟ้าได้นะ หนทางฝึกบำเพ็ญยังอีกยาวไกล เป็นคนหนุ่มสาวสายตาต้องกว้างไกล” เซียวหน้าเหล็กกระแอมขึ้นเสียงหนึ่ง “เอาล่ะ จากนี้พวกเราจะมาพูดถึงประโยชน์ของวิชาผิวศิลาในการต่อสู้กัน…”
ในใจเจียงวั่งสั่นกึก คิดไม่ออกว่าทำไมตนเองจึงถูกเพ่งเล็ง แต่ใบหน้าก็ไม่กล้าแสดงออก กลับเปลี่ยนเป็นตั้งใจมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ตอนจบคาบ พอเซียวหน้าเหล็กเดินออกไปหวงอาจ้านจึงพุ่งออกมาจากในมุม
“อ๊ะๆๆ เจ้าคนหน้าตายนี่! เขาเพ่งเล็งเจ้าขนาดนี้ เจ้าทนไหวหรือ คืนนี้ไปขว้างหน้าต่างเขากับข้าไหม กล้าหรือเปล่า”
พอเห็นหวงอาจ้าน เจียงวั่งก็เข้าใจทันทีว่าทำไมจึงถูกเพ่งเล็ง น่าจะเป็นเพราะพอดับไฟประตูเมือง กระทบไปถึงปลาในบ่อเป็นแน่
ปกติอยู่ใกล้หวงอาจ้านมากเกินไป เลยถูกเซียวหน้าเหล็กรวบบัญชีไปด้วยกัน
“จะไปเจ้าก็ไปเอง” เจียงวั่งไม่มีทางไปทำเรื่องโง่ๆ กับเขาแน่นอน
“ข้าบอกเจ้านะ ครั้งนี้ข้ามีแผนที่รอบคอบ…”
“หยุด!” เจียงวั่งหยุดบทสนทนายาวของเขา เปลี่ยนหัวข้อขึ้นมา “พวกเรานัดศิษย์พี่หลีเจี้ยนชิวทานข้าวไว้ เจ้าไปด้วยกันไหม”
“ฮึ เจ้าก็แค่ไม่เชื่อใจข้า บอกไว้นะ ครั้งที่แล้วเพราะข้าเมา ไม่งั้นแค่เซียวอย่างเขา…” หวงอาจ้านพอเห็นเจียงวั่งหันตัวออกเดิน ก็รีบร้อนไล่ตาม “ข้าไปด้วย!”
เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยขึ้นอย่างเอ้อระเหย “ค่าข้าวทุกคนออกเท่าๆ กันนะ”
หวงอาจ้านทำเหมือนไม่ได้ยิน โอบไหล่หลิงเหอและเริ่มพูดแผนการการเอาคืนของเขาขึ้นอีกครั้ง
หลิงเหอนิสัยใจกว้าง แม้จะไม่มีทางไปทำเรื่องไม่ดีกับเขา แต่ก็ไม่คิดจะจงใจมองเหยียดเขา
คุณชายเจ้าเองก็ทำอะไรศิษย์พี่ที่โตกว่ารุ่นหนึ่งคนนี้ไม่ได้ หนังหน้าด้านทน แทงเท่าไรก็ไม่ทะลุ
ตัวตั้งตัวตีข้าวมือนี้คือหลีเจี้ยนชิว เขานัดเจียงวั่ง และบอกว่าให้พาเพื่อนไปด้วย
สถานที่คืออ้อมกอดศีลธรรม ร้านนี้ระดับสูงกว่าหอชมจันทร์เล็กน้อย แต่หลักๆ ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ เจียงวั่งที่ชอบกินเนื้อร่ำสุราแน่นอนว่าไม่เคยมา
พอเข้าห้องจองเหมา ก็เห็นหลีเจี้ยนชิวนั่งอยู่คนเดียว
ทุกคนคุ้นเคยกันดีแล้ว จึงไม่มีการเกรงอกเกรงใจกัน นั่งลงคีบอาหารกันทันที
ตู้เหยี่ยหู่เป็นคนที่ไม่ชอบอาหารมังสวิรัติมากที่สุด โดยเฉพาะพวกอาหารน่าขันรสไก่ย่างหรือเนื้อวัวที่ทำมาจากผักพวกนั้น เหตุผลของเขาคือ ถ้าต้องเสียเวลามากมายขนาดนี้ ทำไมไม่กินไก่ย่างกินเนื้อวัวไปเลย พอเจ้าหรู่เฉิงใช้คำว่ารสนิยมสรุปให้ พวกเขาก็โต้เถียงกันขึ้นมา
ยังดีที่ตอนนี้ตู้เหยี่ยหู่ไม่อยู่ คนอื่นๆก็ไม่ได้มีปัญหาเหมือนเขา
หวงอาจ้านเล่าเรื่องร่ำลือเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ว่ากันว่าหลินเจิ้งเหรินหลังจากกลับไปเมืองวั่งเจียงแล้วเหิมเกริมมาก ประกาศตัวว่าตนเองไร้เทียมทานที่สุดในงานเสวนาเต๋าสามเมืองในงานเลี้ยง เมืองซานซานกับเมืองเฟิงหลินไม่มีใครได้เรื่อง จู้เหวยหว่อที่กลับมาสำนักเต๋าได้ไม่นาน หลังจากได้ยินเรื่องนี้ก็หิ้วหอกออกจากเมือง พายเรือในแม่น้ำหลิวขจีแล่นตามแม่น้ำชิงตรงไปเมืองวั่งเจียงคนเดียว
น่าจะไปวัดกัน
เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “ดูจากท่าทีบนงานเสวนาเต๋าสามเมืองของหลินเจิ้งเหริน เขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้นะ ไม่น่าพูดอะไรแบบนี้หรอกกระมัง”
แต่หลีเจี้ยนชิวก็หัวเราะร่า “ศิษย์พี่จู้ก็แค่หาข้ออ้างออกไปอัดเขาเท่านั้น จะไปสนทำไมว่าพูดหรือไม่พูด! ในเมื่อมันแพร่ออกไปแล้ว ก็ถือว่าเขาพูดนั่นล่ะ”
เขาคลุกคลีกับจู้เหวยหว่อมามากหน่อย แน่นอนว่าเข้าใจคนผู้นี้มากกว่าคนอื่นๆ
เจียงวั่งแม้จะเคยพบแค่ครั้งเดียว แต่เขาก็รู้สึกว่าที่หลีเจี้ยนชิวพูดออกมา ดูสอดคล้องกับท่าทีของจู้เหวยหว่อมากเหมือนกัน
“อหังการ”
“ร้ายกาจ”
“พลานุภาพแห่งศิษย์พี่จู้!”
“เอาล่ะ คนก็ไม่อยู่ที่นี่ ประจบประแจงไปเขาก็ไม่ได้ยิน” หลี้เจี้ยนชิวโบกไม้โบกมือ เข้าหัวข้อสนทนาหลักตรงๆ “เมืองซานซานช่วงนี้โดนสัตว์ร้ายคุกคามอย่างรุนแรง เมื่อวานเจ้าเมืองพวกเขาประกาศเงินรางวัล เชิญกลุ่มยอดฝีมือไปช่วยจัดการกวาดล้างสัตว์ร้ายให้พวกเขาหน่อย นี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีของเมืองซานซาน ข้าเตรียมจะจัดกลุ่มออกไป เป็นอย่างไร พวกเจ้าอยากไปกับข้าไหม”
……………………………………….