ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 101 ครู่เดียวตะลึงงันในความงาม
หนึ่งร้อยหนึ่ง
ครู่เดียวตะลึงงันในความงาม
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นแล้วออกมาจากห้องของตน เธอก็พบว่ามีอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงแล้ว
เป็นอาหารเช้าง่ายๆ อย่างโจ๊ก ผัดถั่วฝักยาว และหมั่นโถวข้าวโพดสามลูกที่ป้าลูกจ้างในร้านท่านหนึ่งมอบให้เมื่อวาน
เสวี่ยหยวนจิ้งเคยทำอาหารเช้ามาก่อน ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงไม่ประหลาดใจหลังจากเห็นอาหารเหล่านี้ เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ในห้องโถง เธอก็เข้าไปตามเขาในห้องทางทิศเหนือของเรือน
เธอพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ
ตอนที่พวกเขามาเช่าเรือนฝั่งตะวันออก นอกจากเตียงเก่าๆ ก็ยังไม่มีเครื่องเรือนชิ้นอื่น ต่อมาป้าหยางมอบของใช้ในเรือนของนางให้จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือ เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเข้าเรียนในสำนักศึกษา ในภายภาคหน้าก็เข้าร่วมการสอบขุนนาง การอ่านเขียนเป็นเรื่องสำคัญ จะขาดโต๊ะเขียนหนังสือได้อย่างไร ฉะนั้นเธอจึงพาเขาไปยังตลาดขายของเก่าทางฝั่งตะวันออกของเมืองผิงหยาง ตามหาอยู่หลายวันกว่าจะได้โต๊ะตัวนี้มา
โต๊ะทำมาจากไม้สุ่ยชวีหลิว[1] สีดำมีรอยด่างไม่น้อยแล้ว มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าถูกใช้งานมาหลายปี ปลายด้านข้างทั้งสองงอนขึ้น และสลักลวดลายเห็ดหลินจือมงคล เสวี่ยเจียเยว่ถูกใจโต๊ะตัวนี้ทันทีที่ได้เห็น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเรียบง่ายไม่วุ่นวาย เธอเอ่ยถามความคิดเห็นของเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้ว่าเขาชอบเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงตกลงซื้อโต๊ะตัวนี้ จากนั้นก็จ้างคนให้นำมาส่งที่เรือน แล้วนำกระดาษ พู่กัน และหินฝนหมึกของเสวี่ยหยวนจิ้งมาวางไว้บนโต๊ะ
อีกทั้งยังมีแท่นวางดอกไม้รูปทรงคล้ายดอกไห่ถังวางไว้ที่มุมผนัง ซึ่งพวกเขาซื้อมาจากตลาดขายของเก่า นอกจากนี้ยังมีโต๊ะวางของในห้องเสวี่ยเจียเยว่ด้วย
จากช่วงแรกที่เรือนหลังนี้ค่อนข้างว่างเปล่า สองปีต่อมาพวกเขาก็ตกแต่งทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งยามนี้เรือนหลังเล็กดูอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงเรื่องนี้ทีไร หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาทุกที
นี่คือ ‘บ้าน’ ของเธอ และคนที่นั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะก็คือคนในครอบครัวของเธอ
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปมองว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอ่านอะไรอยู่
ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา ขณะที่เขากำลังจะเงยหน้าพูดคุยกับอีกฝ่าย กลับนึกถึงความฝันเมื่อคืนนี้ และรู้สึกว่าใบหูทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด จึงทำเพียงก้มหน้าก้มตาทำท่าอ่านตำราเท่านั้น แต่มือกระชับตำราแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หางตาของเขาเห็นเสวี่ยเจียเยว่มองไปรอบๆ ห้องด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่ง แล้วเดินย่องมาหาเขาเบาๆ
ทันทีที่เสวี่ยเจียเยว่ก้าวเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมจางๆ ก็โชยเข้าจมูกของเสวี่ยหยวนจิ้ง กลิ่นเช่นนี้อยู่ในความฝันเมื่อคืนเช่นเดียวกัน และยังคงมีผลต่อหัวใจของเขาตลอดเวลา…
เสวี่ยหยวนจิ้งกระชับมือที่ถือตำราแน่นขึ้น หัวใจของเขาอ่อนระทวยเพราะกลิ่นหอมจางๆ บนตัวเด็กสาว
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เธอโน้มตัวเข้าไปและเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ท่านอ่านตำราใดอยู่หรือเจ้าคะ”
กลิ่นหอมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลมหายใจที่อบอุ่นและสดชื่นพัดผ่านใบหูกับแก้มของเขา ชั่วขณะนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นรัวเร็วจนน่าตกใจ อีกทั้งตำรายังแทบจะแหลกคามือ
โชคดีที่เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงรีบโยนตำราลงบนโต๊ะทันที เพื่อไม่ให้มันพบกับความโชคร้ายอย่างเช่นพู่กันที่เขาทำหักในสำนักศึกษา
เขายังไม่กล้ามองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ แต่จับจ้องไปยังที่ใส่พู่กันลายครามสีขาว และเอ่ยปากถามอีกฝ่าย
“เจ้าตื่นแล้วหรือ”
ทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เขาก็ประหลาดใจว่าเหตุใดเสียงของตนถึงได้แหบพร่าอู้อี้เช่นนี้
หัวใจของเขาสั่นสะท้าน และด้วยความกังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพบอาการผิดปกติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเขาบ้าง “ท่านพี่ เป็นอันใดไปเจ้าคะ เหตุใดเสียงท่านถึงได้แหบพร่าเยี่ยงนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดหาคำตอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “เมื่อคืนข้าลืมปิดหน้าต่างก่อนจะเข้านอน คงเป็นเพราะลมพัดเข้ามาทำให้ข้าไม่สบาย เสียงเลยแหบพร่าเช่นนี้”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่มือขวาที่ซ่อนไว้ด้านหลังสั่นเทาไม่หยุด
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สงสัยคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ความจริงแล้วเธอไม่ค่อยสงสัยในเรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งพูดเลย ยามนี้จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ให้ข้าเชิญหมอมาดูอาการท่านดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง” เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้าทันที “เดี๋ยวข้าก็หายดีเอง”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นสีหน้าของเขาเป็นปกติ ดูเหมือนไม่ได้อาการหนักนัก เธอก็เชื่อคำพูดของเขา ทว่ายังคงเอ่ยกำชับ
“หากท่านรู้สึกไม่สบาย ต้องเรียกหมอมาดูอาการทันทีนะเจ้าคะ”
ในใจเธอคิดว่า ‘เสียงแหบพร่าของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้ช่างมีเสน่ห์จริงๆ’
เพื่อนร่วมห้องของเธอเคยเอ่ยติดตลกว่า คนที่ได้ยินเสียงแหบพร่าของเขาจะต้องอ่อนระทวย
และตอนนี้ขาของเธอก็คล้ายจะเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว…
ครั้นเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่สงสัยในความผิดปกติของตน เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกโล่งใจและพยักหน้ารับทันที
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และชวนเสวี่ยเจียเยว่ออกไปกินข้าวที่ห้องโถง ซึ่งเด็กสาวก็พยักหน้ารับก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป
อาหารเช้าเริ่มเย็นชืดแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงนำออกไปอุ่นด้านนอก เมื่ออุ่นจนร้อนได้ที่แล้ว ทั้งสองคนก็นั่งลงตรงข้ามกันก่อนจะเริ่มกิน
สายตาของเสวี่ยเจียเยว่เหลือบเห็นกางเกงสีขาวแขวนอยู่บนเสาไม้ไผ่ข้างผนัง มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือกางเกงที่เขาสวมนอน
ปกติเมื่อซักผ้าเสร็จจะนำไปตากที่ลานด้านนอก แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเมฆมาก จึงต้องตากบนเสาไม้ไผ่ที่ตั้งไว้ในเรือน จากนั้นค่อยนำออกไปตากที่ลานเมื่อมีแดด แต่ถ้าฝนตกก็ต้องตากในเรือนจนกว่าจะแห้ง
เมื่อหลายวันก่อนเป็นวันที่มีแดดจัด เสื้อผ้าที่ควรซักก็น่าจะแห้งจนเก็บหมดแล้ว และเมื่อวานนี้ฝนตก เสื้อผ้าที่ซักก็มีเพียงชิ้นเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้นกางเกงที่แขวนอยู่บนเสาไม้ไผ่ตัวนี้จึงดูเด่นชัดกว่าตัวอื่นๆ
อีกอย่าง… การซักเสื้อผ้าทั้งหมดในเรือนล้วนเป็นหน้าที่เธอ บุรุษไม่ชำนาญด้านการซักผ้า
เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเขา “ท่านพี่ เมื่อวานท่านเปลี่ยนกางเกงหรือเจ้าคะ เหตุใดไม่รอข้าซักให้เล่า ทำไมท่านต้องซักเอง”
เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังคีบถั่วฝักยาวขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งถั่วและตะเกียบก็ร่วงลงบนจานทันที
ใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อผุดซึม ตาคู่นั้นก็ไม่กล้าจับจ้องไปที่เสวี่ยเจียเยว่ เขาทำได้เพียงมองอาหารบนโต๊ะและเอ่ยตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้ายุ่งกับงานในร้าน คงเหนื่อยล้าไม่น้อย ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก อีกอย่าง… วันนี้ข้าเองก็ตื่นเช้า จึงถือโอกาสนำกางเกงตัวนั้นไปซักเสียเลย”
เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเชื่อหรือไม่…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สงสัยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ต่อไปท่านต้องให้ข้าซักนะเจ้าคะ ต่อให้ข้าเหนื่อยหรือยุ่งเพียงใด เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงข้า”
