ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 78 มหามรรคาดุจฟ้าคราม
“นี่…คืออะไร” เจียงวั่งมองหญิงสาวผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำ ใจดิ่งวูบ
ดอกบัวกระดูกขาวดอกนี้ไม่ใช่วัตถุสายหลักอะไรแน่นอน
“โอ๊ะโอ ของปรากฏในตัวเจ้า เจ้าถามใครกัน” ในดวงตาของหญิงสาวผ้าคลุมหน้าดำเต็มไปด้วยรอยขบขัน
“ในตัวข้าก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งนี้ ข้าไม่เคยเห็นดอกบัวประเภทนี้…นี่เกี่ยวกับวิชาลับของท่านหรือเปล่า”
“ข้าพูดได้เพียงว่าวิชาลับของข้าเหมือนจะมีผลในการเหนี่ยวนำเท่านั้น” นางเข้าไปใกล้ข้างหูเจียงวั่ง ลมหายใจหอมรวยรินดุจดอกกล้วยไม้กระทบจอนผมของเขาปลิวพริ้ว แล้วผ่านไปที่ซอกคอ “คิดให้ดีๆ ในตัวเจ้าซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่”
“ข้า…ซ่อนความลับอะไรเอาไว้รึ” เจียงวั่งนึกย้อนเต็มที่ แต่ก็นึกเรื่องที่เกี่ยวกับดอกบัวกระดูกขาวอะไรนี่ไม่ออกเลย
หญิงสาวผ้าคลุมดำเก็บกระจกลงไป ลุกขึ้นอย่างช้าเนิบแล้วเดินถอยหลัง
“พี่สาวช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ไม่ได้ต้องการให้เจ้าจำสลักแน่นไม่ลืมเลือน เพียงแต่ต้องการให้เจ้าช่วยข้าสามเรื่อง ส่วนเป็นเรื่องอะไรนั้น…” นางเอ่ยด้วยเสียงทรงเสน่ห์อ่อนโยน “ต่อไปนี้ตอนกลางคืนนอนให้ดีๆ หน่อย รอพี่สาวไปหาเจ้า”
เจียงวั่งเมินเฉยต่อความเย้ายวนที่แอบแฝงซ่อนเร้นของนางไป เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอเพียงไม่ขัดต่อหลักเหตุผลในการทำเรื่องราวของเจียงวั่ง ไม่ต้องพูดถึงสามเรื่อง สามสิบเรื่องยังเป็นเรื่องที่สมควรทำ”
“สามเรื่องก็เพียงพอแล้ว” หญิงสาวถอยหลังไปพลางเอ่ยหัวเราะเบาๆ “เจ้าควรจะกลับไปแล้ว”
“ท่านรู้จักดอกบัวดอกนี้หรือไม่ มันคืออะไร” เจียงวั่งซักไซ้
“มันน่ะหรือ…” หญิงสาวผ้าคลุมหน้าสีดำลากเสียงยาวเหมือนกำลังขบคิดอะไร จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เหมือนจะเป็นดอกบัวเต๋ากระดูกขาวกระมัง เป็นสัญลักษณ์ของพรรคกระดูกขาว…”
นางหมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำ
เจียงวั่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งกุมกระบี่ ท่อนบนเปลือยเปล่า
เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของนางหายไปแล้ว
……
เจียงวั่งสำรวจร่างกายก็ไม่พบจุดผิดปกติอื่นๆ จึงทำการฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรเสียเลย ชดเชยการฝึกบำเพ็ญที่หยุดไปในตอนสลบเสีย จากนั้นก็ออกไปจากถ้ำ
ข้างนอกถ้ำมีชุดนักพรตชุดหนึ่งพับวางไว้ น่าจะเป็นหญิงสาวผ้าคลุมหน้าสีดำคนนั้นเตรียมไว้
เจียงวั่งกำลังกลัดกลุ้มอยู่ว่าท่อนบนของตัวเองโป๊เปลือยจึงรีบเปลี่ยนทันที ก็พบว่าขนาดความเหมาะสมพอดีกับตัว
ผู้หญิงคนนี้สวยยั่วเย้ามากมารยา พูดจาจริงครึ่งเท็จครึ่ง ดีชั่วยากวิเคราะห์ แต่ช่วยเขาเป็นเรื่องจริง
เจียงวั่งส่ายหน้า เลิกคิดก่อน ผู้หญิงคนนี้บอกว่าจะมาหาเขาอีก อย่างไรเสียก็วิเคราะห์อะไรไม่ออกอยู่แล้ว รอถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน
สำรวจวิเคราะห์ลักษณะภูเขาเล็กน้อย หลังจากรู้ตำแหน่งที่ตัวเองอยู่คร่าวๆ เจียงวั่งก็หมุนตัวไปมองท่างเมืองซานซาน
หากพวกเจ้าหรู่เฉิงปลอดภัยดีล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้น่าจะรอข่าวของเขาที่เมืองซานซาน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าหรู่เฉิงไม่มีทางทิ้งเขาที่เป็นตายไม่รู้ ชิงกลับไปเมืองเฟิงหลินก่อนแน่นอน
“เจียงวั่ง!”
