ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 70 เหตุที่จดจำ
หลีเจี้ยนชิวยืนนิ่งอยู่ใต้หินยักษ์ มีเพียงไฟจากกระบี่เพลิงที่ไหวระริกอยู่กลางสายลม
เจียงวั่งเดินมาข้างเขา จึงมองเห็นตัวอักษรสลักบนก้อนหินได้ชัดเจน
“รัชศกหย่งไท่ปีที่สิบสอง ศึกนองเลือดร้อยค่ายกล มือไพล่หลังไร้ผู้เทียมทาน ทิ้งชื่อให้ชนรุ่นหลังเลื่อมใสบูชา!”
ลงชื่อว่าอู๋
น่าจะยังเขียนไม่เสร็จ เพราะข้างๆ ยังมีเส้นขีดอีกเส้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเริ่มสลักอักษร
หย่งไท่เป็นชื่อรัชศกของเจ้ารัฐจวงในปัจจุบันนี้ ตอนนี้เป็นรัชศกหย่งไท่ปีที่สิบสี่แล้ว และก็เป็นเต๋าศักราชสามเก้าหนึ่งเจ็ด
หรือก็คือ ตัวอักษรที่สลักไว้บนก้อนหินสลักทิ้งไว้เมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนที่เขายอดพู่กันถูกกวาดล้างเป็นครั้งแรก
หลังจากหลีเจี้ยนชิวสังหารสัตว์ร้ายแล้ว ก็ไม่เอ่ยชื่นชมผลงาน และไม่กล่าวสรุป ยิ่งไม่เดินไปข้างหน้าต่อ แต่หยุดอยู่ข้างหน้าก้อนหินแกะสลักที่เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องราวก้อนนี้ เงียบงันไม่พูดจา
บรรยากาศแบบนี้ทำให้แม้แต่หวงอาจ้านที่ไม่รู้กาลเทศะยังต้องหุบปาก
หลีเจี้ยนชิวเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็สลายกระบี่เพลิงในมือ สุดท้ายก็มาอยู่ข้างหน้าพวกเจียงวั่ง ชักกระบี่ที่อยู่ข้างเอวออกมาช้าๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงวั่งเห็นกระบี่เล่มนี้ออกจากฝัก
งดงาม เจิดจ้า เป็นคำบรรยายที่คิดถึงเมื่อได้เห็นแวบแรก เป็นคำที่ไม่เข้ากับอาวุธกระบี่เลย แต่เมื่ออยู่กับกระบี่เล่มนี้ กลับเหมาะสมยิ่งนัก
หลีเจี้ยนชิวถือกระบี่เล่มนี้มือเดียว แล้วสลักไปบนก้อนหินเพิ่มอีกเส้นสองเส้น
อู๋ซาน
ชื่อนี้ธรรมดานัก แต่น่าจะเป็นชื่อของผู้อาวุโสที่ดูแล้วจะไร้ผู้เทียบเทียนคนนั้นแล้ว
ปลายกระบี่หลีเจี้ยนชิวพริ้วไหว สลักประโยคเอาไว้อีกแถวหนึ่งว่า: ชนรุ่นหลังมุ่งหน้ามาขอคารวะ!
