ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก - บทที่ 536 ไม่เคยจากประเทศมาก่อน
ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก บทที่ 536 ไม่เคยจากประเทศมาก่อน
จอห์นใช้นิ้วนวดหัวคิ้วเข้าด้วยกัน พร้อมกับความรู้สึกรำคาญ
ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจยอมผ่อนปรนลง
สุดท้ายแล้ว การประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ทำไปเพื่อปกป้องโคลอี้ แต่ถ้ามันทำลายความมั่นใจของเธอลง เธอก็ขอที่จะเก็บมันไว้อย่างถาวร และไม่พูดถึงมันดีกว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน เธอก็เข้าใจว่าเขารักเธอและจะไม่มีวันใส่ใจเกี่ยวกับตัวตนของเธอ
ส่วนในเรื่องครอบครัวของเขา จอห์นไม่กังวลเพราะตาและย่าของเขาจะเอ็นดูโคลอี้แน่นอน และเมื่อมาถึงพ่อและแม่ของเขาแล้ว อย่างไรก็ตาม จอห์นก็มีความคิดเป็นของเขาเอง
เมื่อจอห์นคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็พูดขึ้นมาว่า “มานั่งตรงนี้สักพักก่อน แล้วบอกพนักงานว่าคุณต้องการอะไร อีกเดี๋ยวผมจะกลับมานะ”
โคลอี้ส่งยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ
หลังจากที่เขาจากไป โคลอี้นั่งคนเดียวบนม้านั่ง สายลมตอนกลางคืนพัดมากระทบบนผิวของเธอ ทำให้เธอรู้สึกสบายตัว
อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงที่ไม่คาดคิดดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ “โคลอี้?”
โคลอี้หันกลับไปมอง และพบแองเจลีนในชุดเดรสสีเหลืองพาสเทลกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของต้นไม้ที่กำลังผลิใบ พร้อมกับมองมาที่เธออย่างแปลกใจ
โคลอี้ลุกขึ้นจากม้านั่งด้วยความตกตะลึง “ลูกพี่ลูกน้อง?”
“เป็นเธอจริง ๆ ด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะไม่ใช่เธอ”
แองเจลีนเดินเข้าไปหาพร้อมสำรวจโคลอี้จากบนจรดล่าง มองครั้งเดียวเธอก็รู้ได้ว่าชุดเดรสยาวที่แองเจลีนใส่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของคริส นักออกแบบเสื้อผ้าแสนโด่งดัง ผนวกกับเมคอัพที่แสนประณีตงดงาม และเครื่องประดับสุดหรูหราในค่ำคืนนี้ โคลอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาแองเจลีน
ผู้คนภายนอกไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคริสกับจอห์น แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสของบริษัทผลิตน้ำหอม G.K. เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เธอรู้ว่าคริสเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เพราะเขารู้สึกไม่พอใจกับการที่เขาถูกควบคุมของที่บ้าน ผนวกกับความรักที่เขามีต่อการเดินแบบ คริสจึงเปิดกิจการผับขึ้น
คริสและจอห์น เหมือนกับโจเอลจากตระกูลฟอสเตอร์ พวกเขาเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพวกเขาก็เหมือนกับพี่น้องแท้ ๆ สำหรับจอห์นที่จะไปขอให้คริสช่วยออกแบบจัดแจงชุดให้โคลอี้ มันแสดงให้เห็นได้ว่าเธอนั้นแตกต่างในใจของเขา
โคลอี้ผู้ซึ่งเคยไปอาศัยในต่างประเทศมาก่อน เธอได้รับทักษะมามากมาย และเธอยังสามารถเอาชนะคนอย่างนายน้อยของตระกูลฟอสเตอร์มาได้
แองเจลีนได้เหมารวมความสัมพันธ์ของจอห์นและโคลอี้ไปแล้วว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเมียน้อยกับคุณชายที่ร่ำรวย และถึงแม้เธอจะดูถูกอยู่ในใจ แต่เธอก็ทำท่าทางไม่มีอะไรออกมาข้างนอก
เธอยิ้มบางเบาพร้อมกับทำท่าทางเชิญให้โคลอี้นั่งลงบนม้านั่ง “โคลอี้ เธอไม่ได้อยู่นอกหรอกหรือ? ทำมาถึงได้กลับมาที่นี่ล่ะ?”
