ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 103 ถอยคนละก้าว
หนึ่งร้อยสาม
ถอยคนละก้าว
คำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นการหยอกล้ออย่างเห็นได้ชัด ทว่ายามนี้ผู้ใดจะมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นกับเขา
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา… โกรธก็โกรธ ร้อนใจก็ร้อนใจ เธอจึงด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านโง่เขลาไปแล้วหรือไร ข้ากัดท่านแล้วเหตุใดไม่หลบ ยังปล่อยให้ข้ากัดอีก”
เธอรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสามารถหลบได้ แต่เขากลับปล่อยให้เธอกัดง่ายๆ เช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งยกยิ้มบาง ที่จริงแล้วเขาตั้งใจปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่กัด เพราะรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ตอนนี้เด็กสาวกำลังรู้สึกผิดอยู่เป็นแน่ และต้องเชื่อฟังเขาอย่างแน่นอน เมื่อไตร่ตรองดูอีกทีเขาก็คิดได้ว่า เสวี่ยเจียเยว่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับชุดนี้ไปไม่ใช่น้อย และวันนี้ก็คาดหวังว่าจะได้สวมชุดนี้ออกไป เขาจึงไม่ควรบีบบังคับอีกฝ่ายมากเกินไป
ไหนเลยจะอยากเห็นเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีความสุข เอาเถิด ถอยคนละก้าวจะดีกว่า
เสวี่ยหยวนจิ้งคลี่ยิ้มบางพลางเอ่ยขึ้น “หากไม่ยอมให้เจ้ากัดสักครา เห็นทีว่าเจ้าคงเดินหนีออกจากเรือนเป็นแน่ แล้วข้าจะทำเช่นไรได้ ทำได้แค่อดทนปล่อยให้เจ้ากัดข้าเท่านั้น หากได้ทำเช่นนี้ความขุ่นเคืองของเจ้าคงเบาลงได้”
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พลันเธอก้มศีรษะลงต่ำ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรกัดท่าน”
อีกทั้งยังกัดแรงจนเลือดออกเช่นนี้…
ขณะที่เธอเอ่ยตำหนิตัวเองในใจนั้น มือหนาข้างหนึ่งก็แตะศีรษะเธอเบาๆ ก่อนที่เสียงหยอกเย้าของเสวี่ยหยวนจิ้งจะดังขึ้น
“ข้าไม่เป็นอันใด อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองมากนัก”
พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าอยากสวมชุดนี้ไปดูข้าแข่งจีจวีกับสำนักศึกษาถัวเยว่วันนี้จริงๆ หรือ”
ความหวังพลันจุดประกายขึ้นในใจของเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นเธอก็รีบเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง
เป็นเพราะความรู้สึกผิดเมื่อครู่นี้เธอจึงไม่อยากขัดคำสั่งของเขา และตัดสินใจจะกลับไปเปลี่ยนชุดในห้องของตน คิดเสียว่าเธอไม่เคยทำชุดนี้ขึ้นมา อีกอย่าง… วันนี้สตรีเหล่านั้นล้วนต้องสวมชุดของร้านซู่ยวี่เซวียนอยู่แล้ว พวกนางรู้จักสตรีคนอื่นๆ อีกมากมาย ย่อมได้ผลกว่าตัวเธอสวมเองมิใช่หรือ ขาดเธอไปแค่คนเดียวคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอันใด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเอ่ยถามเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าเขายอมตกลงแล้ว ดังนั้นเธอจึงทั้งดีใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านยอมให้ข้าสวมชุดนี้ไปดูท่านแข่งจีจวีหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกผิดเช่นที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ กระทั่งคิดจะยอมฟังคำสั่งห้ามของเขาอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ส่วนที่อ่อนโยนที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เขายื่นมือไปบีบแก้มเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ายืนกรานว่าจะสวมชุดนี้ไปดูข้าแข่งขันให้ได้ กระทั่งกัดแขนข้าเหมือนลูกสุนัข หากข้าไม่ยอม อีกหน่อยเจ้าจะทำสิ่งใดกับข้าอีก ไม่กัดข้าจนตายหรือ ช่างเถิด เจ้าสวมชุดนี้ออกไปพร้อมกับข้าก็แล้วกัน”
ความสุขพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ ขณะกำลังจะเอ่ยประโยคดีๆ ก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ข้ามีเงื่อนไข”