และเขียนขึ้นอีกแถวหนึ่งเพื่อลงชื่อ:สุนัขขี้แพ้หลีเจี้ยนชิว
เศษหินกระเด็นกระดอนร่วงลงพื้น และก็เหมือนความรู้สึกอะไรบางอย่างฝังกลบไปในฝุ่นธุลี
“ไปเถอะ” หลีเจี้ยนชิวหมุนตัวเอ่ย “พวกเราไปยอดเขากัน”
อ้อมหินก้อนนี้ไป คนทั้งหลายเหยียบย่ำใบไม้ทับถม เดินมุ่งหน้าไปตามช่องระหว่างหินผา
ที่นี่เมื่อก่อนบางทีอาจจะมีทาง แต่ผ่านไปสองปีก็กลับสู่สภาพดั้งเดิมของมัน
ในหุบเขาไร้เส้นทาง แต่ทางอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“เมื่อครู่ข้าเห็นกระบี่ของเจ้าเสียหายแล้ว พวกเรากวาดล้างเขายอดพู่กันเพียงลำพัง กระบี่เวทที่แลกได้เล่มหนึ่งให้เจ้าก็แล้วกัน” หลีเจี้ยนชิวเอ่ย
“ได้อย่างไรกัน” เจียงวั่งโบกมือ “ภารกิจไม่ใช่ข้าออกแรงคนเดียวสักหน่อย อีกทั้งศิษย์พี่ต่างหากที่เป็นกำลังหลัก…”
ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญที่ชินกับการใช้กระบี่ ความปรารถนาในกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งของเจียงวั่งย่อมไม่ต้องพูดถึง หากการเดินทางนี้มีเพียงเขากับเจ้าหรู่เฉิง เช่นนั้นเขาไม่มีทางเกรงใจแน่นอน แต่กับหลีเจี้ยนชิว กระทั่งหวงอาจ้าน มิตรภาพยังไม่ถึงระดับนั้น
หลีเจี้ยนชิวตบๆ กระบี่ที่ข้างเอวแล้วพูดว่า “ข้ามีกิ่งท้อ ไม่ต้องการกระบี่เล่มอื่น”
ที่แท้กระบี่เล่มนี้ชื่อว่ากิ่งท้อ ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมนัก งดงามเจิดจ้าเช่นนั้น เจียงวั่งคิดในใจ
หลีเจี้ยนชิวเอ่ยขึ้นอีกว่า “กระบี่เวทระดับนี้ราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณหกร้อยแต้มเต๋า เจ้าแบ่งแต้มเต๋ามาให้พวกเราทุกคนคนละหนึ่งร้อยแต้มก็พอแล้ว”
คำนวณดูแล้วเจียงวั่งก็ยังกำไรมหาศาลอยู่ดี แต่สำหรับคนที่เหลือความจริงแล้วก็ไม่ขาดทุน ในเมื่อแต้มเต๋าเป็นเงินแข็ง[1]และวัตถุที่แลกเปลี่ยนของภารกิจพวกเขาก็ใช่ว่าจะได้ใช้
“ตกลง” เจียงวั่งไม่เกรงใจอีก
สองคนที่เหลือก็ไม่มีข้อเห็นต่าง
หลีเจี้ยนชิวหันไปพูดกับหวงอาจ้าน “ดูจากวิชาเต๋าของเจ้า เจ้าน่าจะเดินทางเดียวกับเสิ่นหนานชี เพียงแต่คนหนึ่งเป็นธาตุทอง คนหนึ่งเป็นธาตุไฟก็เท่านั้น”
หวงอาจ้านเกาหัวแกรกๆ ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ลองผิดลองถูกเอง ไม่เป็นระบบ”
“วิชาเต๋าธาตุไฟรุนแรง เจ้าต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมวิชาเต๋าให้มากขึ้นถึงจะถูก ยกตัวอย่างเช่นกระสุนเพลิงวิชาเต๋าวิชานี้” หลีเจี้ยนชิวประสานปางมือง่ายๆ กระสุนเพลิงลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นมา
“มันระเบิดตอนไหน ระเบิดอย่างไร ขอบเขตเท่าไร ความเร็วระดับไหน เจ้าล้วนต้องทำให้ได้ดั่งใจ” กระสุนเพลิงลูกหนึ่งภายใต้การควบคุมของหลีเจี้ยนชิว ประเดี๋ยวก็ไปข้างหน้า ประเดี๋ยวไปข้างหลัง ขยายใหญ่ขึ้นแล้วก็หดเล็กลลง จากนั้นก็พลันเร่งความเร็วชนหินผาก้อนหนึ่งแหลกละเอียด
“ได้รับการสั่งสอนแล้ว” หวงอาจ้านโค้งคารวะอย่างมีมารยาท แสดงถึงความขอบคุณ
หลีเจี้ยนชิวโบกมือ พูดกับเจ้าหรู่เฉิงอีกว่า “เจ้าฉลาดมาก ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าในบรรดาพวกเจ้าพรสวรรค์การต่อสู้ของตู้เหยี่ยหู่มากที่สุด คิดไม่ถึงว่ามองข้ามเจ้าไป พรสวรรค์การต่อสู้ของเจ้าไม่แพ้เขา เพียงแต่เขาอาศัยลางสังหรณ์การต่อสู้ที่มีมาแต่กำเนิด”
เขาจิ้มๆ ไปที่หัว “เจ้าอาศัยตรงนี้”
เจ้าหรู่เฉิงหัวเราะฮ่าๆ “อย่างนั้นหรือ ท่านไม่พูดข้าไม่รู้เลยนะเนี่ย”
หวงอาจ้านคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “ไม่ถูกนี่ ศิษย์พี่หลี ในสามคนนี้ แค่ข้าที่ต้องชี้แนะคนเดียวหรือ”
หลีเจี้ยนชิวยิ้มแต่ไม่ตอบ
ในการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่เขากระจ่างแจ้งในทุกรายละเอียดการต่อสู้ของทุกคน มากพอที่จะบอกถึงความเชี่ยวชาญของเขา
เพียงแต่ไม่รู้ทำไม ตอนสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนั้นกลับไม่แสดงความสามารถที่เหมาะสมออกมา
พู่กันขนหมาป่าด้ามหนึ่ง ด้ามพู่กันตั้งตรง โคนกลมหนาเต็มอิ่ม ปลายพู่กันเรียวเหมือนกรวยแหลม
พลิกมันขึ้นมา ก็จะเป็นรูปร่างของเขายอดพู่กัน
หลังจากข้ามผ่านครึ่งทางสู่ยอดเขา เดินไปอีกช่วงระยะหนึ่งก็จะเป็นตำแหน่งของขนพู่กัน และก็เป็นบริเวณที่กว้างที่สุดของพื้นที่หน้าตัดเขายอดพู่กันทั้งลูก
ที่นี่คือศูนย์รวมของสัตว์ร้ายเขายอดพู่กัน
คนทั้งหลายอยู่ห่างออกไปไกลก็ได้ยินเสียงคำรามของฝูงสัตว์ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ก็มีสัตว์ร้ายที่อดทนไม่ไหวพุ่งออกมา
นี่เป็นสัญญาณบางอย่าง จากนั้นก็เหมือนรังแตนแตก สัตว์ร้ายรูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ แห่ดาหน้าเข้ามา
ตะขาบวายุ งูหินผา เสือหมาไน แมงมุมภูเขา…
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลีเจี้ยนชิวยังมีเวลาว่างนับคร่าวๆ ขึ้นมา “พอได้อยู่ ไม่ถึงร้อยตัว ยังไม่เป็นฝูง”
เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กิ่งท้อออกจากฝัก!
แสงกระบี่แพรวพราว จิตกระบี่แผ่ระลอก
ทั้งคนอยู่ท่ามกลางแสงสีแดงงดงามอย่างหนึ่ง ประชิดไปยังคลื่นสัตว์ร้าย
ประดุจวสันต์มาเยือน ดอกท้อบานสะพรั่ง
ดอกท้อเป็นสีเลือด ที่เบ่งบานคือชีวิต
หลีเจี้ยนชิวร่างดุจคลื่นแดง ซัดโหมหอบม้วนคลื่นสัตว์
พวกเจียงวั่งกระทั่งว่าไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย มองภาพฉากนี้อย่างอึ้งตะลึงอ้าปากค้าง
คลื่นแดงถอยลงไป เสียงคำรามกู่ก้องทั้งหมดเงียบลง
เหลือเพียงเงาร่างโปร่งบางของหลีเจี้ยนชิวยืนตระหง่าน
หนึ่งคน หนึ่งกระบี่ ซากร่างสัตว์ร้ายทั่วพื้น
ภาพเช่นนั้นประดุุจภาพวาดพู่กันรูปหนึ่ง!
“หลี ศิษย์พี่หลี” หวงอาจ้านรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด แม้แค่คำยกยอปอปั้นก็ลืมพูดแล้ว “ท่านแข็งแกร่งขนาดนี้ยังจะพาพวกเรามาทำไม”
หลีเจี้ยนชิวถือกิ่งท้อในมือ เงยหน้ามองครึ่งทางสู่ยอดเขา แล้วพลันคำรามลากเสียงยาวท่ามกลางซากสัตว์ร้ายเกลื่อนพื้น!
เสียงสะเทือนยอดเขา ดังก้องไปยังภูเขาที่ไกล
ประหนึ่งความอัดอั้นสลายสิ้น ปลดปล่อยสะใจยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก!
เสียงร้องคำรามของเขาสิ้นสุดลงแล้วถึงได้เก็บกระบี่เข้าฝัก พูดขึ้นว่า “คนที่สลักชื่อทิ้งไว้บนก้อนหินคนนั้นชอบที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนเป็นที่สุด ชอบคุยโวโอ้อวดผลงาน ข้าพาพวกเจ้ามาก็เพื่อทำให้ความปรารถนาได้รับการยกย่องบูชาจากคนรุ่นหลังเป็นจริงสักหน่อย”
เจียงวั่งเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ศิษย์พี่อู๋ซานคนนั้น…ก็เป็นนักเรียนของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเหมือนกันหรือ”
“นับแล้วน่าจะรุ่นเดียวกับศิษย์พี่จู้ แต่ว่าพลังห่างชั้นกันไกล พลังของเขาในตอนนั้นเทียบข้าในตอนนี้ไม่ได้เลย” หลีเจี้ยนชิวส่ายหน้า สีหน้าบอกไม่ถูกว่าเป็นหวนคิดถึงมากกว่า หรือโศกเศร้ามากกว่า
“ข้าเคยบอกพวกเจ้าใช่ไหมว่าสหายกลุ่มข้าตายหมดแล้ว”
หลีเจี้ยนชิวหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยต่อไปว่า “ตายในตอนที่เขาเป็นคนนำนี่แหละ”
เขาหมุนตัวไปทางยอดเขาพู่กัน หรือบางทีอาจจะเป็นเพื่อหมุนตัวหันหลังให้กับพวกเจียงวั่งก็เท่านั้น
เสียงของเขาส่งไปทางยอดเขา “เขาอ่อนสุดๆ ไปเลย แต่ตอนที่คลื่นสัตว์ร้ายจู่ๆ อาละวาด ทะลวงแนวหน้า เขาก็ต้านทานอยู่ข้างหน้าพวกมัน บอกว่าพวกเราสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน จะให้คนเมืองซานซานดูถูกไม่ได้”
“พวกเขาทุกคนต้านทานอยู่หน้าคลื่นสัตว์ร้าย ส่วนข้าหนี”
พวกเจียงวั่งมองแผ่นหลังของเขา แผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่งท่ามกลายสายลมภูเขาพัดโหมแห่งนี้ เข้าใจคำลงท้ายชื่อที่ว่าสุนัขขี้แพ้หลีเจี้ยนชิวทันที
ตัวอักษรแถวนี้เกรงว่าคงสลักไว้ในใจเขามาสองปี เจ็ดร้อยกว่าวันคืนแล้ว
และหลังจากที่เขาสลักประโยคแถวนี้ลงบนหน้าผา ทั้งยังสังหารสัตว์ร้ายบนเขายอดพู่กันหมดแล้ว ในที่สุดถึงได้ปลดปล่อยตัวเอง
………………………………………………………
[1] คือกลุ่มสกุลเงินที่มีความเสถียรสูงและมีการซื้อขายเยอะ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, เยน, ปอนด์ เป็นต้น