ท่องภพสยบหล้า - บทที่ 98 ข้าไม่ใช่อัจฉริยะ
เล่นเขาวงกตกับเจ้าหล่างไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะเขาวงกตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาใต้การควบคุมของศัตรูแบบนี้
เจียงวั่งตัดสินใจทะยานขึ้น กระโดดไปอยู่เหนือกำแพงหิน
สิ่งที่มารับหน้าเขาคือกระสุนเพลิงที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว
เจียงวั่งจึงพลิกตัวกลางอากาศ ปลายเท้าแตะบนกำแพงหินอย่างแผ่วเบา แล้วใช้กระบี่สกัดกระสุนเพลิงออกไป
แต่เถาวัลย์ที่พันเลื้อยอยู่บนกำแพงตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ก็พลันกรูขึ้นมาพันรัดข้อเท้าของเขาเอาไว้
แสงกระบี่ตวัดฟัน ในขณะที่ตัดเถาวัลย์เจียงวั่งทำได้เพียงแค่ขยับไปด้านข้าง ทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าหล่าง
คมวายุที่สะสมพลังอยู่นานสายแล้วสายเล่าแหวกอากาศเสียงดังซู่ซ่า
การต่อสู้ครั้งนี้ของทั้งสองคนพลัดกันรุกพลัดกันรับ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทำเอาทหารที่อยู่นอกสนามฝึกอุทานตกใจไม่หยุด
ด้านหนึ่งพวกเขาหยุดการดูถูกที่มีต่อลูกศิษย์สำนักเต๋า อีกด้านหนึ่งก็ยิ่งเคารพบูชาเจ้าหล่างมากขึ้น
เจียงวั่งในตอนนี้เลิกใช้วิชาเต๋าไปเรียบร้อยแล้ว ความเข้าใจในการใช้วิชาเต๋าของเขาห่างชั้นกับเจ้าหล่างอยู่ไกล โดยพื้นฐานแล้วไม่มีพื้นที่ให้แสดงพลัง ถูกขัดจังหวะหลายครั้ง จึงเปลี่ยนมาฝึกใช้วิชากระบี่อย่างเดียวเสีย
ตอนนี้เขาไม่ยึดติดกับห้ากระบวนท่าสังหารอีกต่อไป แต่วิเคราะห์กระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา ค่อยๆ ผสานเข้าไปในทุกกระบี่ จนถึงตอนสุดท้าย ทุกกระบี่ล้วนกลายเป็นท่าสังหารได้ และทุกกระบวนท่าสังหารยังสลับสับเปลี่ยนกันได้ตามแต่ใจ
ทุกกระบี่เป็นกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากลำบากและยาวนาน ดีที่เจ้าหล่างตั้งใจสนับสนุน แม้จะใช้วิชาเต๋าได้เป็นเลิศ แต่ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้มีใจจะเอาชนะ แค่คอยบีบเค้นให้เจียงวั่งพัฒนาอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่วิชากระบี่ของเจียงวั่งสมบูรณ์หนึ่งส่วน เขาก็จะยกระดับพลังวิชาเต๋าให้เทียบเท่ากัน พอเทียบกับกำลังรบที่เจ้าหล่างแสดงออกมาตอนนี้ พลังการควบคุมเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก
สุดท้ายเจียงวั่งพลิกตัวกระโดดออกมานอกสนามฝึก ก่อนโค้งตัวให้เจ้าหล่างด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง
“ขอบคุณพี่เจ้าที่ทำให้สมหวัง!”
ตอนนี้เขากุมกระบี่ไว้ในมือ กระบี่สมบูรณ์แล้ว
สามารถออกกระบี่ได้ทุกเวลา ทุกกระบี่ล้วนเป็นท่าสังหาร
“ขอบคุณอะไรกัน” เจ้าหล่างยิ้มๆ “วันข้างหน้าไม่แน่ว่าอาจจะมาเป็นสหายกันก็ได้”
สมแล้วที่เขาเป็นบุคคลมีความสามารถที่คอยช่วยเว่ยเหยี่ยนควบคุมดูแลกองทัพ ประลองศึกหนึ่งได้ทั้งมอบน้ำใจออกไป ได้ทั้งสั่งสอนลูกน้องใต้บัญชาการ ตอนนี้ยังไม่ลืมดึงคนเข้ามาเป็นพวกอีก
แพ้ชนะย่อมไม่ต้องพูดถึง
เหล่าทหารระดับสูงตรงนั้นชักชวนกันอย่างครึกครื้น “ใช่แล้ว น้องชายฝีมือดีขนาดนี้ ไม่ต้องสอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองแล้ว มาอยู่ค่ายทหารของเราดีกว่า! ล้วนเป็นผู้ชายองอาจห้าวหาญกันทั้งนั้น!”
