ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 71 ซุนเหิงสะกดยอดเขาพู่กัน ณ ที่แห่งนี้
ในเจ็ดร้อยกว่าคืนวันนั้น ต้องเป็นความพยายามขนาดไหนจึงสามารถทำให้คนอ่อนแอที่หนีโดยไม่สู้เมื่อครั้งนั้น แปรเปลี่ยนมาเป็นผู้แข็งแกร่งชำระล้างสัตว์ร้ายเช่นนี้
คนอื่นมิอาจทราบได้
พวกของเจียงวั่งทำได้เพียงเดินตามรอยเท้าเขาด้วยสัญชาตญาณ เดินหน้าไป เดินหน้าต่อไป
ในที่สุดก็มายืนบนยอดเขาพู่กัน
บนยอดเขาว่างเปล่า มีเพียงหลุมศพโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่
หลุมศพเล็กๆ เรียบง่าย มีเพียงป้ายศิลาชิ้นหนึ่งวางอยู่หน้าหลุมศพเท่านั้น
เจียงวั่งเดินเข้าไปดูอย่างละเอียด และเห็นด้านบนสลักไว้ว่า…
ซุนเหิงเจิ้นสะกดยอดเขาพู่กัน ณ ที่แห่งนี้
ลายมือสวยงาม แต่สลักลงหินลึกมาก เห็นได้ถึงแรงพยายาม
“ซุนเหิงคือเจ้าเมืองซานซานเมื่อสองปีที่แล้ว คนที่ตั้งป้ายหลุมศพนี้คือภรรยาของเขา”
หลีเจี้ยนชิวพูดต่อ “ความทรมานจากสัตว์ร้าย เป็นปัญหาที่เมืองซานซานจำเป็นต้องเผชิญหน้ามาโดยตลอด
หลังจากที่ซุนเหิงรับตำแหน่งเจ้าเมือง ปลุกขวัญกำลังใจบริหารบ้านเมือง ชุบเลี้ยงอัจฉริยะอย่างเต็มที่ ในที่สุดเมื่อสองปีก่อนก็รวมกลุ่มขึ้นมาและเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างสัตว์ร้าย
เป้าหมายแรกที่เขาเลือกคือยอดเขาพู่กัน
แม้ว่าจะประเมินไว้สูงมาก แต่ก่อนที่ปฏิบัติการกวาดล้างจะเริ่มขึ้น ใครก็คิดไปไม่ถึง ว่าภูเขาลูกหนึ่งจะมีสัตว์ร้ายมารวมตัวกันมากถึงเพียงนี้ จำนวนมากมายนับหมื่น!
แล้วอาหารของพวกมันมาจากไหน สัตว์ป่าเหล่านี้สามารถกินทั้งเมืองซานซานจนเรียบได้เลย
ตอนที่พวกมันคลั่งขึ้นมา แนวป้องกันอะไรก็ขวางมันไว้ไม่ได้
ตอนนั้นข้าหนี แต่ได้ยินว่ามีเพียงซุนเหิงที่ยืนอยู่แนวหน้าไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว เขาไม่เพียงแต่ไม่ถอย กลับยังรุกคืบเสียด้วยซ้ำ”
หลีเจี้ยนชิวเอ่ยต่อ “เขาแค่คนเดียว สังหารเรียบจากตีนเขาจนถึงยอดเขา และที่นี่ พื้นที่ใต้เท้าของพวกเราผืนนี้ เขาสังหารจ่าฝูงสัตว์ร้ายลงด้วยมือของตนเอง เหยี่ยวหยินหยางสองหัว ตอนที่เสียงร้องของเหยี่ยวที่ดังมานานนับเดือนเงียบลง คนทั้งหมดก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งหมดก็เริ่มโจมตีกลับอย่างบ้าคลั่ง”
พอยอดเขาพู่กันถูกกวาดล้างจนสะอาด แต่ซุนเหิงเองก็สู้อย่างเต็มที่จนตัวตาย ว่ากันว่าตอนที่เขาตาย ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอวัยวะภายใน อวัยวะภายในทั้งห้าแห้งเหือดลง จุดผ่านสวรรค์ทั้งหมดพังทลายจนสิ้น
ห้าวหาญเสียขนาดนี้!
