ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 9 ท่าที
ทุกอย่างพูดแล้วเหมือนช้า แต่นับจากที่เจียงวั่งวิ่งตะบึงมายังสำนักสายใน จนถึงตอนต่งเออพลันลงมือ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาที่สั้นเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนที่งูเถาวัลย์จะปิดล้อมโดยสมบูรณ์กลางอากาศ ร่างขาวซีดร่างหนึ่งพุ่งจากช่องว่าง ทะยานขึ้นท้องฟ้าด้วยความเร็วสุดขีด ใกล้จะกระโดดหนีออกไปได้แล้วเต็มที
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หนามไม้นับไม่ถ้วนพุ่งออกไปทะลุร่างนั้นทันที!
ร่างของเขาชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง จวบจนหนามที่กระหน่ำแทงเหล่านั้นหยุดลง ถึงจะร่วงลงมาจากท้องฟ้า จากหัวจนถึงขาล้วนเต็มไปด้วยรูเลือด ตายสนิทจนไม่อาจตายได้อีก
ทั่วทั้งสำนักเต๋าเงียบกริบ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายนอกหรือศิษย์สายในก็ล้วนแต่ตื่นตะลึงเพราะฉากนี้
เจียงวั่งเห็นแล้วหนังตากระตุก “มารนอกรีตที่ประหลาดนั่นตายไปแบบนี้หรือ”
ต่งเออกลับไม่แม้แต่จะมอง เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ไอ้ที่เหลือนั่นยังซ่อนอยู่อีกรึ”
“น่าขันนัก!” เขาก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย เดินไปกลางอากาศทีละก้าวๆ “ทุกอย่างในกรงหยกมรกตอยู่ในการควบคุมของข้า ทุกอย่างมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม มีเพียงกลิ่นของเจ้าเท่านั้นที่ชวนให้คนคลื่นไส้!”
เขายื่นมือขวาออกมาแล้วกำเบาๆ
ประตูบานหนึ่งมีมือปรากฏออกมา คว้าคนที่แต่งกายอย่างศิษย์สายนอกที่อยู่ใกล้ๆ เอาไว้ นิ้วทั้งห้าของมือไม้แยกออกจากกันแล้วแผ่ไปทั่วร่างในพริบตา พันธนาการตัวคนเอาไว้แน่น
ในขณะเดียวกัน แขนไม้ก็ยืดยาวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงคนผู้นี้มาตรงหน้าต่งเออซึ่งอยู่กลางอากาศ
“บอกมา ใครเป็นคนส่งเจ้ามา ถึงกับกล้าสังหารคนในสำนักเต๋าอย่างนั้นรึ” ต่งเออหันหลังให้ฟ้ากระจ่างดาว ก้มมองลงมายังนักลอบสังหารที่กำเริบเสิบสานคนนี้
ลมก็เหมือนจะหยุดนิ่งไป และรอคอยคำตอบของคนคนนี้อย่างเงียบงัน
นักลอบสังหารที่หน้าตาธรรมดาพลันแยกเขี้ยวหัวเราะ จากนั้นทั้งศีรษะพลันระเบิดออก!
ต่งเออหมัดกำแน่น ม่านน้ำชั้นหนึ่งหุ้มวัตถุสีขาวแดงนั้นเอาไว้ทันที ก่อเป็นมวลน้ำทรงกลมบวมเต่ง
เขาเหลียวมองไปยังศพร่างก่อนหน้านี้ เมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งผุดขึ้นจากดินแล้วเติบโตอย่างรวดเร็ว ดอกตูมเบ่งบานกลายเป็นปากขนาดใหญ่ จากนั้นก็เขมือบศพเข้าไป ครั้นต่งเออซัดมวลน้ำเข้าใส่ ปากของดอกไม้ก็ปิดลง แล้วหดกลับลงไปในดินอีกครั้ง
ศพสองร่างถูกจัดการเรียบร้อยไปเช่นนี้ แต่โทสะบนใบหน้าต่งเออกลับยิ่งชัดเจน
“ต้นกล้าผู้ฝึกตนของรัฐจวงเราถูกสังหารในสำนักเต๋า! มารนอกรีตบังอาจทำถึงเพียงนี้! เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง! จวนเจ้าเมืองต้องให้คำตอบกับข้า ไม่ว่าผู้บงการเบื้องหลังจะเป็นใคร ก็ต้องตัดหัวมันเสีย!”