ถึงจะพูดแบบนั้น ชายองอาจห้าวหาญดูผ่าเผยก็จริง แต่ว่าจะมีแรงดึงดูดอะไร แม้ในสำนักเต๋าจะไม่มีศิษย์พี่หญิงที่มีชื่อเสียง แต่ว่ากันว่าสำนักเต๋าเขตปกครองมีผู้ฝึกตนหญิงงามเยอะแยะมากมาย
ในใจปฏิเสธคนพวกนี้อย่างไม่ลังเลไปแล้ว แต่ภายนอกยังเอ่ยพอเป็นพิธีอย่างกระตือรือร้น “เรื่องสอบเข้าสำนักเขตปกครองยังอีกไกล ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจอีกที”
วันนี้มาฐานที่มั่นกองทัพประจำเมือง พูดได้ว่าได้กำไรมาเต็มที่ หลังจากนัดกับเจ้าหล่างว่ารอเขามีเวลาว่างค่อยมาขอคำชี้แนะอีก เจียงวั่งก็พาถังตุนจากไป
……
เหล่าทหารพากันแยกย้าย เจ้าหล่างหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นเว่ยเหยี่ยนเดินจับดาบเข้ามา
“สวยแต่รูป” เขาเสียดสี
เจ้าหล่างยิ้มขื่น “ถ้าข้าทะลวงระดับได้ง่ายเหมือนเจ้า ก็ไม่ต้องเอาเวลามาใช้กับเรื่องพวกนี้หรอก ข้าใช้เวลากับวงจรจักรวาลเล็กไปมากขนาดนั้น แต่กลับยังสร้างได้ไม่สมบูรณ์แบบ อุตส่าห์สร้างวงจรจักรวาลใหญ่ได้สำเร็จก็พัฒนาช้ามาก ไม่เห็นประตูฟ้าดินเสียที กองทัพเป็นที่ที่ต้องการกำลังรบขนาดนั้น จะไม่ขัดเกลาวิชาเต๋าให้มากหน่อยได้อย่างไร”
เขาพูดง่ายๆ สีหน้าก็เรียบเฉยเช่นกัน
ทว่าถ้าอยากถึงขั้นเชี่ยวชาญวิชาเต๋าระดับต่ำแทบจะทั้งหมดแบบเขา จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเท่าไร?
ตอนนี้เขารับตำแหน่งขุนพลผู้ช่วยแห่งกองทัพประจำเมืองเฟิงหลินได้อย่างไร้กังวล อยู่กับเว่ยเหยี่ยนก็ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างสบายๆ
ระยะที่ก้าวข้ามไม่ใช่แค่ระยะห่างระหว่างคนธรรมดากับอัจฉริยะ
สิ่งที่ทุ่มเทไปก็ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยยากที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
ทั้งกองทัพประจำเมืองเฟิงหลิน แม่ทัพเอกคนหนึ่ง ขุนพลรองสองคน ขุนพลผู้ช่วยห้าคน แปดคนนี้คือบุคคลระดับสูงในกองทัพ เว่ยเหยี่ยนและเจ้าหล่างล้วนอยู่ในนี้ด้วย
“เจ้าคิดถึงคนอื่นมากเกินไป คิดถึงตัวเองน้อยเกินไป”
“ไม่ต้องพูดถึงข้าแล้ว” เจ้าหล่างเบี่ยงประเด็น “เจ้าเล่า เปิดประตูฟ้าดินแล้ว เมื่อไรจะไปจิ่วเจียง”
สีหน้าของเว่ยเหยี่ยนอึมครึม “คำสั่งโยกย้ายไม่ผ่าน”
แน่นอนว่าเจ้าหล่างรู้สาเหตุในนั้น ดังนั้นจึงไม่ซักไซ้อะไร ตบๆ ไหล่ของเขาและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปที่แบบนั้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองแล้ว อันที่จริงไปกองทัพขนนกขาวมีอนาคตไกลกว่า ทั้งยังอยู่นครหลวง เจ้าไม่ด้อยไปกว่าจู้เหวยหว่อ ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะได้รับความสนใจจากแม่ทัพใหญ่หวงผู่ก็เป็นได้”
“เหอะ หากสักวันข้ายังไม่อาจสยายปีกโบยบิน ไม่อาจสลัดหลุดจากสถานการณ์ที่ถูกจำกัดไว้ ก็ไม่สามารถก้าวข้ามจู้เหวยหว่อได้”
เจ้าหล่างสังเกตเห็นว่ากระดูกนิ้วที่กำดาบของเว่ยเหยี่ยนเป็นสีขาว นั่นก็เพราะออกแรงมากเกินไป
“เขาคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกตลอด ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น หากไม่ใช่เพราะแม่ข้า…” เว่ยเหยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
เจ้าหล่างเงียบไปครู่หนึ่ง รออีกฝ่ายปรับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นถึงพูดขึ้น “บางทีเขาอาจจะเป็นห่วงเจ้ามากเหมือนกัน เพียงแต่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น”