ขอเพียงได้สวมชุดนี้ออกไป ไม่ว่าเงื่อนไขอันใดเสวี่ยเจียเยว่ล้วนตกลง ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามขึ้น “เงื่อนไขอันใดหรือเจ้าคะ ท่านพี่พูดมาเถิด ข้าพร้อมจะยินดีทำตามเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงยกยิ้มบางทว่ามิได้ตอบอันใด ก่อนจะคว้ามือของเด็กสาวแล้วกล่าว “ตอนนี้สายมากแล้ว พวกเราควรออกจากเรือนได้แล้วละ หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ทันเข้าแข่งขัน”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงนึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่าเงื่อนไขที่ว่านั้นคืออันใด แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับหันมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเพียงสั้นๆ
“เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง”
เฮ้อ… ที่แท้ก็หลอกล่อให้เธอรับปากก่อนหรือนี่
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยอมให้เธอสวมชุดนี้ออกจากเรือนแล้ว ตราบใดที่เสวี่ยหยวนจิ้งยังใจดีกับเธอ เงื่อนไขนั้นคงไม่ยากเกินไปกระมัง เสวี่ยเจียเยว่ยังมั่นใจในเรื่องนี้มาก จึงปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งจูงมือเธอออกไปด้านนอก
ยามนี้ยังเช้าอยู่ แต่ก็มองเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว และบนท้องฟ้ามีเมฆไม่มากนัก มองปราดเดียวก็รู้ว่าวันนี้อากาศต้องดีมากแน่ๆ
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปได้สักพัก เห็นสองข้างทางมีเรือนกระจัดกระจายจึงเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ท่านน่าจะมาผิดทางแล้วเจ้าค่ะ ที่นี่ไม่ใช่ทางไปสนามแข่งขัน”
เสวี่ยหยวนจิ้งคลี่ยิ้มทว่าไม่ตอบอันใด เขาจับมือเสวี่ยเจียเยว่เดินไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ข้างถนน
เป็นร้านขายรองเท้ากับหมวกโดยเฉพาะ เจ้าของร้านเพิ่งเปิดประตูเมื่อครู่นี้เอง ขณะที่กำลังนั่งหาวหวอดๆ อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินและมองลูกจ้างกวาดพื้นอยู่นั้น เขาก็เหลือบเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นต้อนรับ ใบหน้าอวบอูมประดับด้วยรอยยิ้ม
“ท่านลูกค้าทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ”
จากนั้นเขาก็ร้องบอกลูกจ้างให้หยุดกวาดพื้น เพราะฝุ่นมันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เดี๋ยวจะเข้าตาลูกค้าทั้งสองเอาได้ และสั่งให้ลูกจ้างคนเดิมรีบเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้ก่อน
ลูกจ้างผู้นั้นขานรับทันที เขาวางไม้กวาดลงแล้วรีบไปหยิบผ้ามาเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้
เสวี่ยเจียเยว่ไหนเลยจะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งพามาที่นี่ด้วยเหตุใด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เอ่ยสักคำ เพียงหันไปมองเขาเท่านั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าให้เจ้าของร้าน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “รบกวนนำหมวกมาให้ข้าดูสักใบ”
เจ้าของร้านหยิบหมวกหนึ่งใบมาให้ตามคำสั่ง เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าหมวกใบนั้นเป็นหมวกทรงสูงปีกกว้าง มีผ้าโปร่งสีขาวเย็บรอบปีกหมวกห้อยลงมาจนถึงลำคอ
ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางซื้อให้ตัวเองอย่างแน่นอน และเมื่อนึกถึงเงื่อนไขที่เขาบอกมาเมื่อครู่นี้…
อารมณ์ของเธอในตอนนี้บอกได้เพียงคำเดียวว่า ‘ซับซ้อน’ ยิ่งนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พอใจกับหมวกใบนี้อย่างเห็นได้ชัด เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามเจ้าของร้าน
“ร้านของท่านมีหมวกพร้อมผ้าโปร่งสีดำยาวถึงหน้าอกหรือไม่”
เจ้าของร้านไปหาหมวกเช่นนั้นมาได้หนึ่งใบ
เสวี่ยเจียเยว่พูดอะไรไม่ออก…
จากนั้นเธอก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะหยิบเงินออกมาจ่ายให้เจ้าของร้าน เขารับหมวกใบนั้นและหันมาเผชิญหน้ากับเธอ พร้อมยื่นหมวกให้โดยทำสีหน้าเป็นเชิงบอกว่าให้เธอรับไว้
แม้จะเข้าใจทุกอย่างแล้ว ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังอยากจะลองดื้อดึงสักครั้ง จึงขมวดคิ้วเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง และเอ่ยถามด้วยสีหน้าขมขื่น
“ท่านพี่ ข้าไม่สวมมันจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้” จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นอีก “เมื่อครู่เจ้าเองก็บอกแล้ว ไม่ว่าเงื่อนไขใดเจ้ายินดีทำตาม”