พลังบำเพ็ญของผู้แข็งแกร่งระดับห้าสำแดงออกมาเต็มที่ เสียงประดุจฟ้าร้องสะเทือนไปทั้งเมือง
คนมากมายทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี
ต่อมาเสียงก้องกังวานก็ดังไปทั่วเมืองเช่นกัน นั่นคือเสียงของเว่ยชวี่จี๋เจ้าเมืองหลินเฟิง “เจ้าสำนักต่งวางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะให้คำตอบแน่! ไม่ว่าเกี่ยวพันกับใครหรือเรื่องใด หากขุดออกมาได้ จะสังหารไม่ละเว้นอย่างแน่นอน!”
เจียงวั่งสังเกตเหตุการณ์ฉากนี้ รู้สึกรางๆ เหมือนว่าตนสัมผัสคลื่นวนรุนแรงใต้น้ำบางอย่างได้
สำนักเต๋าเป็นสถานที่ฝึกฝนอบรมบุคคลมีความสามารถของบ้านเมือง เป็นที่ที่ชะตาบ้านเมืองสถิตอยู่ การลงมือสังหารในเขตสำนักเต๋า นับว่าแตะขีดจำกัดของต่งเออแล้ว
รัฐฉินดักซุ่มโจมตีศัตรูในดินแดนรัฐจวงก็เป็นการฉีกหน้ากันอย่างรุนแรงแล้ว วันนี้มารนอกรีตยังสังหารคนในเขตสำนักเต๋า แม้จะไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร แต่ก็บอกได้ยากว่าไม่ใช่ความคิดที่จะหยั่งเชิงท่าทีของทางการ
และก่อนหน้าวันนี้ ทุกคนต่างรู้กันทั่วว่าต่งเออกับเว่ยชวี่จี๋ไม่ถูกคอกัน ฝ่ายแรกอยู่ข้างอัครเสนาบดีตู้หรูฮุ่ย ฝ่ายหลังเป็นอดีตผู้ใต้บัญชาของแม่ทัพใหญ่หวงฝู่ตวนหมิง
ด้วยพลังของต่งเออ หากจะลากมารร้ายออกมาไม่จำเป็นต้องเอิกเกริกเช่นนี้เลย การที่เขาใช้วิชาเต๋าปกคลุมทั้งสำนัก ทั้งยังพูดคุยกับเว่ยชวี่จี๋ข้ามระยะไกล ดูแล้วเหมือนเป็นการแสดงความแข็งแกร่ง แสดงท่าทีอย่างชัดเจน เพื่อที่จะข่มขวัญคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือในเงามืดพวกนั้นเสียมากกว่า
รัฐจวงก็ไม่ได้สงบสุขนัก
“แยกย้ายกันไปเถอะ” ต่งเออสีหน้าไร้อารมณ์ หมุนตัวเดินลงมาจากกลางอากาศ
บานประตูตรงกลับไปที่เดิม งูเถาวัลย์เลื้อยกลับไปยังกำแพง…ทั้งสำนักเต๋ากลับสู่สภาพเดิมในพริบตา
ยามค่ำคืนดูเหมือนเงียบสงบเช่นนี้มาตั้งแต่แรก
ทุกอย่างเหมือนความฝันตื่นหนึ่ง แต่บาดแผลที่ยังไม่สมานตัวบอกเจียงวั่งว่านี่คือเรื่องจริง
นี่คือพลังของผู้แข็งแกร่งระดับห้า
และก็เป็นภาพฉากที่เขาจะปีนป่ายขึ้นไป!
