ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 81 จดหมายจากสวรรค์
เห็นจดหมายเหมือนเห็นข้า:
อันอัน เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่ก็ไปที่ที่ไกลแสนไกลแล้ว
เพราะว่าไกลเหลือเกิน สรุปแล้วชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจกลับมาได้แล้ว
ข้า…ไม่ใช่แม่ที่ดี
ในตอนที่ข้ายังเล็กมาก ยายของเจ้าก็จากไปแล้ว ไม่มีใครสอนข้าว่าการเป็นแม่คนหนึ่งต้องทำอย่างไร
ข้าพูดเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพื่อแก้ตัว แต่เป็นความเสียใจ
เสียใจว่าข้าผ่านวัยเด็กที่โดดเดี่ยวแบบนั้น แต่ก็ยังใจร้ายให้เจ้าต้องผ่านประสบการณ์นั้นเช่นกัน
เสียใจว่าข้าไม่ได้อะไรจากมารดาของตัวเอง แต่ในตอนที่ข้าเป็นแม่คน ก็ไม่ได้มอบอะไรให้ลูกสาวของตัวเองเช่นกัน
เสียใจว่าข้าเป็นแม่คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สอนอะไรให้เจ้าเช่นกัน
ไม่ได้สอนให้เจ้ารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องปกป้องตัวเองอย่างไร ไม่ได้สอนให้เจ้าแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้สอนให้เจ้าไปรักคนคนหนึ่งอย่างไร…แน่นอน ข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถนั้น
ข้าคิดว่าพี่ชายของเจ้าสอนเจ้าได้
หวังว่าพี่ชายของเจ้าจะสอนเจ้าได้
เขาเป็นเด็กที่เยี่ยมยอด เจ้าอยู่กับเขาดีกว่าอยู่กับแม่ที่ไม่ได้ความคนนี้มาก
นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ข้าปลอบใจตัวเองได้
อันอัน เจ้าเป็นเด็กดี
ยังจำได้หรือไม่
ใกล้สิ้นปีปีนั้น พวกคนงานล้วนหยุดกลับบ้านหมดแล้ว ร้านยาก็ยังของอีก ข้าขนวัตถุดิบยาพวกนั้นไปมาคนเดียว ขนอยู่หลายสิบรอบจนร้องร้องไห้
จนเมื่อข้าร้องไห้เสร็จหันกลับมา เห็นเจ้าเดินตุปัดตุเป๋ขนวัตถุดิบยากลับมาห้องคลังทีละตั้งๆ
วัตถุดิบยาหลายอย่างวางปนกันหมด แต่ใจของแม่อบอุ่นนัก
เสี้ยวขณะนั้นแม่รู้สึกชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมากเช่นกัน
ความเหงาคือปีศาจร้าย มันกัดกินเหตุผล คุณธรรม กระทั่งความเป็นมนุษย์ของคน กลืนกินทุกอย่าง
แม่ถูกปีศาจร้ายตัวนี้กัดกิน ทำให้ลืมว่าตัวเองมีทุกอย่างที่งดงามเพียงใด ทำให้ทุกอย่างหลุดลอยไปหมด
ขอโทษ
แม่ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า
อากาศเย็นแล้ว เจ้าสวมเสื้อผ้ามากหน่อยแล้วหรือไม่
แม่เย็บเสื้อนวมฤดูหนาวให้เจ้าหนึ่งตัวส่งมาพร้อมกับจดหมายให้เจ้า เดิมยังมีหมวกใบเล็กอีกใบหนึ่ง แต่ว่าถักไปได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น…ช่างเถิด
ขอโทษด้วย
วันข้างหน้าแม่ส่งของขวัญให้เจ้าอีกไม่ได้แล้ว
ขอโทษด้วย
แม่ทิ้งเจ้าอีกครั้งแล้ว…
ข้าเป็นแม่ที่น่าอัปยศเป็นที่สุด แต่แม่ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว
สิ่งที่แม่ไล่ตามไขว่คว้าหายไปในโลกใบนี้แล้ว แม่ทำได้เพียงตามมันไป ไปยังที่ไกลแสนไกล
กลับมาไม่ได้อีกแล้ว
เดิมแม่คิดว่าจะจากไปเงียบๆ แต่ก็รู้สึกว่าจะไม่บอกอะไรเจ้าเลยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคำกำชับสุดท้ายจากแม่คนหนึ่งก็ดี หรือจะเป็นการปลอบใจตัวเองจากผู้หญิงที่ไม่มีความรับผิดชอบคนหนึ่งก็ดี
ข้าจะต้องพูดอะไรบ้าง
อันอัน
นี่เป็นจดหมายฉบับแรกที่แม่เขียนให้เจ้าโดยเฉพาะ และจะเป็นฉบับสุดท้าย
ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องพูดอะไรบ้างถึงจะเหมาะ
อันอัน
เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี
เจ้าต้องขยันเรียน โตแล้วก็เหมือนกับพี่ชายเจ้า สอบเข้าสำนักเต๋าเหมือนกัน เป็นขุนนางใหญ่ เป็นเทพเซียนได้
ไม่ แม่ไม่ควรตั้งความหวังกับเจ้า
แม่ไม่มีคุณสมบัตินั้น
ฝึกบำเพ็ญเหนื่อยเกินไป เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด
ของหวานกินให้น้อยหน่อย ฟันเสียก็ไม่สวยแล้ว
อันอันของแม่โตแล้วจะต้องเป็นสาวงามอย่างแน่นอน นั่นจะเป็นความงามที่ชวนให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มขนาดไหนกัน
คิดแล้วก็รู้สึกว่าหลับตาลงได้แล้ว
อันอัน เจ้าต้องเป็นเด็กดีนะ
ต้องเชื่อฟังพี่ชายของเจ้า
เจ้าจะต้องโตขึ้นอย่างมีความสุข ปลอดภัย
พูดมากความไร้ประโยชน์
แต่แม่นอกจากคำพูดไร้ประโยชน์พวกนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้เจ้าได้อีก
ขอโทษ
ไม่รู้ว่าตอนนี้การเรียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อักษรพวกนี้อ่านได้หมดหรือไม่
เก็บไว้อ่านในวันข้างหน้าก็ได้
หรือหากเจ้าไม่อยากอ่าน ก็ได้เช่นกัน
……
เขียนถึงตรงนี้แม่พลันนึกถึงวันวานที่พ่อเจ้าสอนแม่เขียนหนังสือ
ขอโทษด้วย
คิดถึงเจ้า
……
รัชศกหย่งไท่ปีที่สิบสี่ วันที่หนึ่งเดือนเหมันต์ ซ่งหรูอี้
……
……
ได้รับจดหมายจากเมืองวั่งเจียง เจียงวั่งก็อยู่ในสภาวะที่จิตใจร้อนรนนัก อีกทั้งจดหมายยังเขียนไว้ว่าเฉพาะอันอันเท่านั้น คำนึงถึงว่าเป็นจดหมายที่น้าซ่งส่งมา เขาก็ไม่ได้ถือวิสาสะ แต่ส่งให้เจียงอันอันเลย
อันอันกระโดดโลดเต้นเข้าไปในห้องอ่านหนังสืออ่านจดหมายแล้ว
เจียงวั่งก็ครุ่นคิดปัญหาของตัวเอง
ดอกบัวกระดูกขาวที่ปรากฏในร่างผิดปกตินัก ลวดลายชั่วร้ายแปลกประหลาดแค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่วัตถุสำนักเต๋าสายหลักอะไรแน่นอน
จะต้องมีปัญหาที่แน่ๆ แต่เขาก็ไม่มีใครให้ปรึกษา
เขาไม่มีผู้อาวุโสที่สามารถเชื่อใจได้โดยสิ้นเชิง สนับสนุนเขาอย่างแน่นนอนทุกเวลา ทั้งยังรู้เห็นกว้างขวาง
ต่งเออบางทีอาจเชื่อใจได้ แต่ด้วยนิสัยเถรตรงของเขา หากรู้ว่าเจียงวั่งมีความสัมพันธ์กับลัทธินอกรีต ไม่แน่ว่าอาจจะฟันเขาตายในฝ่ามือเดียว สังหารศิษย์เพื่อผดุงความยุติธรรม
สำหรับหลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิงสองคนนี้ย่อมเชื่อใจได้ แต่พวกเขาเพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญ ก็ไม่ต้องฝากความหวังอะไรเลย เจ้าหรู่เฉิงบางทีอาจจะมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างลึกลับ แต่เกี่ยวพันกับพรรคกระดูกขาวที่ลำพังเพียงฟังชื่อก็เป็นลัทธินอกรีตแล้ว เจียงวั่งไม่อยากดึงเขาเข้ามาเกี่ยวพันด้วย
เขาสืบค้นตำราเต๋า ข่าวลับ รวมถึงบันทึกบางอย่าง แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพรรคกระดูกขาวเลย บางทีมันอาจไม่เคยปรากฏขึ้นในรัฐจวง หรือบางทีมันถูกลบข้อมูลทิ้งไป
สิ่งเดียวที่เจียงวั่งยืนยันได้ก็คือ ในความทรงจำของเขาไม่มีคนหรือเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคกระดูกขาวใดๆ ทั้งนั้น
มีความเชื่อมโยงกับดวงจันทร์อย่างรางๆ ก็เพราะมิติมายาห้วงจักรวาลไม่ใช่เพราะอย่างอื่น
“ความลับ” ที่หญิงสาวผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำคนนั้นอยากรู้คือมิติมายาห้วงจักรวาลอย่างนั้นหรือ ผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์กับพรรคกระดูกขาวรึ
หากนางเป็นคนในพรรคกระดูกขาว เช่นนั้นเป้าหมายของนางคืออะไร หากไม่ใช่ หากเป็นเหมือนอย่างที่นางพูดจริงๆ ว่านางมาจากลัทธินอกรีตสักแห่ง เช่นนั้นทำไมนางถึงพูดถึงพรรคกระดูกขาว
เขาพลันนึกถึงเทียนสีดำเล่มนั้นที่อยู่ในจุดผ่านสวรรค์ นั่นเป็นของที่ได้มาจากปีศาจกลืนจิตใจ แผนผังจักรวาลดาราถ่ายทอดมาจากมิติมายาห้วงจักรวาลน่าจะไม่มีปัญหาอะไร หากในตัวมีอะไรที่แปลกประหลาด นั่นก็เป็นเทียนสีดำเล่มนั้นแล้ว
มันมีที่มาที่ไปอย่างไรแน่ และมีความลับอะไร
ขณะที่เจียงวั่งกำลังขบคิดอยู่นั้น เจียงอันอันก็ร้องไห้วิ่งออกมา
“เป็นอะไร เป็นอะไรไปอันอัน” เจียงวั่งย่อตัวกอดนางเอาไว้
“ที่ที่ไกลแสนไกลอยู่ที่ไหน” เจียงอันอันชูจดหมายในมือ น้ำตาหยดโตหยดเป็นสาย “แม่ข้าไปบนฟ้าเหมือนกับท่านพ่อใช่หรือไม่”
เจียงวั่งคราวนี้ถึงได้ตระหนักได้ถึงความหนักหนาของปัญหา เขากอดอันอันเอาไว้พลางเอ่ยปลอบว่า “ไม่เป็นไรๆ อันอันไม่ร้อง พี่ชายอยู่นี่ พี่อยู่ตรงนี้ อยู่เป็นเพื่อนเจ้าตรงนี้”
เขาปลอบอันอันไป พลางรับจดหมายมาอ่านอย่างรวดเร็วไปด้วย
กระดาษแผ่นบางนัก แต่จู่ๆ ก็เหมือนว่าหนักอึ้ง
จดหมายฉบับนี้ส่งมาด้วยวิธีธรรมดา ดูจากเวลาการส่งจดหมายไปมาระหว่างเมืองเจียงวั่งและเมืองเฟิงหลิน เรื่องจะต้องไม่สามารถย้อนคืนมาได้แล้วแน่นอน
เจียงวั่งพูดไม่ได้ว่ามีความรู้สึกกับน้าซ่งลึกซึ้งอะไร แต่หนึ่ง นางเป็นภรรยาของพ่อตน สอง เป็นแม่ของอันอัน
นางมีความหมายที่ไม่สามารถเอาอะไรมาทดแทนได้ของอันอัน เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของอันอัน
แต่ตอนนี้นางกลับจากไปตลอดกาล
เจียงอันอันแม้อายุจะยังน้อย แต่เด็กไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลย
เจียงวั่งก็เดินออกมาจากวัยนั้นเหมือนกัน เขาเข้าใจถึงความอ่อนไหวของเด็ก ความเปราะบางของเด็ก เข้าใจว่าเจ้าหนูน้อยในใจเจ็บปวดเพียงใด
ปกติอันอันเพียงแค่หกล้ม เจียงวั่งยังปวดใจแทบตาย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้นางร้องได้จนตาบวมไปหมด หัวใจของเขาแทบแหลกสลายแล้ว
“อันอันเด็กดี อันอันไม่ร้องไห้ มีพี่ชายอยู่ มีพี่อยู่นะ”
“ฮือๆๆ ท่านแม่ข้า นาง…”
“อันอัน อันอัน พี่ชายจะให้คำตอบกับเจ้า”
เจียงวั่งกอดหัวเล็กๆ ของนางเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างทั้งอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
ไม่ว่าจะเกี่ยวพันกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม
………………………………………………………