ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 108 เจรจาเรื่องการค้า
หนึ่งร้อยแปด
เจรจาเรื่องการค้า
เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะเมื่อได้ยินถ้อยคำที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวออกมา ขณะที่แสงสีทองอ่อนของพระอาทิตย์ยามสายัณห์อาบไล้ใบหน้าอันงดงามของเธอ
ต่อให้ถูกปฏิเสธอีกสักครั้งแล้วจะเป็นอะไรไป ถึงอย่างไรเธอก็มีเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เพียงเท่านี้ก็ดีกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมดแล้ว
เธอมีแรงฮึกเหิมขึ้นมาทันที จึงเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งและเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยกยิ้มกว้างพลางกล่าวกับเขา
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ พวกเราเข้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าแสงอาทิตย์อันงดงามบนเส้นขอบฟ้ายามนี้ ยังเทียบกับความงามของใบหน้าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ เขาพยักหน้ายิ้มบาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อือ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ไม่ว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากทำสิ่งใด เขาจะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายเสมอ
เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มหวานให้เขา พร้อมกับกอดแขนชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้าน
ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสลัวลงทุกขณะ คนข้างในน่าจะเตรียมปิดร้านกันแล้ว เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไป ก็เห็นลูกจ้างในร้านกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวของ มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจดูบัญชีและดีดลูกคิดคิดเงินไปด้วย คงกำลังสรุปบัญชีอยู่กระมัง
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ลูกจ้างในร้านก็เดินมาต้อนรับและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านลูกค้าทั้งสองต้องการสิ่งใดหรือขอรับ”
เสวี่ยเจียเยว่ปล่อยมือออกจากแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเอ่ยถามลูกจ้างผู้นั้นด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ของท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากจะเจรจาเรื่องการค้ากับเขาเสียหน่อย”
ลูกจ้างผู้นั้นมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความสงสัยอยู่หลายครั้ง พลางคิดในใจว่า ‘ดูจากหน้าตาแล้วแม่นางน้อยผู้นี้น่าจะอายุสิบกว่าปี เหตุใดถึงได้บอกว่าจะเจรจาเรื่องการค้ากับเถ้าแก่ตั้งแต่เอ่ยปากคราแรก ช่างพูดคำใหญ่คำโตจริงๆ’
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยตอบนั้น จู่ๆ ก็เห็นเถ้าแก่ซึ่งยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบ
“ข้าเองเจ้าของร้าน ไม่ทราบว่าแม่นางมีการค้าใดอยากเจรจากับข้าหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่มองตามเสียงไป ก็เห็นชายผู้นั้นกำลังเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงิน
เขาคือชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบปี รูปร่างไม่สูงเท่าไรนักและอวบเล็กน้อย ใบหน้ากลม มีคางสองชั้น ระหว่างคิ้วคล้ายมีรอยยิ้ม ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกอยากเข้าหา
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่โน้มตัวเคารพเขา ก่อนจะบอกชื่อของตน จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงถามขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าท่านชื่อแซ่ใดขอรับ”
ชายผู้นั้นบอกให้พวกเขานั่งลง และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าแซ่ลู่”
เขาเรียกลูกจ้างในร้านเข้ามารินน้ำชาให้ลูกค้า เมื่ออีกฝ่ายตอบรับแล้วเขาจึงหันกลับมามองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่อย่างเงียบๆ ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลา ดูสง่างามและสุขุม ท่าทางจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และชุดคลุมสีเขียวเข้มที่เขาสวมนั้น การเย็บปักตรงชายชุดมีความประณีตงดงาม การปักเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อมองไปที่แม่นางน้อย ก็เห็นว่ามีใบหน้างดงามต่างจากสตรีทั่วไป เมื่อฟังการพูดจาเมื่อครู่นี้ก็ดูเป็นคนใจกว้าง และชุดกระโปรงที่สวมนั้น…
เถ้าแก่ลู่อดสนใจพวกเขาไม่ได้ จึงเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ “เมื่อครู่นี้แม่นางเสวี่ยบอกว่ามีเรื่องจะเจรจากับข้าหรือ ไม่ทราบว่าเป็นกิจการอันใด”
เสวี่ยเจียเยว่บอกเถ้าแก่ลู่ไปว่าตนได้เปิดร้านตัดชุดกับพี่ชายชื่อร้านซู่ยวี่เซวียน ตอนนี้กิจการในร้านของเธอกำลังไปได้ดี และเธอเชื่อว่าต่อไปก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องการหาร้านขายผ้าไหมเป็นร้านประจำ แต่ราคาต้องถูกกว่าร้านอื่นสองส่วน
เมื่อลูกจ้างส่งถ้วยน้ำชาให้ เถ้าแก่ลู่ก็เอื้อมมือรับไป ก่อนจะจิบน้ำชาไปหนึ่งอึก จากนั้นเขาก็ปิดฝาถ้วยน้ำชาลง แล้วกล่าวช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางเสวี่ยกับพี่ชายยังดูอายุน้อย แต่กลับเปิดร้านตัดชุดแล้ว ข้านับถือพวกเจ้าจริงๆ แต่ข้าขอกล่าวตามตรง ชื่อร้านซู่ยวี่เซวียนนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“เถ้าแก่ลู่ก็ได้ยินตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มบาง “อีกอย่าง… ข้าเชื่อว่าต่อไปคนทั้งเมืองผิงหยางจะต้องรู้จักร้านซู่ยวี่เซวียนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ลู่หัวเราะเบาๆ “แม่นางเสวี่ยโอ้อวดไม่น้อยเชียว แต่หนุ่มสาวมีจิตใจแรงกล้าเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “หากต่อไปแม่นางเสวี่ยอยากรับผ้าจากทางร้านของข้าเป็นร้านประจำ ข้าเองย่อมดีใจและยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อเจ้าทำกิจการร้านตัดชุด ก็น่าจะรู้ดีใช่หรือไม่ว่าในเมืองผิงหยางไม่ใช่แหล่งผลิตผ้าไหม ผ้าไหมเหล่านี้ล้วนส่งมาจากเมืองเจียงซูและเมืองเจ้อเจียง ไม่ต้องพูดถึงราคาการซื้อขาย ลำพังเพียงค่าขนส่งก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ผ้าไหมหนึ่งพับขายออกไปเดิมทีก็ได้กำไรไม่เท่าไร แม่นางเสวี่ยยังอยากให้ข้าลดราคาให้อีกหรือ นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“แม้กำไรเพียงเล็กน้อยแต่ขายได้มากกว่า” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม “ประโยคนี้เถ้าแก่ลู่ก็น่าจะรู้จักเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เถ้าแก่ลู่ยกยิ้มบางทว่าไม่กล่าวอันใด และเปิดฝาถ้วยน้ำชาขึ้นจิบพร้อมกับหรี่ตาลง
เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ประการแรก… เธอทำใจไว้แล้วว่าครั้งนี้คงล้มเหลวอีกเช่นเคย ประการที่สอง… เธอมาที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องการค้า จึงไม่จำเป็นต้องลดคุณค่าของตัวเองมากเกินไป
หลังจากนั่งไปได้สักพัก เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกขึ้นและเอ่ยลา ซึ่งเถ้าแก่ลู่ก็บอกให้ลูกจ้างไปส่งพวกเขาที่ประตู
เมื่อเดินออกมาจากร้าน ทั้งสองพบว่าพระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง
เสวี่ยหยวนจิ้งกังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเสียใจ จึงกุมมือบอบบางเอาไว้และเอ่ยขึ้น “ข้าเก็บออมเงินได้มากพอสมควร พวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกกันดีหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของเขาดี เธอจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “นี่ท่านกลัวว่าข้าจะเสียใจเพราะถูกเถ้าแก่ลู่ปฏิเสธเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำกิจการก็ลำบากเช่นนี้ เจ้ายังอยากจะทำต่อไปหรือไม่”
แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการเปิดร้านตัดชุดตั้งแต่แรก เพราะต้องการให้เสวี่ยเจียเยว่มีความสุข ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ไม่เคยคิดจะขอให้กิจการของอีกฝ่ายดีขึ้นเรื่อยๆ หากเสวี่ยเจียเยว่ลำบาก ไม่อยากทำต่อ ก็สามารถหยุดทำได้ทุกเมื่อ
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตอบเขา “แม้จะลำบาก แต่ก็เป็นความลำบากที่มีความสุข ไม่อย่างนั้นจะให้ข้านั่งทำสิ่งใดอยู่ในเรือนทั้งวันเล่า น่าเบื่อจะตายนะเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้แต่ตอบว่า “อือ” ไปเท่านั้น
ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นมาอีก “เจ้าวางใจเถอะ คนเหล่านั้นจะเป็นฝ่ายเข้ามาขอทำการค้ากับเจ้าหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน”
แม้ว่าเขาจะเป็นคนพูดน้อย และดูไม่ค่อยสนใจกิจการของเสวี่ยเจียเยว่เท่าไรนัก แต่ก็เห็นว่าชุดที่อีกฝ่ายออกแบบมานั้นแตกต่างจากร้านทั่วไป อีกทั้งยังได้รับการต้อนรับดีไม่น้อย ไม่เช่นนั้นสตรีหลายคนคงไม่เดินเข้ามาถามว่าชุดนี้ตัดมาจากร้านใด การที่เสวี่ยเจียเยว่ขอให้ป้าหยางนำชุดกระโปรงไปส่งให้ฮูหยินกับคุณหนูเหล่านั้นก็เป็นวิธีที่ดี เพราะเทศกาลชมดอกเบญจมาศในวันนี้ เดิมทีมีคนมากอยู่แล้ว หากพวกนางสวมชุดกระโปรงเหล่านั้นออกไป จะมีใครบ้างที่ไม่เข้าไปเอ่ยถาม
คาดว่าหลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป คนในเมืองผิงหยางจะต้องรู้จักร้านซู่ยวี่เซวียนอย่างแน่นอน และจะมีคนตั้งใจเข้ามาที่ร้านเพื่อสั่งตัดชุดโดยเฉพาะ เมื่อถึงตอนนั้นร้านซู่ยวี่เซวียนก็จะต้องการผ้าเป็นจำนวนมาก ไยต้องกังวลว่าคนในร้านขายผ้าเหล่านั้นจะไม่มาขอทำการค้าด้วยถึงหน้าประตูร้านอีกเล่า
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาอยากจะปลอบใจเธอ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “เอาเถอะเจ้าค่ะ พวกเราอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนั้นชั่วคราว ถึงอย่างไรข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ เพียงสามารถสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ไว้ใช้สอยในชีวิตประจำวันก็พอแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่บอกเองไม่ใช่หรือว่าจะเลี้ยงดูข้า เช่นนั้นข้าก็จะรอให้ท่านพี่เลี้ยงดู”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็อดยกยิ้มบางไม่ได้ “ได้อยู่แล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็เอาตามนั้น”
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากบริเวณหน้าร้านรุ่ยซิงหลง ทันใดนั้นก็เห็นคนรีบเดินตรงมา เมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ เสวี่ยเจียเยว่จึงช้อนตามอง และจำได้ว่าเขาคือลู่ลี่เซวียน สหายของเสวี่ยหยวนจิ้งที่สำนักศึกษาไท่ชู
ลู่ลี่เซวียนคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้พบเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ที่นี่ เขาจึงทั้งตกใจและดีใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยทักทาย “หยวนจิ้ง แม่นางเสวี่ย”
ขณะที่เรียกเสวี่ยเจียเยว่นั้น ใบหน้าของเขาพลันแดงเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อจ้องมองใบหน้าอันงดงาม ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแดงเรื่อมากขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็เดินไปขวางตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่เอ่ยคำใด จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมเรียกสหาย “สหายลู่”
ลู่ลี่เซวียนก็เข้าร่วมการแข่งขันจีจวีในวันนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอันใด แต่โหนกแก้มของเขาก็ถูกลูกหนังที่ผู้เรียนคนหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่ตีกระแทก ตอนนี้ยังมีรอยฟกช้ำ และคงเป็นเพราะว่าเขาทายามาแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงได้กลิ่นฉุนของยาโชยมา
ลู่ลี่เซวียนไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่มากนัก เพราะถ้ามองแม่นางน้อย ใบหน้าของเขาก็จะร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขาจึงเอ่ยทักทายไปสองสามประโยคโดยไม่ยอมสบตา จากนั้นก็เห็นร้านรุ่ยซิงหลงที่ด้านหลังเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเอ่ยถาม
“เมื่อครู่พวกเจ้ามาซื้อผ้าที่ร้านของข้าหรือ”
แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะรู้ว่าครอบครัวของลู่ลี่เซวียนเปิดร้านขายผ้า แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าร้านรุ่ยซิงหลงเป็นร้านของลู่ลี่เซวียน จึงรู้สึกประหลาดใจ ทว่าเขาไม่ได้ถามอันใดให้มากความ
“ข้ากับเยว่เอ๋อร์เข้าไปดูเพียงเท่านั้น”
จากนั้นพวกเขาพูดคุยกันอีกสองสามประโยค แล้วต่างฝ่ายก็บอกลากัน ลู่ลี่เซวียนมองคนทั้งสองเดินออกไปได้ระยะหนึ่ง จึงหันกลับและเดินเข้าร้านรุ่ยซิงหลง
เถ้าแก่ลู่ปิดสมุดบัญชีและจัดเก็บลูกคิดให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาก็เอ่ยถาม “ฟ้ามืดขนาดนี้แล้ว มาที่นี่ได้อย่างไร แล้วหน้าเจ้าก็เจ็บอยู่ เหตุใดไม่อยู่ที่เรือน”
“ท่านแม่บอกว่าท่านยังไม่กลับเรือนเสียที จึงให้ข้ามาดูเสียหน่อย และให้เรียกท่านกลับไปกินข้าวด้วยขอรับ” ลู่ลี่เซวียนตอบ
เถ้าแก่ลู่ปัดฝุ่นบนชุดของตน จากนั้นก็ก้าวเท้าออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงิน “เมื่อครู่นี้มีลูกค้าสองคนเดินเข้ามาเจรจาเรื่องการค้า ข้าอยู่คุยกับพวกเขาพักหนึ่ง ดังนั้นจึงกลับช้าหน่อย ไปเถอะ พวกเรากลับไปกินข้าวกัน”
เขาสั่งลูกจ้างในร้านให้กลับเรือนไป และพรุ่งนี้ให้มาแต่เช้า ลูกจ้างตอบรับแล้วจึงวางงานทุกอย่างในมือลง ก่อนจะคารวะเถ้าแก่ลู่กับลู่ลี่เซวียน
ลู่ลี่เซวียนพยักหน้าให้ลูกจ้างเบาๆ จากนั้นก็อดถามบิดาไม่ได้ “ท่านพ่อ สองคนที่มาเจรจาการค้ากับท่านเมื่อครู่นี้ คนหนึ่งคือชายหนุ่ม ส่วนอีกคนคือแม่นางน้อย แล้วพวกเขาล้วนแซ่เสวี่ยใช่หรือไม่ขอรับ”
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร” เถ้าแก่ลู่หยิบกุญแจบนโต๊ะคิดเงินขึ้นมา ในขณะที่เขาเดินออกไปนอกร้านก็เอ่ยขึ้น “ความจริงแล้วชายหนุ่มกับแม่นางน้อยแซ่เสวี่ยนั้นก็ดูฉลาดเฉลียว เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”
ลู่ลี่เซวียนเดินตามบิดาออกไปนอกร้านพลางเอ่ยตอบ “เมื่อครู่ข้าพบพวกเขานอกร้านของเรา ท่านพ่อ ข้าเคยเล่าเรื่องสหายร่วมห้องเรียนคนหนึ่งให้ท่านฟังแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเมื่อสองปีก่อนเขาสอบได้อันดับหนึ่งทั้งสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ อีกทั้งสองปีมานี้เขาก็สอบได้อันดับหนึ่งทุกปีชายหนุ่มที่ท่านเพิ่งพบเมื่อครู่ก็คือสหายผู้นั้นของข้าเอง ส่วนแม่นางน้อยคือน้องสาวของเขาขอรับ”
มือของเถ้าแก่ลู่ที่กำลังคล้องโซ่ใส่กุญแจประตูร้านพลันชะงักทันที จากนั้นก็หันไปมองบุตรชาย
“ที่แท้คนผู้นั้นก็คือสหายของเจ้านี่เอง ข้าเห็นคราแรกก็รู้ว่าเขาเป็นคนสุขุมแตกต่างจากคนอื่น ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากจริงๆ”
ลู่ลี่เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนเอ่ยถามบิดา “พวกเขาสองคนมาเจรจาอันใดกับท่านหรือขอรับ”