ตอนที่เจ้าหรู่เฉิงได้ยินข่าวแล้วมุ่งหน้ามาที่สำนักเต๋า ทุกอย่างก็กลับมาสงบแล้ว มีเพียงพวกศิษย์สายนอกที่ยังคงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ตื่นเต้นกับพลังน่าเกรงขามของเจ้าสำนักเป็นนักหนา
เขาเจอเจียงวั่งในห้องพัก ตอนนี้เจ้าคนนี้กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เดินลายด้วยดิ้นทองเช็ดกระบี่คู่กายอย่างตั้งใจ
ผ้าเช็ดหน้าย่อมเป็นของเจ้าหรู่เฉิง ทั้งหอพักไม่มีทางมีคนใช้ของแบบนี้อีกเป็นคนที่สอง
เจ้าหรู่เฉิงสังเกตเห็นหลังเท้าที่พันแผลใหม่อย่างดีของอีกฝ่าย ก็ยิ้มเยาะเย้ยพูดขึ้นว่า “โอ๊ะ ทำไมถึงได้บาดเจ็บอีกแล้ว ท่านที่วิชากระบี่เป็นอันดับหนึ่งในสำนักสายนอกเป็นของปลอมหรือเปล่า”
“ก็พอได้” เจียงวั่งเช็ดคมกระบี่อย่างไม่สนใจเขา “ถึงจะปลอมแต่ก็สั่งสอนเจ้าได้อยู่”
พูดถึงตรงนี้ เขาถึงได้เงยหน้ามองเจ้าหรู่เฉิงพร้อมยิ้มตาหยี “น้องชาย”
“ก็แค่แก่กว่าข้าปีเดียว ฝึกกระบี่มากกว่าปีหนึ่งไม่ใช่หรือ” เจ้าหรู่เฉิงเบ้ปาก
“แก่กว่าวันหนึ่งก็คือแก่กว่า น้องชาย”
เจ้าหรู่เฉิงแยกเขี้ยว เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เลิกเช็ดได้หรือไม่ ท่านรู้ไหมว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของข้าซื้อกระบี่ผุๆ ในมือท่านได้กี่เล่ม”
เจียงวั่งหัวเราะอย่างอวดดี “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ กระบี่ที่ข้าเจียงวั่งคนนี้เคยใช้ ในอนาคตจะมีค่าเท่ากับผ้าเช็ดหน้าของเจ้ากี่ผืน”
แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เขาและเจ้าหรู่เฉิงก็เงียบงันพร้อมกัน
เพราะคำเช่นนี้เป็นลักษณะการพูดของฟางเผิงจวี่มาแต่ไหนแต่ไร การใช้ผ้าเช็ดหน้าปักดิ้นทองของเจ้าหรู่เฉิงเช็ดกระบี่ก็เป็น ‘กิริยาไม่สมควร’ ที่เขาทำก่อน หากกล่าวโดยใช้คำพูดของเขาก็คือ ‘กระบี่คู่กายของพวกเราพี่น้อง ในวันข้างหน้าจะเป็นมรดกสืบทอดไปชั่วนิรันดร์ จะไม่ดูแลรักษาให้ดีได้อย่างไร ผ้าเช็ดหน้าดีๆ แบบนี้ ถ้าใช้เช็ดหน้าก็น่าเสียดายนัก! แม้หรู่เฉิงจะหน้าตาหล่อเหลา แต่ใบหน้าของเขาสืบทอดต่อไปชั่วนิรันดร์ได้ที่ไหน’
คนบางคนหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้กลับยังดำรงอยู่อีกนาน…
เป็นเจ้าหรู่เฉิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่สาม ท่านว่าครั้งนี้มารร้ายโจมตีสำนักเต๋ามีเป้าหมายอะไร เกี่ยวพันมาถึงท่าน…อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุหรือไม่”
“ตระกูลฟางน่าจะไม่มีความกล้านั้น” เจียงวั่งส่ายหน้า “แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน จริงสิ เจ้าเห็นพี่ใหญ่หรือไม่”
ตอนกลางวัน หลิงเหอไปตระกูลฟางเพื่อส่งศพ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา นี่ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้
คิ้วกระบี่ของเจ้าหรู่เฉิงเลิกขึ้น “ได้ยินว่าเขาถูกตระกูลฟางไล่ออกมา จากนั้นไปไหนข้าก็ไม่แน่ชัด”
เจียงวั่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ไปเถอะ พวกเราไปตามหาสักหน่อย”
“จะไปหาท่านก็ไปเอง ข้าไม่ใช่พ่อพระเที่ยวทำดีไปทั่วหรอกนะ” เจ้าหรู่เฉิงเบ้ปาก “นี่ ข้าไม่ได้ปิดประตูขับไล่เขาสักหน่อย ท่านมองข้าแบบนี้ทำไม”
เจียงวั่งทำแค่จ้องเขาโดยไม่พูดอะไร
เขาจำต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ แต่ว่าดึกขนาดนี้แล้ว พวกเราจะไปหาที่ไหน”
“ก่อนอื่น” เจียงวั่งวิเคราะห์ “เขาต้องไม่ยอมทิ้งศพไว้ในสุสานศพไร้ญาติแน่”
“แต่เขาก็ไม่มีเงินอีก” เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยต่อ
“นอกจากนั้น เขายังเป็นคนที่ใส่ใจให้ความสำคัญกับผู้อื่น…” เจียงวั่งลุกขึ้นเดินไปข้างนอก “ข้ารู้แล้วว่าเขาไปไหน”
“ข้ายังรู้ด้วยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่” เจ้าหรู่เฉิงเดินตามหลังพลางย่นจมูกโด่งสวย “ร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่แน่”
………………………………………………………