ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 84 พอภูเขาพังทลาย
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เชิญผู้แข็งแกร่งระดับเคลื่อนชีพจรในเมืองวั่งเจียงมา ใครสามารถสังหารผู้บุกรุกคนนี้ได้ ตระกูลหลินของข้ามีรางวัลเป็นหินพลังรากเต๋าสองก้อน!” ในกลุ่มคน มีเสียงชายกลางคนคนหนึ่งคำรามขึ้นด้วยความโกรธ
คนผู้นี้คือหลินตวนสิงบิดาของพี่น้องหลินเจิ้งเหรินหลินเจิ้งหลี่ มีตำแหน่งสูงในตระกูลหลี่
แต่จากตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินรุ่นต่อไปที่ข้ามเลยตัวเขาออกไปตกอยู่ที่ตัวหลินเจิ้งหลี่ ก็เพียงพอจะอธิบายได้ว่าเขานั้นมีกำลังไม่เพียงพอระดับไหน
ดังนั้นตอนที่เขาอ้าปากหยิบหินพลังรากเต๋าออกมาสองก้อน เอ่ยเชิญยอดฝีมือระดับเคลื่อนชีพจรจากทั้งเมืองมา สายตาของคนทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่ผู้อาวุโสตระกูลหลินก่อน
เพราะนอกจากเขา ใครก็ไม่มีอำนาจเช่นนี้
“พอแล้ว” ผู้อาวุโสหลินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ไปนำตัวหลินเจิ้งหลุนออกมา”
“ท่านพ่อ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ!” หลินตวนสิงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “หลินเจิ้งหลุนแม้จะไม่คู่ควรเอ่ยถึง แต่ก็เป็นหน้าตาตัวแทนของตระกูลหลินนะ! จะส่งไปให้คนอื่นจัดการได้อย่างไรกัน”
ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่คำพูดของคนผู้นี้ก็ไม่เหมาะสมแล้ว เอ่ยเถียงกับผู้อาวุโส บอกว่าเขาเลอะเลือน พูดให้เบาหน่อยก็คือไม่รู้จักสัมมาคารวะ พูดให้หนักหน่อยก็คือท้าทายต่อบารมีประมุขตระกูล ส่วนอีกเรื่องที่บอกว่าหลินเจิ้งหลุนไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง เรื่องนี้มันควรที่จะพูดต่อหน้าธารกำนัลไหม หักหาญน้ำใจเสียจริง
ผู้อาวุโสหลินเคาะไม้เท้าลงพื้น เอ่ยขึ้นเสียงสูง “เจ้าจะให้เรื่องมันบานปลายจนฝนตกไปทั่วเมือง ตระกูลหลินถึงจะไม่ขายหน้าหรือไร”
หลินตวนสิงตกตะลึงพรั่นพรึง หุบปากไม่พูดอะไรอีก
ถึงที่สุดเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องการฝึกบำเพ็ญเลย หลินเจิ้งหลี่เป็นตัวแทนของสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียงไปเข้าร่วมงานเสวนาเต๋าสามเมือง แน่นอนว่าต้องเป็นระดับเคลื่อนชีพจรอันดับไม่หนึ่งก็สองอยู่แล้ว หรือต่อให้ทหารอารักขาเมืองจะมีสักคนสองคนที่แกร่งกว่าเขา มันก็ยังมีข้อจำกัด
หรือก็คือ การเชิญผู้ฝึกบำเพ็ญในกองทหารอารักขามาลงมือ ตระกูลหลินคงได้ขายหน้าประชาชีไปถึงไหนถึงนั่น
รีบจัดการเรื่องให้จบลงไวที่สุดจึงจะถูก
เพียงไม่นานนัก หลินเจิ้งหลุนก็ถูกพามาที่ซุ้มประตู
พอเห็นชายที่ผมเผ้ารุงรัง ซีดเซียวเหมือนศพเดินได้คนนี้ เจียงวั่งจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าน้าซ่งไปชอบอะไรบนตัวเขา
“พาหลินเจิ้งหลุนมาแล้ว” ผู้อาวุโสหลินส่งสายตาชราที่ขุ่นมัวเล็กๆ ไปยังเจียงวั่ง เอ่ยต่อเสียงเรียบว่า “เจ้าต้องการคำอธิบายอะไร”
“ตอนนี้ ข้าถาม ท่านตอบ” เจียงวั่งเดินไปตรงหน้าหลินเจิ้งหลุน จ้องมองสายตาแข็งทื่อของเขา “มารดาน้องสาวข้าซ่งหรูอี้ ตายไปอย่างไรกัน”
หลินเจิ้งหลี่เอ่ยขึ้นจากข้างๆ “นางกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย ข้าพูดไปแล้วยังไม่ชัดอีกหรือ”
ผุ้อาวุโสหลินเหลือบตามองเขาผาดหนึ่ง เขาจึงสงบปากสงบคำลง
หลินเจิ้งหลุนอยู่ในสภาพเลอะๆ เลือนๆ จนกระทั่งได้ยินคำว่าซ่งหรูอี้ ในดวงตาจึงมีประกายฟื้นกลับมาเล็กน้อย
เขาเงยขึ้นมองไปทางเจียงวั่ง กวาดตาไปรอบๆ จากนั้นหันกลับมาจ้องเขม็งต่อที่เจียงวั่ง “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”
เสียงเขาสั่นพร่า “เจ้า…เป็นลูกชายที่ฝึกบำเพ็ญในสำนักเต๋าของหรูอี้คนนั้นหรือ พี่ชายของเจียงอันอัน”
“เยี่ยม เยี่ยมมาก” เขาตื่นเต้นจนกระทั่งคลั่งขึ้นมา “ถึงกับกล้าเข้ามาขวางประตูตระกูลหลินไว้ อนาคตไกลแน่!”
เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาอีกครั้ง “ข้าถามท่านว่า ซ่งหรูอี้ตายอย่างไร”
แต่หลินเจิ้งหลุนก็ราวกับไม่รู้สึกถึงความหมดความอดทนและความเบื่อหน่ายของเขา หรือก็คือ หลินเจิ้งหลุนในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงความคิดของคนอื่นแล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่มีเพียงอารมณ์ของเขาเท่านั้น
เขากางแขนทั้งสองข้าง ร้องไห้โฮออกมา “ข้าจะหาทรัพย์สินตั้งมากมายไปเพื่ออะไรกัน!!”
หลินเจิ้งหลุนคุกเข่าบนพื้น ปิดหน้าคร่ำครวญ “เสียใจเหลือเกินที่ไม่ย่ำสู่เส้นทางฝึกบำเพ็ญ! พอภูเขาพังทลาย ก็หมดสิ้นไม่เหลืออะไร!”
สำหรับคนผู้นี้ เจียงวั่งไม่เหลือความอดทนต่อเขาแม้เพียงน้อย
ดังนั้นกระบี่ของเขาจึงค่อยๆ เคลื่อนที่ชี้ไปยังหลินเจิ้งหลุน เอ่ยต่อว่า “ข้าจะถามท่านครั้งสุดท้าย ซ่งหรูอี้ตายอย่างไร!”
“หรูอี้…” หลินเจิ้งหลุนหยุดคร่ำครวญ เงยหน้าขึ้นมาน้ำตานองหน้า “เป็นข้า เป็นข้าที่ทำให้นางตาย เป็นข้าที่บีบคั้นจนนางต้องฆ่าตัวตาย!”
“ไม่!” เขายืนขึ้นฉับพลัน ยื่นมือชี้ไปยังคนของตระกูลหลินที่มารวมกันอยู่หลังซุ้มประตู “พวกเขา! ทุกคนจากตระกูลหลินอย่างพวกเขา ล้วนต้องรับผิดชอบ! โดยเฉพาะหลินเจิ้งหลี่!”