แม้จะไม่เคยพบคนผู้นี้ แต่เพียงได้ยินชื่อ ก็ทำให้คนรู้สึกประทับใจแล้ว
เจียงวั่งอดคิดไม่ได้ ว่าคงมีแค่ชายเช่นนี้กระมังที่สามารถมีลูกสาวอย่างซุนเสี่ยวหมานคนนั้นได้
กลุ่มคนยืนอยู่บนยอดเขา มองไปรอบทิศ ทั้งสี่ด้านกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ความสงบสุขเวลานี้ ก่อร่างสร้างขึ้นจากหยาดเลือดนับไม่ถ้วน
การฝึกบำเพ็ญ การฝึกบำเพ็ญ ฝึกแค่เฉพาะตนเองเท่านั้นหรือ
มีความรับผิดชอบต่อชาติรัฐหรือเปล่า แบกภาระสำหรับผู้อ่อนแอไว้บ้างไหม
ซุนเหิงเจ้าเมืองคนก่อนเมืองซานซาน ใช้ชื่อของตนเองเขียนคำตอบหนึ่งเอาไว้
กลุ่มคนทำการคารวะเบื้องหน้าป้ายสุสาน จากนั้นจึงหันหลังกลับเดินลงเขา
บนเส้นทางลงเขา เจียงวั่งคิดถึงเรื่องหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่หลี ในงานเสวนาเต๋าสามเมืองครั้งนั้น ท่านออมมือให้กับซุนเซี่ยวเหยียนเพราะเจ้าเมืองซุนใช่ไหม”
หลีเจี้ยนชิวย้อนถามกลับ “เจ้ารู้จักวิชากลองหนังปฐพีหรือเปล่า”
“รู้จักเพียงชื่อ เคยได้ยินจากรุ่นพี่คนหนึ่ง”
“วิชาเต๋ากลองหนังปฐพี เป็นวิชาเต๋าป้องกันแบบถาวร หลักการของมันคือผู้ใช้วิชาต้องอยู่ในสภาพมีสติ จากนั้นจัดการเฉือนหนังมนุษย์ของตนเองออกมาใส่อักขระเต๋าลงไป จัดการคลุมทับไปบนผู้รับวิชา และเพราะเงื่อนไขของวิชาช่างแสนทารุณ การป้องกันของกลองหนังปฐพีจึงได้แข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง”
หวงอาจ้านตกตะลึง “ดังนั้นที่อยู่บนตัวของเด็กอ้วนคนนั้น”
“นั่นคือผิวหนังของเจ้าเมืองซุนคนที่แล้ว” หลีเจี้ยนชิวถอนใจ “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมือง หรือในฐานะพ่อคน เขาล้วนทำออกมาอย่างสุดกำลัง”
“ถ้าคิดจะโค่นซุนเซี่ยวเหยียน ไม่ว่าจะซัดเขาให้ปลิวออกไปนอกสนามบนเวที หรือว่าจะออกแรงสุดกำลังเพื่อทำลายวิชากลองหนังปฐพี ข้าก็ไม่กล้าลองทั้งนั้น”
เจียงวั่งรู้ คำว่าไม่กล้าของหลีเจี้ยนชิว ไม่ใช่ว่าไม่กล้าเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ แต่เป็นความหวาดกลัว หากกลองหนังปฐพีถูกทำลายลง เขาที่ปะทะอย่างสุดกำลังโดยไม่ออมมือเองก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผลลัพธ์นั้น
“ศิษย์พี่ช่างคุณธรรมสูงส่ง”
หลีเจี้ยนชิวสั่นศีรษะ “จะว่าไป ชีวิตของข้าเองก็ได้ท่านเจ้าเมืองซุนช่วยเอาไว้ ตอนนี้วีรบุรุษจากไปแล้ว แล้วข้าจะมีหน้าไปทำร้ายลูกชายเขาได้อย่างไร”
ตอนที่กลุ่มคนเดินมาถึงกลางเขา เจียงวั่งหยุดเท้าลงฉับพลัน เดินมาเบื้องหน้าหินยักษ์ก้อนนั้น จุดกระบี่เพลิงออกมา สะบัดโบกด้านหลังอักษรที่หลีเจี้ยนชิวสลักไว้ เขียนต่อไปอีกแถวหนึ่ง
หลังจากนั้นหวงอาจ้านเจ้าหรู่เฉิงก็ทำเหมือนกัน
บนหินที่สลักไว้ ด้านใต้ของหลีเจี้ยนชิวสุนัขขี้แพ้ มีอีกบรรทัดหนึ่งเขียนว่า
เจียงวั่งศิษย์รุ่นหลัง มาสักการะความรุ่งโรจน์ของรุ่นก่อน
หวงอาจ้านศิษย์รุ่นหลัง มาสักการะความรุ่งโรจน์ของรุ่นก่อน
เจ้าหรู่เฉิง ก็เช่นกัน
คิดๆ ดูถ้าอู๋ซานที่ชอบปรากฏตัวโอ้อวดต่อหน้าคนอื่น หากมาเห็นฉากนี้ คงจะขำกลิ้งเลยกระมัง
ถึงอย่างไรในสภาพอับจนเช่นนั้น สิ่งสุดท้ายที่คิดออกก็คือการสลักอักษรโอ้อวดตัวเอง ความคิดประหลาดกว่าคนปกติเสียอีก
จนเดินลงมาถึงตีนเขา หลีเจี้ยนชิวดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว กวาดตาไปมองเจ้าหรู่เฉิงด้วยสายตาประหลาด “ศิษย์น้องเจ้า เจ้าโดนเล่นงานเพราะขี้เกียจใช่ไหม”
เจียงวั่งหัวเราะร่า เข้ามาโอบไหล่เจ้าหรู่เฉิง เอ่ยกับหลีเจี้ยนชิวว่า “ปัญหานี้ท่านควรไปถามพี่เหยี่ยหู่ของข้า เขามีหัวข้อสนทนาเดียวกับท่านแน่นอน!
“ไปไปไป!” เจ้าหรู่เฉิงผลักเจียงวั่งออก
“แล้วจากนี้พวกเราจะทำอะไรดี” หวงอาจ้านถามขึ้น “ภารกิจที่เรากำหนดไว้ก่อนออกเดินทางก็เสร็จแล้ว ความปรารถนาศิษย์พี่หลีก็สำเร็จแล้ว ตอนนี้เราไปรับรางวัลแล้วกลับเมืองเฟิงหลินไหม”
หลีเจี้ยนชิวกดลงบนกระบี่ข้างเอว เอ่ยขึ้นอย่างชอบธรรม “ขอพูดอย่างไม่ปิดบังศิษย์น้องทุกคน ข้าตัดสินใจจะไปยังยอดเขาสมดุลหยกต่อ สถานการณ์ต่อสู้ทางนั้นยังร้อนแรงอยู่ พวกเจ้ากลับไปกันก่อนได้”
เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิด “ข้าแค่เป็นตัวแทนของตนเอง ในเมื่อติดตามศิษย์พี่มาแล้ว แน่นอนต้องไปด้วยกันกับศิษย์พี่สิ”
เจ้าหรู่เฉิงมองบน “พวกท่านไปสู้กันหมด แล้วข้าจะหนีได้หรือ”
“เฮ้อ” หวงอาจ้านส่ายศีรษะ ถอนใจยาว “คิดไว้แล้วว่าไม่ควรมากับคนหนุ่มอย่างพวกเจ้า วู่วามกันเหลือเกิน! แล้วถ้าข้าไม่ไปด้วย อีกหน่อยจะมีหน้าไปร่ำสุรากับพยัคฆ์ตู้ได้อย่างไร”
เจ้าหรู่เฉิงมองเขาหลายครั้งอย่างหาได้ยาก ในใจรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา
คุณชายเจ้าแม้ปกติจะดูสับสนเลอะเลือน แต่อันที่จริงปณิธานความคิดสูงมาก พวกล่องๆ ลอยๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย สำหรับหวงอาจ้าน จริงๆ แล้วเขาไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก แค่มองเขาเป็นตัวตลกคลายเครียด อย่างมากก็คือเห็นแก่หน้าตู้เหยี่ยหู่ ถึงได้ยอมเสียเปรียบเล่นด้วยเฉยๆ
วันนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ทำไมตู้เหยี่ยหู่จึงยอมเป็นสหายร่ำสุรากับคนคนนี้
ยอดเขาสมดุลหยกเวลานี้ กำลังดำเนินการกวาดล้างใหญ่ครั้งที่สองอยู่
สุสานของซุนเหิงยังอยู่ทางนั้น อักษรสลักของอู้ซานยังไม่ถูกลืมเลือน ใครๆ ก็รู้ว่าที่ยอดเขาสมดุลหยกอันตรายแค่ไหน การที่คนทั้งหมดจะพ่ายแพ้ลงก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
หลีเจี้ยนชิวอาจจะเพื่อไถ่บาป หรืออาจจะเพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง การเลือกไปยอดเขาสมดุลหยกจึงไม่ใช่เรื่องเกินคาด ส่วนเจียงวั่งนั่นก็ถือว่าเขาหัวร้อนแล้วกัน ขอแค่เจียงวั่งไป ต่อให้เขาจะไม่ยินยอมแค่ไหนก็ไม่ไปไม่ได้
แต่การเลือกของหวงอาจ้านเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง และไม่ได้สอดคลองกับท่าทีประจบสอพลอคุยโม้โอ้อวดมาโดยตลอดของเขาเลย
“ดี!” หลีเจี้ยนชิวรู้สึกพอใจมาก ย่ำเดินอยู่คนเดียวมาเนิ่นนานสองปี เขาเหมือนจะหาความสำราญจากหมู่มิตรสหายในครั้งนั้นพบแล้ว
สุราหนึ่งแก้ว มุ่งสู่บุญคุณความแค้นนับหมื่นลี้
“พวกเราไปยอดเขาสมดุลหยกกัน!”
…
…
……………………………………….