ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 65 ยอดเขาพู่กัน หยกสมดุล เหินทะยาน
ภารกิจประกาศเงินรางวัลของเมืองซานซานเจียงวั่งก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ว่าภารกิจนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ประกาศอยู่บนกระดานแต้มเต๋า แต่ให้เมืองซานซานเป็นฝ่ายประกาศ เผชิญหน้ากับผู้คนเอง
พูดจากในมุมใดมุมหนึ่งแล้ว มันไม่ได้การรับรองจากราชสำนักจวง
แน่นอน เงินรางวัลของภารกิจนี้ ราชสำนักจวงไม่ได้เป็นคนออก ว่ากันว่าเป็นเจ้าเมืองซานซานควักคลังสมบัติออกเองเพื่อการนี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รางวัลมากกว่าภารกิจระดับเดียวกันบนกระดานแต้มเต๋า
“เป็นรางวัลวัตถุจริง อย่างอาวุธเวท เคล็ดวิชาลับ หินรากพลังเต๋า” หลีเจี้ยนชิวเอ่ยเสริม
รางวัลวัตถุจริงคำนวณยากไม่เหมือนแต้มเต๋า แต่เพราะมันคำนวณยากกลับทำให้ราคามักจะสูงกว่ารางวัลแต้มเต๋าไม่น้อย
“ต้องขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นะศิษย์พี่หลี” เจียงวั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ภารกิจที่จะเป็นต้องใช้กลุ่มเล็กๆ ทำงานร่วมกันเช่นนี้ ทำไมท่านจึงไม่นำกลุ่มของตัวท่านเองไปเล่า โดยเฉพาะรางวัลยังดีขนาดนี้”
ลูกศิษย์สำนักเต๋าที่มักจะออกไปทำภารกิจล้วนมีกลุ่มแน่นอนทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นจางหลินชวน หวางฉางเสียงก็เป็นเช่นนี้ ล้วนแต่มีบุคคลสำคัญในกลุ่มของตัวเองทั้งนั้น
รอเมื่อพวกหลิงเหอ เจ้าหรู่เฉิงสร้างรากฐานพลังได้แล้ว พวกเขาก็จะรวมตัวไปทำภารกิจต่างๆ นานาเช่นกัน ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ส่วนใหญ่แยกกัน ไปร่วมกับกลุ่มอื่นๆ
มีเพียงหลีเจี้ยนชิวที่เหมือนว่าจะไปไหนมาไหนตามลำพัง
หลีเจี้ยนชิวเม้มปาก ตอบไปว่า “พวกเขาตายหมดแล้ว เหลือเพียงข้าเท่านั้น”
คนทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะพูดอะไรไปในทันที แม้จะบอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ควรจะเฉยชาต่อเป็นตายพลัดพรากแยกจาก แต่คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ใครบ้างจะไม่หวั่นไหว
หวงอาจ้านหัวเราะแห้งๆ สองที พยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “เอ่อ กลุ่มของศิษย์พี่ไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไร…”
หลิงเหอดึงเขา เอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่หลี ภารกิจนี่ไม่ได้อยู่บนกระดานแต้มเต๋า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการวิเคราะห์กำหนดระดับ แต่ดูจากรางวัลแล้ว ความยากต้องไม่ต่ำกว่าระดับเจ็ดแน่ พูดตามตรง พลังแท้จริงของพวกเราล้วนไม่ถึงขั้น เกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงท่าน”
“อันที่จริง ภาจกิจล้อมสังหารสัตว์ร้ายครั้งนี้ ระดับความยากโดยรวมแล้วน่าจะอยู่ที่ระดับหก” หลีเจี้ยนชิวสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ พูดต่อไปว่า “แต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า เมืองซานซานได้ชื่อมาเพราะยอดเขาสามลูกในเมือง ได้แก่ ยอดเขาพู่กัน เขาหยกสมดุล และเขาเหินทะยาน
ภูเขาสามลูกนี้บ้างสูงตระหง่านน่าอัศจรรย์ บ้างสูงชันอันตราย ล้วนแต่เป็นภูเขามีชื่อเสียงทั้งนั้น เมืองซานซานได้ชื่อมาเพราะมัน แต่ในขณะเดียวกัน เขาทั้งสามลูกนี้ก็เป็นแหล่งกำเนิดของภัยร้ายสัตว์ในเมืองซานซาน”