หลินเจิ้งหลี่ด่าทอกลับมา “เจิ้งหลุนเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
“เจิ้งหลุน” ผู้อาวุโสหลินเอ่ยขึ้นบ้าง “ภรรยาเจ้าตายไปแล้ว สภาพจิตใจไม่ดีข้ายังพอเข้าใจ แต่เจ้าจะมาพูดซี้ซั้วไม่ได้”
“ท่านผู้อาวุโส” หลินเจิ้งหลุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำตา “ตอนแรกท่านเห็นด้วยที่จะรับข้าเข้าผังตระกูล ยังให้ข้าเรียกท่านว่าท่านปู่ แล้วทำไมตอนที่เจ้าสัตว์เดรัจฉานหลินเจิ้งหลี่มาแย่งธุรกิจของข้า ไล่ข้าออกมา ท่านจึงทำเป็นมองไม่เห็นข้า”
ผู้อาวุโสหลินย่นคิ้วไม่พูดจา เรื่องระหว่างหลินเจิ้งหลี่กับหลินเจิ้งหลุนเขานั้นรู้อยู่แล้ว แต่ว่าด้านหนึ่งก็คือหลินเจิ้งหลุนในตอนนั้นดูหยิ่งผยองเสียจริง อีกด้านหนึ่ง หลินเจิ้งหลี่ก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา ต่อให้จะทำผิดอีกเพียงไหน เขาที่เป็นปู่ก็ยังต้องช่วยเขาอยู่ดี
“เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ข้าเองก็ไม่ได้ถามไถ่นานแล้วจริง อาจจะทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมนัก รอข้าตรวจสอบหลักฐานเรียบร้อย จะมีคำอธิบายให้แน่นอน” ผู้อาวุโสหลินเอ่ยขึ้น “แต่ภรรยาเจ้าก็ฆ่าตัวตายไปแล้วจริงๆ เรื่องนี้ตรวจสอบได้ กระทั่งเปิดโลงออกชันสูตรศพก็ยังไม่พบปัญหา เจ้าจะมาโทษคนอื่นได้อย่างไรกัน”
หลินเจิ้งหลุนเช็ดน้ำตา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้ากับหรูอี้ เดิมทีก็รักใคร่กันดี ธุรกิจที่ข้าสร้างขึ้นมา แทบจะควบรวมตลาดสมุนไพรของทั้งเขตสองเมืองไปแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเจิ้งหลี่อิจฉาตาร้อน ใช้ตัวตนฐานะผู้สืบทอดตระกูลมาแย่งชิงธุรกิจข้าไป ข้าจะตกอับถึงเพียงนี้หรือ!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเจิ้งหลี่!” เขาหันไปชี้หลินเจิ้งหลี่ ความแค้นอัดแน่นเต็มดวงตา!
ตูม!
ฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน ฟาดลงมากลางกระหม่อมของหลินเจิ้งหลุน รากพลังเต๋ากระจายออก ขยี้ใส่เขาจนกลายเป็นเศษเนื้อ!
และทำให้คำพูดซึ่งอัดแน่นด้วยความแค้นเกลียดชังที่ยังพูดไม่จบ สลายกลายเป็นฝุ่นไป
หลินเจิ้งเหรินที่ทะยานลงมาจากฟ้าเก็บมือลง มองเจียงวั่งและเอ่ยขึ้น “ซ่งหรูอี้ฆ่าตัวตายเอง เจ้าได้ยินชัดเจนแล้ว ข้าชดใช้หลินเจิ้งหลุนให้กับเจ้า! เพียงพอหรือยัง”
หลินเจิ้งเหรินปรากฏตัวเข้าสังหารคนอย่างกะทันหัน หลิงเหอเจ้าหรู่เฉิงล้วนเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งไปอยู่ข้างเจียงวั่งอย่างไม่มีลังเล รากพลังเต๋าทะลักออกมาจากการเตรียมต่อสู้
คนเป็นๆ คนหนึ่งถูกระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อตรงหน้า โดยเฉพาะก่อนหน้านี้เขายังกำลังระบายคำอย่างโกรธแค้น
การสยบด้วยอาณุภาพเช่นนี้ทำให้คนมากมายถึงกับหุบปาก
แต่เจียงวั่งสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน
เขาไม่มีเงื่อนไขอื่นที่จะเรียกร้องแล้วจริงๆ ซ่งหรูอี้ฆ่าตัวตายคือความจริง อย่างมากก็คือหลินเจิ้งหลุนหลังจากแต่งงานแล้วดูแลนางได้ไม่ดีพอ เรื่องนี้สำหรับกฎของรัฐจวงไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ในนี้อาจจะมีข้อพิพาทอะไรอยู่อีก แต่หลินเจิ้งหลุนก็ตายไปแล้ว ด้วยตัวตนศิษย์สำนักเต๋าของเจียงวั่งคงทำได้มากสุดเพียงเท่านี้
ตระกูลหลินสังหารหลินเจิ้งหลุนเพื่อชดใช้ จะมองทางไหนก็ถือว่าสมเหตุสมผล ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมา การชดเชยอะไรก็คงจะไม่มี
เจียงวั่งเอ่ยต่อ “สินเดิมของซ่งหรูอี้ ส่งธุรกิจขายสมุนไพรตำบลเฟิ่งจีคืนข้ามา สิ่งเหล่านั้นคือทรัพย์สินของตระกูลเจียง ตอนแรกเป็นของซ่งหรูอี้ ตอนนี้นางตายไปแล้วก็ต้องคืนสู่เจ้าของเดิม”
สินเดิมของซ่งหรูอี้ถือว่ามากมายพอควร โดยเฉพาะธุรกิจสมุนไพรตำบลเฟิ่งซี เป็นจุดคานงัดเปิดตลาดสมุนไพรในเขตเมืองเฟิงหลิน และเป็นส่วนสำคัญในการรวมธุรกิจค้าสมุนไพรทั้งสองเมืองให้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย
เนื้อชิ้นโตขนาดนี้ถูกเฉือนออกไป หลินเจิ้งหลี่แน่นอนว่าต้องเสียดาย
เขาที่กำลังจะพูดอะไร แต่หลินเจิ้งเหรินก็ตัดสินใจแทนขึ้นมา “ได้”
“เช่นนั้นสกุลเจียงขอตัว” เจียงวั่งเก็บกระบี่เข้าฝัก ผงกศีรษะให้กับผู้คนตระกูลหลิน “รบกวนแล้ว”
“ศิษย์น้องเจียง ข้าสกุลหลินขอแนะนำเจ้าอย่างจริงใจสักคำหนึ่ง” หลินเจิ้งเหรินเอ่ยขึ้นด้านหลังเขา “เส้นทางฝึกบำเพ็ญนั้นยาวนานนัก ต้องค่อยๆ คืบเดิน จงอย่ายิ่งเดินยิ่งให้ทางมันแคบลง”
“จู้เหว่ยหว่อถึงจะแกร่งอีกแค่ไหน แต่เขาจะคุ้มครองเจ้าได้ทั้งชีวิตหรือ”
เจียงวั่งดึงหอกอุปมาความตายออกมาห่อเก็บอย่างระมัดระวัง ปิดฝากล่อง สะพายขึ้นกลางหลัง
จากนั้นจึงหันหน้ากลับ เอ่ยขึ้นกับหลินเจิ้งเหริน “ขอบคุณที่ชี้แนะ”
ศิษย์สหายทั้งสามจึงเดินออกไป
…
…
ปล. “เสียใจเหลือเกินที่ไม่ย่ำสู่เส้นทางฝึกบำเพ็ญ! พอภูเขาพังทลาย ก็หมดสิ้นไม่เหลืออะไร!” สำหรับหลินเจิ้งหลุน สิ่งที่ฉันอยากแสดงออกมาก็คือคนธรรมดาที่ไม่ได้เลือกเส้นทางฝึกบำเพ็ญคนหนึ่ง การดิ้นรนและพยายามในโลกบรรลุพลังเช่นนี้ ก็เหมือนกับชายตัดฟืนที่ได้รับเงินมากมายมหาศาลจากหอกอุปมาความตายคนนั้น พวกเขาอาจจะมีโอกาสหยิบยืมความสามารถหรือโชคจนได้รับความร่ำรวย แต่พวกเขาสามารถปกป้องความร่ำรวยเหล่านั้นได้ไหม ระบบกฏเกณฑ์และการพิจารณาต่อสังคมโลกบรรลุพลังจึงเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ฉันไม่รู้ว่าการบรรยายต่อคนเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง ขอทิ้งไว้ให้เหล่าผู้อ่านได้ประเมินค่ากัน (ไม่แน่ใจต้องแปลปัจฉิมลิขิตหรือเปล่าเลยแปลแนบมาด้วยครับ)
……………………………………….