“หึ” เว่ยเหยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าไม่เข้าใจเขาเลย และเจ้าก็ไม่เข้าใจข้าเช่นกัน”
เจ้าหล่างนิ่งเงียบ
“เจ้าคิดว่าเขากำลังชดใช้ความผิดหรือ คิดว่าเขารู้สึกผิดอย่างนั้นรึ เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!” เว่ยเหยี่ยนจับดาบเดินจากไป
เจ้าหล่างมองแผ่นหลังของเขา ทว่าไม่ได้เดินตามไป
……
ยามที่กระเรียนเมฆาบินมาอย่างแผ่วพลิ้ว ในปากคาบหินหยกทรงกลมสีขาวก้อนหนึ่งอยู่
ครั้นอันอันคว้ามันไว้ กระเรียนเมฆาก็กลายเป็นกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่ง หยกขาวนอนนิ่งอยู่กลางฝ่ามือ
“ให้!” เจียงอันอันใช้มือข้างที่ถือหยกปิดตาเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มืออีกข้างยื่นจดหมายให้เจียงวั่ง “อันอันไม่ได้แอบดูนะ”
เจียงวั่งใช้นิ้วเขี่ยจมูกของนาง “เจ้าเล่ห์นัก”
จากนั้นคลี่กระดาษจดหมาย
‘สหายเต๋าเจียง
ใครบ้างเล่าจะไม่งุนงงสับสน ประโยคเดียวนับเป็นอาจารย์ข้าไม่กล้ารับไว้ เส้นทางเต๋ายาวไกลและยาวนาน ชิงอวี่ก็เป็นผู้ที่สับสนเช่นกัน
ฝากทักทายน้องสาวของท่านด้วย กระเรียนเมฆาคาบหินเก็บเงาไปให้ อยากได้ยินเสียงเด็กน้อยนัก
อีกอย่าง ไม่ทราบว่าป่าเฟิงคือที่ใด
——พิรุณครามเหนือเมฆา’
“หินหยกก้อนนี้พี่สาวที่เขียนจดหมายมอบให้เจ้าใช้” เจียงวั่งอ่านจดหมายจบก็หยิบหินเก็บเงาสีขาวมา ถ่ายทอดรากพลังเต๋าเข้าไป แล้วจึงมอบมันให้อันอัน
“เจ้าพูดกับมันตอนนี้ ก็จะบันทึกท่าทางและเสียงของเจ้าเอาไว้ให้เจ้าของกระเรียนเมฆาดู”
“จริงหรือ” เจียงอันอันเบิกตากว้าง
หินเก็บเงาพลันฉายม่านแสงสีขาวออกมา บนม่านแสงมีเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังทำตาโต “จริงหรือ”
คัดลอกเลียนแบบลักษณะท่าทางของเจียงอันอันไว้โดยสมบูรณ์
“น่าอัศจรรย์เกินไปแล้วกระมัง” ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง… “น่าอัศจรรย์เกินไปแล้วกระมัง”
“เริ่มบันทึกภาพแล้วนะ อันอันเจ้าพูดให้ดีๆ” เจียงวั่งเตือนอยู่ข้างๆ
“เริ่มบันทึกภาพแล้วนะ อันอันเจ้าพูดให้ดีๆ”
หินเก็บเงาส่งเสียงที่เหมือนกันทุกประการออกมา หยอกล้อจนอันอันหัวเราะคิกคัก
หลังจากหัวเราะ นางก็ก้มหน้าตั้งใจคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดกับหินเก็บเงาว่า “พี่สาว ท่านใช้หินก้อนนี้คุยกับข้าได้หรือไม่ อันอันอยากเห็นหน้าตาของท่าน!”
เมื่อพูดจบ นางก็ยื่นหินเก็บเงาไปให้เจียงวั่ง
รอจนเจียงวั่งปิดหินเก็บเงา ม่านแสงสีขาวนั่นหายไปแล้ว นางถึงจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าพูด~จบ~แล้ว”
เจียงวั่งหุบยิ้มทันที “พูดจบแล้วก็ไปทำการบ้าน รู้จักฉวยโอกาสแอบอู้จริงๆ!”
พอไล่เจียงอันอันไปแล้ว เขาคิดอยู่สักครู่ก่อนหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตอบกลับบนกระดาษจดหมาย
‘สหายเต๋าเยี่ย
เมืองเฟิงหลินคือบ้านเกิดของข้า ป่าต้นเฟิงที่นอกเมืองงดงามยิ่งนัก
ทุกฤดูใบไม้ร่วง ใบต้นเฟิงจะแดงดุจเพลิง ไม่อาจใช้คำบรรยายได้ลึกซึ้ง ยากที่จะพรรณนาได้
สหายเต๋าอยู่ที่รัฐอวิ๋น ข้าอยู่เมืองแห่งป่าเฟิง
ป่าเฟิงมีความหมายเช่นนี้เอง
ข้าส่งหินเก็บเงาคืนไปพร้อมจดหมาย น้องสาวของข้าอายุน้อยไม่รู้ความ ขออย่าได้ถือสาเลย
——ขิงน้อยในป่าเฟิง’
………………………………………………………