“เป็นรังของสัตว์ร้ายอย่างนั้นหรือ” เจียงวั่งถาม
หลีเจี้ยนชิวพยักหน้า “ในนี้ยอดเขาพู่กันเมื่อสองปีก่อนก็ถูกกวาดล้างเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากนั้นสองปี คิดว่าเมืองซานซานคงจะสะสมพลังได้มากเพียงพอ เป้าหมายการกวาดล้างของพวกเขาครั้งนี้คือเขาหยกสมดุล แต่พวกเราไม่ไปที่นั่น พวกเราจะไปยอดเขาพู่กัน”
“ยอดเขาพู่กันไม่ใช่ว่า…”
“แม้ยอดเขาพู่กันจะทำการกวาดล้างไปแล้ว แต่สองปีผ่านไปก็มีสัตว์ร้ายประเภทใหม่เพ่นพ่าน เพียงแค่กระจัดกระจายไม่เป็นฝูง เป้าหมายของพวกเราคือพวกมัน ดังนั้นความยากของภารกิจเทียบกันแล้วง่ายกว่ามาก” หลีเจี้ยนชิวพูดถึงตรงนี้ก็หยิบตะเกียบขึ้นมา “เรื่องก็เป็นแบบนี้ พวกเจ้าตัดสินใจเองว่าไปหรือไม่ ไม่ไปก็ไม่กระทบต่อมิตรภาพของพวกเรา”
เจียงวั่งรู้ว่าแม้จะคุ้นเคยกันดีกับหลีเจี้ยนชิว แต่ก็แค่คุ้นเคยดีเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างประทับใจกันไม่เลว แต่ถ้าพูดถึงมิตรภาพก็ไม่ได้ลึกซึ้งเลยจริงๆ
หากครั้งนี้ปฏิเสธก็คงจะเหินห่างกันแล้ว
แต่เจียงวั่งไม่มีทางบุ่มบ่ามรับปากเพียงเพราะอยากคบค้ากับหลีเจี้ยนชิว แต่เดิมเขาก็หวั่นไหวกับภารกิจครั้งนี้จริงๆ หนึ่งเพราะค่าตอบแทนของภารกิจค่อนข้างสูง สองเพราะเขาก็อยากเป็นกำลังให้กับเมืองซานซานสำหรับความยากลำบากให้ครั้งนี้ สามเพราะรากฐานพลังของเขากำลังจะสร้างสำเร็จในไม่กี่วันนี้แล้ว ต้องการภารกิจเช่นนี้มาคุ้นเคยกับวิชาเต๋าพอดี
คิดถึงตรงนี้เจียงวั่งก็พูดขึ้นทันทีว่า “ด้วยพลังของศิษย์พี่หลี ยินดีพาพวกเราไปด้วยถือเป็นวาสนาของพวกเรา”
หลีเจี้ยนชิวมองเจียงวั่งด้วยแววตามีความหมายลึกซึ้งนัก แล้วพูดขึ้น “อาศัยลำพังเพียงกระบี่ที่เจ้าสังหารสยงเวิ่นกระบี่นั้น ก็มีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว อีกทั้งในกลุ่มของพวกเจ้า หลิงเหอสุขุมรอบคอบ ตู้เหยี่ยหู่ความสามารถในการต่อสู้สูงส่งทั้งยังกล้าหาญไร้ความกลัว เจ้าหรู่เฉิงฉลาดมีพรสวรรค์”
เขาแม้แต่ตู้เหยี่ยหู่ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยยังชมเชย ย่อมไม่ลืมหวงอาจ้าน “เสี่ยวหวง…ก็มีไหวพริบดีมาก”
“ศิษย์พี่หลีดวงตาหลักแหลมนัก!” หวงอาจ้านอวยขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ขอร่วมแล้วกัน” หลิงเหอเอ่ย “ข้าเปิดชีพจรได้ไม่นาน ยังอยู่ในช่วงสะสมรากพลังเต๋าสร้างรากฐาน ข้าอยู่ที่สำนักเต๋าก็แล้วกัน จะได้ดูแลอันอันด้วย”
หลังจากเปิดชีพจรเต๋า ก่อนสร้างรากพลังเป็นช่วงที่ผู้บำเพ็ญกระอักกระอ่วนที่สุด ด้านหนึ่งเพราะพวกเขาต้องสะสมฐานพลังรากพลังเต๋า อีกด้านหนึ่งคือ หากไม่อาศัยรากพลังเต๋า พวกเขาไม่สามารถดึงกำลังรบเหนือมนุษย์ออกมาได้ อย่างเจียงวั่งที่ศึกษาฝึกฝนมีวิชากระบี่อันเยี่ยมยอดเช่นนี้ถือเป็นข้อยกเว้น
จะบอกว่าเป็นการส่งเสริมก็ดี หรือจะบอกว่าเป็นการดูแลก็ดี หลิงเหอล้วนไม่อยากตามไป ‘ร่วมด้วย’ เขายินดีที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงทีละก้าวๆ มากกว่า
“ได้ อย่างนั้นพี่ใหญ่อยู่นี่” ความสัมพันธ์ของสามสี่คนนี้ไม่ต้องอ้อมค้อม เจียงวั่งตัดสินใจทันที
สุดท้ายกลุ่มคนที่ยืนยันไปเมืองซานซานก็มีหลีเจี้ยนชิว เจียงวั่ง เจ้าหรู่เฉิง หวงอาจ้าน พวกเขานัดกันว่าหลังจากนี้สามวันจะออกเดินทางจากประตูทิศใต้
……
พื้นที่ตระกูลหวาง
ยังคงเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลออกไปแห่งนั้น หวางฉางเสียงเข้าไปในเรือนอย่างดีใจลิงโลด “พี่!”