โคลอี้ไม่อยากบอกแองเจล่าว่าพ่อขอให้เธอกลับมาแต่งงาน เธอจึงตอบกลับอย่างไปทีว่า “ ฉันไม่ค่อยชินกับการอยู่นอกคนเดียวเท่าไหร่ ก็เลยกลับมา”
“ใช่แล้ว เธอไม่เคยไปต่างประเทศตั้งแต่เธอยังเด็ก ก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมเธอถึงไม่ชิน” แองเจลีนยิ้มพร้อมกับโทนเสียงที่เติมแต่งไปด้วยความทะนงตน
โคลอี้สัมผัสถึงความรู้สึกชั้นกว่าคนอื่นของแองเจลีนแต่ก็ยิ้มกลับและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ถึงโคลอี้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ทั้งนี้ก็เพราะคุณลุงคนโตสุดของตระกูลเฮนเดอสัน ได้ใช้ความพยายามทั้งหมดของเขา ทุ่มเททำงานตั้งแต่ยังเด็ก แล้วจึงตั้งบริษัทไทเกอร์ขึ้น ซึ่งเป็นบริษัทที่เจาะจงเฉพาะด้านแฟชั่น สถานะของพวกเขานั้นสูงกว่าสถานะของบ้านโคลอี้มาก พวกเขาขาดการติดต่อกัน และเมื่ออายุ 5 ขวบ แองเจอลีนก็ถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ และเพิ่งจะกลับมาเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นพวกเขาทั้งสองเลยไม่มีอะไรที่คล้ายกันซักอย่าง
แองเจลีนถอนหายใจขึ้นมา “พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน เธอคงไม่จำเป็นต้องไปต่างประเทศหรอก”
ในตาของโคลอี้ฉายความเศร้าหมอง เธอก้มหน้าต่ำลง
เหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนคือร่องรอยที่ยากจะลบออกจากชีวิตของโคลอี้ ถึงแม้ว่าเธอจะบอกกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งไม่ให้คิดถึง และใส่ใจกับมันอีก ครั้นที่เธอต้องเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรู้สึกแย่ และรับฟังคำพูดที่เลวร้ายจากคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
นี้คือเหตุผลว่าทำไมคืนนี้เธอถึงรู้สึกประหม่า
ถ้าคนขับรถแท็กซี่จำเธอและข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีได้ แล้วถ้าหากครอบครัวของจอห์นก็จำเธอได้เหมือนกันล่ะ?
โคลอี้ก็คงจะไม่รู้จะอธิบายมันอย่างไร หรือจอห์นจะมองเธอเป็นคนอย่างไร
แองเจลีนมองโคลอี้ที่กำลังพยายามเปลี่ยนสีหน้าเลยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วย “โคลอี้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
โคลอี้ส่ายหัว “ฉันโอเคดี”
“งั้นดีแล้ว” แองเจลีนเปลี่ยนเรื่องคุย “อีกอย่างหนึ่ง วันนี้ฉันมากับโปรดิวเซอร์ เธอมากับใครหรอ?”
โคลกี้ลังเลสักพัก ภายใต้จิตสำนึกของเธอ เธอไม่อยากบอกชื่อของจอห์น
“กับเพื่อนน่ะ”
“กับเพื่อน?” แองเจลีนแสดงความไม่เชื่อออกมาอย่างชัดเจน คนอย่างจอห์นจะมาเป็นเพื่อนกับคนอย่างโคลอี้ได้อย่างกันไร? และฉากตอนที่สองคนกำลังกอดกันเมื่อกี้นี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ เธอสามารถบอกได้ว่าทั้งสองคนนี้มีความรักต่อกันอย่างมาก
เธอคิดเกี่ยวกับมันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้างั้น เพื่อนของเธอต้องเป็นคนที่มีฐานะดีแน่นอนเลย”
โคลอี้ยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ “คงจะอะไรประมาณนั้น!”
เธอไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ เธอเคยเห็นแองเจลีนมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็แค่ผิวเผิน อย่างไรก็ตาม วันนี้แองเจลีนดูพูดมากเป็นพิเศษ และยังทำให้เธอรู้สึกอับอายอีก
ทั้งสองคุยกันต่ออีกพักหนึ่งด้วยการสนทนาที่ส่วนใหญ่มาจากการแองเจลีน ส่วนโคลอี้ก็เพียงแค่เป็นผู้ฟัง และนาน ๆ ทีถึงจะตอบกลับด้วยคำว่า “อืม”, “อ๋อ” , “ใช่ค่ะ”
ทันใดนั้นเอง แองเจลีนก็เหลือบไปมองบริเวณใกล้ๆ และยิ้มออกมา “ไอริสและจิมมี่ก็มาด้วยนะ เธออยากจะไปทักทายพวกเขาหน่อยไหมล่ะ?”
อะไรนะ?
ไอริสและจิมมี่ก็มาด้วยงั้นเหรอ?
แต่ก่อนที่โคลอี้จะตอบอะไรกลับไปได้ แองเจลีนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมโบกมือทักทายให้กับกลุ่มคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป กลุ่มคนกำลังถือแก้วไวน์ และหัวเราะกับเรื่องอะไรสักอย่างด้วยท่าทางที่ดูมีความสุขมาก
แองเจลีนโบกมือของเธอและใครคนหนึ่งในนั้นก็สังเกตเห็นเธอทันที เมื่อเธอหันมา โคลอี้ไม่รู้สึกแปลกใจที่เห็นไอริสในชุดเดรสสีชมพู และจิมมี่ในชุดสูทสีดำ
ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันและดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์แสนหวาน จิมมี่กำลังควงแขนของไอริสอยู่ พวกเขาเหมือนกับคู่รักในนิทาน
เมื่อทั้งสองเห็นแองเจลีน จึงเดินเข้ามาหา
“ลูกพี่ลูกน้อง ขอบคุณที่พาจิมมี่มางานนี้นะคะ มันสนุกมาก และฉันก็เพิ่งเจอลูกชายของบริษัทฟอสเตอร์กับประธานของบริษัทวิลเลี่ยม”
ไอริสดูตื่นเต้นมาก และเธอก็คุยกับแองเจลีนทันทีที่พบกัน ในที่สุดไอริสก็เห็นแองเจลีนกระพริบตาใส่
ทันใดนั้น ไอรีสจึงสังเกตไปเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งภายใต้เงาของต้นไม้ใหญ่
“โคลอี้?” ตาของไอริสขยายขึ้นด้วยความไม่เชื่อ แต่ครู่เดียว สายตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นความสับสน “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี้ได้ล่ะ?”
โคลอี้ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และถามกลับไปว่า “แล้วทำไมฉันจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ?”
“ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงจะไปอยู่ตรงที่เธออยู่ไม่ได้ล่ะ?”
ไอริสพูดไม่ออกสักพัก เธอก็ไม่ได้คิดว่าโคลอี้จะตอบกลับมาแบบนี้ ในสถานการ์ณแบบนี้ โคลอี้คนเดิมคงจะรีบอธิบาย และจะรู้สึกอับอายพร้อมกับจากไปอย่างเชื่อฟังแล้ว
ทันใดนั้น ไอริสก็คิดได้ถึงใบสมรส หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้โคลอี้กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเธอ?
เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น ไอริสก็มองบนและคิดไอเดียหนึ่งขึ้นมา
เธอยิ้มเยาะ “เธอมาได้แน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะผู้หญิงของนายน้อยตระกูลฟอสเตอร์ ถ้าเธอมาไม่ได้ แล้วใครเล่าจะมาได้?”
นายน้อยตระกูลฟอสเตอร์?
ใครก็ตามที่ได้ยินชื่อนั้น ก็ช่วยไม่ได้นอกจากแสดงสีหน้าที่แปลกใจ ในขณะที่พวกเขาฟังน้ำเสียงของไอรีส พร้อมกับความจริงที่ว่าเธออยู่ตรงนั้น เธอไม่ได้พูดถึงนายน้อยตระกูลฟอสเตอร์ นายน้อยผู้เป็นตำนานแห่งตระกูลฟอสเตอร์?
ในขณะที่แขกบริเวณรอบ ๆ นั้นกำลังถูกดึงดูดด้วยชื่อของเขา โคลอี้ย่นคิ้วขึ้น และลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