เสวี่ยเจียเยว่นิ่งอึ้ง…
‘นี่คือทางที่ตนเลือกเอง ต่อให้ต้องคุกเข่าก็ต้องไปให้ถึง’ มีเพียงประโยคนี้ที่สามารถบอกถึงความรู้สึกในใจของเธอได้
เธอเปล่งเสียงออกมาเบาๆ และยื่นมือไปรับอย่างไม่เต็มใจนัก ทว่าขณะที่จะสวมหมวกนั้น กลับคิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะจับมือเธอเอาไว้ และเป็นฝ่ายสวมหมวกให้เธอเอง
เขาผูกเชือกใต้คางเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยขึ้น “วันนี้พระอาทิตย์จะดวงใหญ่มาก แต่สนามแข่งขันรอบนี้เป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา เจ้าสวมหมวกใบนี้จะสามารถบังแดดได้”
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเขาทันที “ท่านพี่ ตอนนี้คือฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะเจ้าคะ ต่อให้แสงแดดแรงแค่ไหนก็ไม่เห็นจะสำคัญอันใดไม่ใช่หรือเจ้าคะ ท่านเคยเห็นคนสวมหมวกกันแดดในฤดูใบไม้ร่วงสักกี่คนล่ะเจ้าคะ”
แน่นอนว่าคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งล้วนเป็นคำแก้ตัว ความจริงแล้วเขาไม่อยากให้ผู้ใดเห็นหน้าเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น เพราะแม่นางน้อยที่น่ารักเช่นนี้ต้องมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็น ดั่งคำที่บอกว่า คนบริสุทธิ์มีความผิดเพราะมีหยกติดตัว[1] เขากังวลว่าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเสวี่ยเจียเยว่แล้วตนจะไม่สามารถปกป้องได้ จึงอยากให้อีกฝ่ายระมัดระวังให้มาก
เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็ไม่โกรธ เพียงยกมือขึ้นหยิกแก้มนุ่มเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบใจให้อารมณ์ที่กำลังจะระเบิดของอีกฝ่ายสงบลง
“มันไม่เหมือนกัน ผิวของผู้อื่นไม่ขาวมาตั้งแต่เกิด ผิวดำเช่นไรก็ดำเช่นนั้น แต่ผิวของเจ้านั้นขาวเนียน จะดำเพราะแสงแดดไม่ได้ ต่อให้เป็นแสงในฤดูใบไม้ร่วงก็ตาม”
เขาปกปิดความคิดของตนได้อย่างแยบยล และเอ่ยชื่นชมได้อย่างสมเหตุสมผล
เสวี่ยหยวนจิ้งดึงผ้าคลุมสีดำลง ชั่วขณะนั้นใบหน้าอันงดงามของเสวี่ยเจียเยว่พลันถูกบดบังจนเห็นไม่ชัดเจน
เขามองสักพักก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นจึงจับมือเด็กสาวแล้วพาเดินออกไป
ลูกจ้างในร้านหยุดทำงานชั่วคราว ก่อนจะหันไปยิ้มให้เจ้าของร้านและเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่ขอรับ แม่นางน้อยผู้นั้นช่างงดงามจริงๆ พี่ชายนางบอกว่านางผิวขาว ต้องสวมหมวกที่มีผ้าคลุมผิวจะได้ไม่ดำ แต่ด้านนอกก็มีสตรีมากมายที่มีผิวขาว ข้ายังไม่เห็นใครสวมหมวกออกจากเรือนในช่วงนี้สักคน”
เจ้าของร้านกำลังชั่งเหรียญทองในมือ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองลูกจ้าง “เจ้าจะไปรู้อันใด สตรีผิวขาวมีถมเถ แต่เจ้าเคยเห็นสตรีนางใดที่มีใบหน้างดงามเท่าแม่นางน้อยเมื่อครู่บ้าง ไม่ต้องไปพูดถึงไหนไกล เอาแค่เมืองผิงหยางของพวกเรา ข้ากล้าลงพนันเลยว่าไม่มีสตรีนางใดที่งดงามเท่าแม่นางน้อยผู้นั้น หากข้ามีภรรยาเช่นนี้สักคน คงต้องให้นางสวมหมวกที่มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าของนางเมื่อออกจากเรือน ไม่อย่างนั้นหากดึงดูดชายอื่นจะทำเช่นไร”
ลูกจ้างผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “เถ้าแก่ ที่ท่านพูดมาข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน หากภรรยาท่านเอ่ยถามขึ้นมา ไม่แน่ข้าอาจจะเผลอพูดออกไป ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านไม่ต้องไปคุกเข่าบนกระดานซักผ้า[2] ตอนกลับเรือนไปหรือขอรับ”
เมื่อเจ้าของร้านได้ยินเช่นนั้น เขาก็หัวเราะก่อนจะด่าลูกจ้าง “คุกเข่ากับมารดาเจ้าน่ะสิ ยังไม่รีบเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้กวาดร้านอีก ค่าแรงเดือนนี้เจ้าไม่อยากได้แล้วใช่หรือไม่”
ลูกจ้างเพียงยิ้มทว่าไม่เอ่ยคำใด จากนั้นก็หันกลับไปหยิบไม้กวาดขึ้นมา
[1] สำนวนจีน เปรียบเปรยว่าต้องประสบกับเคราะห์ร้ายทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เพียงเพราะมีของดีติดตัว
[2] วิธีลงโทษของภรรยาที่กำลังโกรธสามี โดยการให้สามีคุกเข่าลงบนกระดานซักผ้ารอยหยักแหลม สื่ออีกความหมายหนึ่ง คือ สามีที่กลัวภรรยา