ตอนนี้หวางฉางจี๋นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้เอน ในมือมีหนังสือที่ออกเหลืองแล้วเล่มหนึ่ง ที่เท้ามีแมวอ้วนสีส้มนอนอยู่ เสพสุขกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นของต้นฤดูหนาวด้วยกัน
ได้ยินเสียงของหวางฉางเสียง เขาไม่ขยับตัว เพียงแค่พูดขึ้นอย่างเอื่อนเฉื่อยว่า “มีอะไร”
กลับเป็นเจ้าแมวอ้วนส้มเมื่อได้เห็นหวางฉางเสียงก็หมุนตัวไปอย่างไม่สบอารมณ์ หันก้นใส่เขา
“ท่านดูนี่” หวางฉางเสียงเร่งฝีเท้า วิ่งไปข้างหน้าหวางฉางจี๋ ก้มตัวลงเล็กน้อย แกว่งขวดหยกใบนี้ไปมาที่หน้าพี่ชาย “นี่คืออะไรรู้หรือไม่”
หวางฉางจี๋ย่อมรู้จักขวดนี้ เจากระทั่งว่าจำได้ถึงรูปร่างลักษณะ ทุกรายละเอียดของยาที่อยู่ในขวดหยกได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ตอนแรกเขายังวาดหวังเอาไว้มากขนาดไหน ภายหลังก็ต้องผิดหวังมากขนาดนั้น
เสี้ยวขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขามีอารมณ์กี่แบบที่พุ่งพล่านในใจ แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่เหลือบตาขึ้น “สิทธิ์รายชื่อของเจ้าใช้หมดไปแล้ว แต้มเต๋าหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม รวบรวมได้ยากกระมัง”
“ไม่ยาก” หวางฉางเสียงส่ายหน้า ยิ้มสดใสเบิกบาน “น้องชายของท่านคนนี้เป็นผู้ชนะเลิศของนักเรียนชั้นปีสามงานประลองสามเมืองเสวนาเต๋า!”
บุคลิกท่าทางของหวางฉางเสียงทำให้คนมองว่าอ่อนโยน สุขุมมาโดยตลอด มีเพียงที่เรือนเล็กแห่งนี้ถึงจะได้แสดงความร่าเริงสดใสออกมาได้บ้าง
หวางฉางจี๋พลิกหน้าหนังสือ “ลำบากเจ้าแล้ว แต่สำหรับข้าไม่มีความหมายอะไร”
“ลองดูเถอะ ลองดูสักอีกครั้ง”
หวางฉางจี๋ปรายตามองแมวส้มขี้เกียจที่เท้าแวบหนึ่ง “ให้ข้ากิน ไม่สู้ป้อนให้เจ้าส้มเสียยังจะดีกว่า แบบนี้แล้วมันจะได้มีชีวิตนานหน่อย แล้วก็ใกล้ชิดกับเจ้าอีกสักหน่อย”
“นั่นไม่ได้หรอก ท่านพ่อได้ตีข้าตาย”
“ให้ข้ากินเขาจะไม่ตีเจ้าหรือ”
“ท่านพ่อเขา…ในใจก็รักท่านมากเช่นกัน”
“เจ้าคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ตระกูลก็ได้มอบทรัพยากรให้เช่นกัน จะต้องได้ผลเก็บเกี่ยวถึงจะได้ เอาลูกกลอนเปิดชีพจรกลับไปเสีย” หวางฉางจี๋เอาหนังสือปิดหน้า “ถึงเวลานอนกลางวันข้าแล้ว”
หวางฉางเสียงร้อนรนแล้ว “พี่!”
“หากเจ้าทิ้งลูกกลอนเปิดชีพจรเอาไว้ ข้าจะป้อนให้เจ้าส้มกิน” เสียงของหวางฉางจี๋ที่ดังมาจากใต้หนังสือยังคงเรียบเฉย
แต่หวางฉางจี๋กลับสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวที่อยู่ในนั้น
เขาทำได้เพียงแค่เก็บขวดหยกกลับไป เดินอาลัยอาวรณ์จากไป
เขาเห็นหนังสือเก่าที่ปิดหน้าพี่ชายของเขาเล่มนั้น มันเป็นคัมภีร์เต๋าเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า—— ‘คัมภีร์โปรดสัตว์’
………………………………………………………