“เจียงวั่ง!”
“เจียงวั่ง!”
เจียงวั่งได้ยินเสียงเรียกเช่นนี้จากที่ไกลๆ
เสียงดังก้องไปทั่วหุบเขาดังรับช่วงเป็นระลอกๆ
เจียงวั่งรู้ว่าจะต้องเป็นพวกเจ้าหรู่เฉิงกำลังตามหาตนอย่างแน่นอน
ผ่านจากศึกก่อนหน้านี้ สัตว์ร้ายบนเขาหยกสมดุลเหมือนสงบลงไปมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางฝ่าขึ้นมาได้เร็วแบบนี้
เจียงวั่งลุกขึ้นทะยานไปตามเสียงที่ดังลอยมาอย่างรวดเร็ว
“ข้าอยู่ที่นี่!” เขาตะโกน
เสียงตะโกนหยุดลงไปแล้วดังขึ้นอีก “พี่สาม! พี่สาม!”
จากที่ไกลลิบลิ่วก็มีเงาร่างพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ปากร้องตะโกนเสียงดังลั่น ไม่ใช่เจ้าหรู่เฉิงแล้วจะเป็นใคร
เจียงวั่งวิ่งไป
สองพี่น้องพร้อมหน้ากันอีกครั้งบนเทือกเขาใกล้ๆ กับเขาหยกสมดุล
รอดจากความตายมาได้ เสมือนอยู่คนละโลก
แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้แสดงท่าทางดีใจอะไรออกมา
เจ้าหรู่เฉิงเงยหน้ามองฟ้าครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “อืม อากาศไม่เลวเลย”
“นั่นสินะ” เจียงวั่งเอ่ยตอบ
ผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าหรู่เฉิงจึงได้ดึงสายตากลับมามองที่ร่างของเจียงวั่ง
สีหน้าของเขาแสดงออกมาเกินสมควร “เฮ้ ท่านดูไม่น่าอนาถเลยแม้แต่น้อยเลยนี่นา ซ้ำยังเปลี่ยนชุดใหม่อีก!”
เจียงวั่งยิ้มตาหยี “เจ้าต้องรู้ว่าใครคือพี่ชาย”
ตอนนี้เอง หลีเจี้ยนชิว หวงอาจ้านก็ตามมา อีกทั้งยังมีเจ้าเถี่ยเหอ หยางซิ่งหย่งคนอื่นๆ และใบหน้าไม่คุ้นเคยอีกจำนวนหนึ่งที่ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์สายนอกของสำนักเต๋าเมืองซานซาน
“เจียงวั่ง!”
“ศิษย์น้องเจียง!”
“สหายเจียง”
เจียงวั่งก็ประสานมือขานตอบ “สหายเจ้า สหายหยาง สหายทุกท่าน! ทั้งยังมีศิษย์พี่หลี ศิษย์พี่หวง เจียงวั่งอ่อนด้อยวิชา ช่างน่าละอายนัก ลำบากทุกท่านมาตามหาข้าแล้ว”
“สหายเจียงพูดอะไรกัน! เป็นท่านที่ลงแรงช่วยเพื่อพวกเราชาวเมืองซานซานมิใช่หรือ”
“ศิษย์น้องเจียงไม่เป็นไรช่างดีเหลือเกิน”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วๆ”
แต่เดิมหลังจากเจ้าหรู่เฉิงฟื้น ก็กลับมายังเขาหยกสมดุลทันทีโดยมีหลีเจี้ยนชิวและหวงอาจ้านมาเป็นเพื่อน มาตามหาที่ที่เจียงวั่งตกลงไปตามความทรงจำ
เดิมก็แค่คิดจะตามหาเอาร่างของเจียงวั่งกลับไป แต่หาอยู่ข้างล่างหน้าผาอยู่นาน ไม่ใช่แค่ไม่เจอร่างของเจียงวั่งเท่านั้น แต่แม้กระทั่งวัตถุหลงเหลืออย่างเศษเสื้อผ้าอะไรประเภทนี้ก็ไม่มี
เจ้าหรู่เฉิงถึงได้ตระหนักว่าบางทีเจียงวั่งอาจจะยังมีชีวิตอยู่!
แต่เขาไม่ได้ออกค้นหาอย่างอย่างไร้เป้าหมาย แต่กลับไปหาคนเมืองซานซานทันที แบ่งเขตภูเขาละแวกเขาหยกสมดุลเป็นหลายเขต แบ่งกลุ่มแบ่งเขตกันออกตามหา
ซุนเสี่ยวหมานเนื่องจากต้องอยู่เคียงข้างโต้วเยวี่ยเหมยมาด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ก็เป็นนางที่ออกหน้าจัดกลุ่มคนมาได้มากขนาดนี้
เจียงวั่งคิดในใจว่าหญิงสาวผ้าคลุมหน้าโปร่งยางสีดำพลันจากไป บางทีอาจเป็นเพราะพวกเจ้าหรู่เฉิงออกตามหามาก็เป็นได้
“พี่สามคิดอะไรอยู่” เจ้าหรู่เฉิงโบกมือหน้าเขา “ผู้นี้คือเซียนเยี่ยแห่งรัฐอวิ๋น ครั้งนี้ออกตามหาท่าน นางก็ลงแรงช่วยไว้ไม่น้อย”
เจียงวั่งเบนสายตามาก็เห็นผู้บำเพ็ญลึกลับผ้าโปร่งบางสีขาวคลุมหน้าคนนั้นโค้งคารวะเขาน้อยๆ “ยังไม่ได้ขอบคุณสหายเต๋าเจียงที่ลงมือช่วยเลย”
ก็ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญหญิงช่วงนี้เป็นอะไรกัน แต่ละคนชอบปิดหน้าปิดตาออกจากบ้านกัน
“ไม่ต้องเกรงใจ ช่วยไปตามโอกาสเท่านั้น” เจียงวั่งตอบ
“สหายเต๋าเจียงมีคุณธรรมสูงส่งไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ชิงอวี่ไม่อาจเป็นไร้การศึกษาที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ” ผู้บำเพ็ญหญิงหยิบป้ายคำสั่งแผ่นเล็กที่งดงามอย่างมากออกมาแผ่นหนึ่ง ยื่นให้เจียงวั่งแล้วพูดว่า “สหายเต๋าเจียงวันหน้าหากมีเรื่องอะไร ก็ถือตรากลางเมฆามาที่หอนภาเทียมเมฆ จะขอตอบแทนทุกคำขอ”
ตอบแทนทุกคำขออย่างนั้นหรือ หอนภาเทียมเมฆเป็นที่ที่ไม่มีอะไรทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เจียงวั่งในใจตกใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า แค่เอ่ยอย่างจริงจังตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ พวกเราอยู่บนสนามรบเดียวกันก็เป็นสหายร่วมรบ ยื่นมือช่วยสหายร่วมรบเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ท่าน…เซียนเยี่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจเลย”
เพราะผ้าโปร่งบางที่คลุมหน้า จึงมองเห็นเพียงแค่ดวงตาของผู้บำเพ็ญรัฐอวิ๋นคนนี้เท่านั้น ดวงตาคู่นั้นช่างกระจ่างสุกใสและบริสุทธิ์
นางใช้ดวงตาเช่นนั้นมองเจียงวั่งอย่างจริงจัง สองมือประคองป้ายคำสั่งเล็กๆ แผ่นนั้นยกขึ้น “ขอสหายเต๋าโปรดรับเอาไว้ เพื่อให้ชิงอวี่รู้สึกสบายใจ”
เจ้าหรู่เฉิงพลันชนไหล่เจียงวั่งจากข้างหลัง “เซียนเยี่ยพูดถึงขนาดนี้แล้ว พี่สามก็รับไว้เถิด”
เจียงวั่งจึงทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น
ป้ายคำสั่งแผ่นนี้รูปร่างเหมือนเมฆ ไม่มีตัวอักษรสลักไว้ แค่มองอย่างละเอียดแล้วจึงเห็นว่ามีเมฆหมอกรายล้อมอยู่อย่างรางเลือน งดงามเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต้องพูดถึงความหมายอย่างอื่น ลำพังเพียงตรากลางเมฆาเองก็เป็นวัตถุเลิศล้ำแล้ว
ผู้มีบุญคุณปลอดภัยดี ตรากลางเมฆาก็ได้มอบออกไปแล้ว เยี่ยชิงอวี่รู้สึกสบายใจ ก็พูดกับเจียงวั่งว่า “เช่นนั้นแล้วชิงอวี่ขอตัวก่อน มหามรรคาดุจฟ้าคราม ขอสหายเต๋าก้าวหน้าทุกวันคืน ขอลา”
พูดจบ นางก็หลอมสัตว์เมฆารูปร่างเหมือนกระเรียนตัวหนึ่งออกมา เหยียบบนหลังมัน ขี่พายุจากไป
เวลานั้นฟ้ากระจ่างเมฆคล้อย กระเรียนเมฆาดุจเซียน ตัวคนยามมาตื่นเต้น ยามไปใจเป็นสุข
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ใจเต๋าอันกระจ่างดวงนี้สมควรแก่การชมเชยนัก
เพิ่งเผชิญความเป็นความตายมา เจียงวั่งก็ไม่มีใจทักทาย จึงคารวะพวกเจ้าเถี่ยเหอ พูดขึ้นว่า “สหายเมืองซานซานทุกท่าน ข้าจะเดินทางกลับเมืองเฟิงหลินแล้ว ที่บ้านมีน้องสาววัยเยาว์ ไม่สามารถอยู่นานได้จริงๆ”
เจ้าเถี่ยเหอ หยางซิ่งหย่งต่างแสดงท่าทีว่าเข้าใจ ลูกศิษย์นอกสำนักเมืองซานซานคนอื่นๆ เป็นคนที่พวกเขาเอามาช่วยย่อมไม่มีความคิดเห็นอะไร
ทั้งสองฝ่ายต่างนัดกันว่าจะมาพบกันใหม่อีกครั้ง ก็แยกจากกันที่ตรงนี้ กลุ่มหนึ่งกลับเมืองซานซาน อีกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงหลิน
ระหว่างเดินทางเจ้าหรู่เฉิงเพิ่งจะมีเวลาถามเจียงวั่ง “เมื่อครู่ไม่ทันได้ถาม พี่สามตกหน้าผาลงไปเกิดอะไรขึ้น”
“นั่นน่ะสิ” หวงอาจ้านก็พูดขึ้นเหมือนกัน “พวกเราพบว่าเจ้าหายไป หารอบหนึ่งไม่เจอ ยังอยู่ว่า…ตอนหลังจึงต้องพาเจ้าหรู่เฉิงที่สลบไม่ได้สติกลับเมืองซานซาน ศิษย์พี่หลีโทษตัวเองตลอด บอกว่าไม่ควรพาเจ้ามาเขาหยกสมดุลเลย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน เป็นข้าที่ประมาท” เจียงวั่งเอ่ยปลอบ “ข้าเองก็โชคดี หลังจากที่ตกหน้าผาไปก็ได้ผู้สูงส่งลึกลับคนหนึ่งช่วยเอาไว้ รักษาบาดแผลต้องใช้เวลา วันนี้ถึงได้ออกมา”
เจ้าหรู่เฉิงลูบคางพลางวิเคราะห์ “เตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้ท่านด้วย เอาใจใส่ขนาดนั้น ข้าเดาว่าผู้สูงส่งคนนั้นก็เป็นสาวงามเหมือนกันแน่นอน!”
“ใช่ๆๆ!” หวงอาจ้านลิงโลดขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด “ข้าว่าเซียนเยี่ยคนนั้นเป็นสาวงามสุดยอดแน่ๆ!”
เขากับเจ้าหรู่เฉิงพูดกันคนละคนอย่างแน่นอน ก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน
“อะไร” หญิงสาวผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำเกี่ยวพันกับดอกบัวกระดูกขาว เจียวั่งจึงไม่อยากพูดถึงมาก จึงเอ่ยไปว่า “เซียนเยี่ยคลุมหน้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสวยหรือไม่”
“เจ้าไม่เข้าใจ” หวงอาจ้านถอนหายใจส่ายหน้า ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม “สาวงามของจริงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยบหน้า แค่เพียงแววตา กระทั่งกลิ่นหอมจรุงจางๆ ความงดงามของนางก็สามารถสัมผัสได้ ลำพังเพียงผ้าโปร่งบางผืนเดียวจะไปบดบังสาวงามได้อย่างไร”
เจ้าหรู่เฉิงพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างสำรวม
“ข้านับว่ารู้แล้วว่าทำไมเยี่ยชิงอวี่ออกข้างนอกต้องคลุมหน้าแล้ว”
“ทำไม”
“เพราะผู้ชายที่ชั่วช้าอย่างพวกเจ้าสองคนมีเยอะเหลือเกินแล้ว!”
………………………………………………………