แต่ในใจของเธอกลับกำลังไตร่ตรองว่าควรหาคนมาช่วยงานดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรกิจการในร้านก็ยุ่งเกินไป หากเธอต้องกลับมาทำงานในเรือนคงต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นบุรุษ เขาต้องยุ่งอยู่กับการเรียน ยังต้องให้เขามาทำเรื่องเหล่านี้อีกหรือ แต่คนอย่างเขาต้องไม่ชอบการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากใจจริงๆ
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องที่ป้าเฝิงบอกเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมาได้ นางอยากให้เสี่ยวฉานเข้าไปช่วยงานในร้าน เพื่อเรียนรู้งานฝีมือจากพวกนาง เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสี่ยวฉานอายุสิบขวบ แต่ดูโตกว่าตอนที่เธออายุสิบขวบก่อนจะข้ามภพมา เสี่ยวฉานทำงานได้หลายอย่าง เธอสามารถให้เด็กหญิงมาทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนได้ จากนั้นค่อยไปฝึกทำงานที่ร้าน
ทว่าเรื่องนี้ยังต้องปรึกษากับป้าเฝิงก่อน และต้องปรึกษากับเสวี่ยหยวนจิ้งด้วย แต่ป้าเฝิงคงเต็มใจตอบตกลงอย่างแน่นอน และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่มีข้อขัดข้องใดๆ เพราะประการแรก… เธอให้เงินเสี่ยวฉาน ครอบครัวของป้าเฝิงจะมีรายได้เพิ่มอีกทาง ประการที่สอง… แม้ว่าเสี่ยวฉานจะเข้ามาช่วยงานในเรือนของเธอ ก็ไม่ได้อยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
เธอพูดเรื่องนี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งทันที และเขาก็ตอบตกลง ทั้งยังบอกอีกว่างานมากมายในร้านนั้น เธอไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะกลัวว่าจะเหนื่อย
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มออกมา ทว่าไม่ได้เอ่ยคำใด
ตอนนี้ร้านของเธอเพิ่งเปิดได้ไม่นาน จะเหนื่อยบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เรื่องเพิ่มคนยังต้องรอดูว่าต่อไปร้านจะเติบโตขึ้นหรือไม่
เมื่อพวกเขากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่ร้านตามปกติ จากนั้นเขาจึงไปที่สำนักศึกษาไท่ชู
วันนี้ฝนไม่ตก แม้ว่าฟ้าจะมืดครึ้มในตอนเช้ามืด แต่พอสายพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆ แสงแดดสาดส่องลงมาเป็นประกายระยิบระยับดุจทองคำ
เสวี่ยเจียเยว่มีความสุขที่ได้เห็นแสงแดด หากแดดจัดเช่นนี้ตลอดสองสามวัน พื้นดินก็จะแห้ง ไม่เพียงจะได้จัดการแข่งขันจีจวีตามกำหนดเท่านั้น ยังจะมีงานชมดอกเบญจมาศในเทศกาลฉงหยางอีกด้วย
ช่วงพักกลางวันเธอพูดคุยกับป้าเฝิงว่าต้องการให้เสี่ยวฉานมาช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่าต้องเจรจาเรื่องให้ค่าแรงเสี่ยวฉาน เดิมทีป้าเฝิงปฏิเสธเงินค่าแรงเพราะเกรงใจ เพียงแค่ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนกราน สุดท้ายป้าเฝิงจึงยอมรับเงินค่าแรง จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าจะให้เสี่ยวฉานช่วยงานในเรือนของเสวี่ยเจียเยว่เท่าที่นางจะสามารถทำได้ เมื่อทำเสร็จแล้วค่อยให้มาฝึกทำงานที่ร้านตัดชุด
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าวิธีนี้ดีที่สุด เพราะเธอจะได้มีเวลาในการคิดแบบชุดใหม่ๆ มากขึ้น
สองวันต่อมาแดดยังคงแรงเช่นเคย พื้นที่เป็นโคลนตมค่อยๆ แห้งแล้ว บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่จะไปตลาดเพื่อดูผ้าและซื้อไหม จึงเห็นว่าคนของทางการกำลังจัดเตรียมงานชมดอกเบญจมาศกันอยู่
วันต่อมาเสวี่ยเจียเยว่ตื่นแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกปลอดโปร่ง พระอาทิตย์อันงดงามโผล่ขึ้นมาทางทิศตะวันออก ก็คิดว่าวันนี้คงมีแดดจ้าอีกวัน ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก จากนั้นก็ไปปลุกเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ววุ่นอยู่กับการทำอาหารเช้า
หลังจากพวกเขากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้เก็บถ้วยชามและตะเกียบบนโต๊ะ เพราะเสี่ยวฉานจะเข้ามาเก็บไปล้างเอง
เสวี่ยหยวนจิ้งกลับเข้าไปในห้องของตนเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดที่ใช้สวมสำหรับแข่งขันจีจวีของสำนักศึกษาไท่ชู และเป็นเพราะช่วงเช้าอากาศหนาว เขาจึงสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มอีกชั้น
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เปลี่ยนชุดเสร็จและออกมาจากห้อง ก็พบร่างสูงสง่ายืนอยู่กลางห้องโถง
เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองทันที ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึงงัน
[1] ไม้ขี้เถ้าแมนจูเรีย มีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน