ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 110 ผ้าทำตู้โต้ว
หนึ่งร้อยสิบ
ผ้าทำตู้โต้ว
เสวี่ยเจียเยว่มองท่าทีเขินอายจนพาลโกรธของเสวี่ยหยวนจิ้งก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ และเสียงหัวเราะของเธอยิ่งดังขึ้น จนกระทั่งน้ำตาเล็ดออกมาเลยทีเดียว
ทว่าใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งแดงระเรื่อขึ้นทุกขณะ กระทั่งอยากเอามือปิดปากอีกฝ่ายให้หยุดหัวเราะเสียให้ได้
ไม่นานเสียงหัวเราะของเสวี่ยเจียเยว่ก็ค่อยๆ เบาลง ในขณะที่เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้หัวเราะอันใดจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านอย่าคิดมากไปเลย”
เสวี่ยหยวนจิ้งขบฟันอย่างเงียบๆ เห็นอยู่ว่าเสวี่ยเจียเยว่หัวเราะ ยังจะบอกว่าไม่ได้หัวเราะอีกหรือ คิดว่าเขาตาบอดจนมองไม่เห็นหรืออย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่ลุกพรวดขึ้นมา พร้อมกับถือห่อขนมที่ซื้อมาจากร้านกุ้ยเซียงโหลวเมื่อวานนี้ ก่อนจะยิ้มให้เสวี่ยหยวนจิ้งและกล่าว
“ท่านพี่ ข้าจะไปเยี่ยมป้าหยางสักครู่ จากนั้นจะไปที่ร้านตัดชุด เมื่อวานท่านเพิ่งแข่งเสร็จ วันนี้ท่านเองก็พักผ่อนให้มากๆ นะเจ้าคะ”
เธอพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้และเดินออกไปจากประตูเรือน
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมองตามแผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่ที่ห่างออกไป ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ในหัวใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายค้นพบความลับเรื่องนั้นของเขาหรือยัง แต่เมื่อคิดดูอีกที… เสวี่ยเจียเยว่จะรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร คงเป็นเพราะเขาคิดมากไปเอง บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดถึงเรื่องอื่นที่มีความสุขจึงหัวเราะออกมาก็ได้
เขานั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้เช่นนั้น จนกระทั่งเสี่ยวฉานเข้ามานำถ้วยชามและตะเกียบออกไปล้าง เขาถึงได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เนื่องจากการแข่งขันเมื่อวานนี้สำนักศึกษาไท่ชูเป็นฝ่ายเอาชนะได้ ทำให้หัวหน้าสำนักศึกษารู้สึกดีใจยิ่งนัก จึงประกาศให้วันนี้เป็นวันหยุด เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ต้องเรียนและพักผ่อนอยู่ที่เรือน
หลังจากเดินกลับไปกลับมาในห้องของตนครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เคยเป็นสีแดงของเสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ จางลง อารมณ์ของเขาก็สงบลงเช่นเดียวกัน
ปกติแล้วเขาจะไม่พักผ่อนที่เรือน แต่จะไปที่ร้านตัดชุดกับเสวี่ยเจียเยว่ วันนี้ก็ตั้งใจจะออกไปเช่นกัน ทว่าก่อนอื่นเขาต้องทำเรื่องหนึ่งเสียก่อน
เขาหยิบเงินที่เก็บสะสมมาตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา ทว่าขณะจะเดินออกจากเรือนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปหยิบถุงผ้าสีแดงใต้ตู้ใส่เสื้อผ้าออกมา
เมื่อเปิดถุงผ้าสีแดงออกดูก็พบกำไลเงินวงหนึ่งซึ่งดูไม่งดงามเท่าไรนัก เป็นเพียงกำไลที่ดูเรียบง่ายเท่านั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งหยิบกำไลออกจากเรือนไปด้วย พอเดินออกมาถึงถนนสายใหญ่ สิ่งที่เขามองหาเป็นอันดับแรกก็คือร้านขายเครื่องเงินที่รับขัดกำไลเงินให้สว่างขึ้น ขณะที่ลูกจ้างในร้านกำลังขัดกำไลของเขาอยู่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยถามว่าร้านขายผ้าที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางคือร้านใด ลูกจ้างในร้านตอบว่าคือร้าน ‘อี้ชิ่งเหอ’ และบอกทางไปยังร้านดังกล่าว หลังจากรับกำไลเงินที่ขัดเสร็จแล้ว เขาจึงมุ่งหน้าไปที่ร้านนั้นทันที
ร้านอี้ชิ่งเหอเป็นกิจการของตระกูลตัน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่รู้ หรือแม้จะรู้เขาก็ยังคงไปอยู่ดี เพราะเขาต้องการซื้อผ้าที่ดีที่สุดให้เสวี่ยเจียเยว่ อีกอย่าง… นี่เป็นเรื่องของการซื้อขาย ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างเขากับตันหงอี้
เมื่อเขาเดินเข้าไปในร้านก็เห็นเด็กสาวสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีสาวใช้ยืนอยู่ข้างๆ พวกนาง และมีลูกจ้างกำลังชี้ผ้าในตู้พร้อมเอ่ยถาม
“คุณหนูรอง คุณหนูสาม ท่านว่าเนื้อผ้าสองสามพับนี้เป็นอย่างไรบ้าง นี่คือผ้าที่เพิ่งส่งมาจากเมืองเจ้อเจียง”
จากนั้นสตรีที่สวมชุดสีชมพูก็เอ่ยขึ้น “ผ้าสีแดงดอกเถาฮวาผืนนั้นก็ไม่เลว นำมาทำเป็นชุดกระโปรงได้”
แต่ไม่นานนางก็ขมวดคิ้ว และหันไปพูดคุยกับสตรีที่สวมชุดสีเขียว “มีเพียงผ้าเนื้อดีจะไปมีประโยชน์อันใด ข้าไม่ได้จะตำหนิว่าแบบชุดของร้านพวกเราธรรมดาเกินไปจนไม่อยากจะสวมนัก แต่เมื่อวานข้าเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวในงานชมดอกเบญจมาศ แบบชุดของนางนั้นข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มีหลายคนเข้าไปห้อมล้อมนางแล้วเอ่ยถาม ข้าได้ยินมาว่ามีร้านตัดชุดชื่อซู่ยวี่เซวียน พี่รอง พวกเราลองไปดูที่นั่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
สตรีสวมชุดสีเขียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา “ช่างมันก่อนเถอะ ตระกูลของพวกเรามีร้านตัดชุด หากท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าพวกเราไปตัดที่ร้านอื่น จะต้องตำหนิพวกเราแน่ๆ อีกอย่าง… ข้าก็ไม่เชื่อว่าชุดกระโปรงของร้านซู่ยวี่เซวียนจะมากมายขนาดนั้น จะมากไปกว่า…”
นางพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ที่หน้าประตูก็มีเงาสายหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนจะมีคนเดินเข้ามา ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็ตกใจคล้ายจะเป็นลม ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอ่ยด้วยความเขินอาย “คุณชายเสวี่ย”
เสวี่ยหยวนจิ้งจำได้ว่านางทั้งสองคือตันอวี้เหอและตันอวี้ฉา เขาเพียงเรียกว่า “แม่นางตัน” อย่างเย็นชาเท่านั้น จากนั้นจึงก้าวเท้าไปที่โต๊ะคิดเงิน
ลูกจ้างในร้านเห็นว่าคุณหนูทั้งสองรู้จักเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาก็ไม่กล้าชักช้า รีบเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที “ท่านคือคุณชายเสวี่ยเองหรือ”
เมื่อเห็นว่าสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งมองไปที่ผ้าในร้าน เขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสวี่ยต้องการจะซื้อผ้าเหล่านี้หรือขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อไปตัดชุดให้ตัวเองหรือซื้อให้คนอื่นขอรับ ท่านกล่าวออกมาได้เลย ข้าน้อยจะแนะนำท่านเป็นอย่างดี”
เสวี่ยหยวนจิ้งชี้ไปที่กองผ้าไหมสีแดงแล้วเอ่ยกับเขา “นำผ้าพับนั้นมาให้ข้าดูที”
ลูกจ้างในร้านหยิบผ้าสีแดงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะคิดเงินตามคำสั่ง เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสเบาๆ รู้สึกได้ว่าผ้าใต้ฝ่ามือของตนนุ่มและลื่นมาก หากได้อยู่บนตัวเสวี่ยเจียเยว่คงจะดีไม่น้อย
เมื่อนึกถึงเสวี่ยเจียเยว่ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
จากนั้นเขาขอให้ลูกจ้างในร้านตัดผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่ให้จำนวนหนึ่ง อีกฝ่ายรับคำแล้วนำกรรไกรขึ้นมาตัดโดยไม่รอช้า สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งมองไปที่ผ้าพับอื่นๆ บนโต๊ะคิดเงิน ก่อนสะดุดตากับผ้าไหมสีม่วงอ่อนในกองผ้าเหล่านั้น จึงสั่งเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อนึกถึงชุดกระโปรงสีแดงดอกไห่ถังที่เสวี่ยเจียเยว่สวมเมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้แม่นางน้อยดูงดงามมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าสิบเท่า เขาก็ขอให้ลูกจ้างในร้านนำผ้าไหมสีแดงดอกไห่ถังออกมาแล้วสั่งอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากตัดผ้าเสร็จแล้วชายผู้นั้นก็ห่อผ้าสามพับก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ชายหนุ่มจ่ายเงินก่อนจะยื่นมือไปรับ และหันหลังกลับเตรียมจะออกจากร้าน
ตันอวี้เหอกับตันอวี้ฉามองเขาเลือกผ้าอยู่ข้างๆ เดิมทีอยากจะพูดคุยกับเขา กระทั่งตันอวี้ฉาตั้งใจเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าเขาเลือกผ้าแบบใด ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่มีทีท่าว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับนางแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกไปจากร้าน นางอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ในที่สุดนางก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน
“คุณชายเสวี่ย ท่านจะซื้อผ้าสามพับนี้ไปตัดชุดคลุมยาวหรือเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านจะทำชุดคลุมแบบใด ร้านข้างๆ นี้เป็นร้านตัดชุดของพวกเรา มิสู้ให้ข้าเรียกช่างตัดชุดฝีมือดีที่สุดมาวัดขนาดตัวให้ท่านเล่า”
นางย่อมอยากรั้งตัวเสวี่ยหยวนจิ้งให้อยู่นานกว่านี้ เพื่อที่จะได้พูดคุยกันหลายประโยค แต่ถึงอย่างไรสตรีก็ยังคงหน้าบางอยู่วันยังค่ำ จะเอ่ยขอให้บุรุษอยู่ต่อโดยตรงได้เยี่ยงไร ต้องหาคำพูดที่ดูมีชั้นเชิงเช่นนี้
เมื่อตันอวี้เหอได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ น้องสาวของนางผู้นี้ช่างมีตาหามีแววไม่ ดูเสวี่ยหยวนจิ้งซื้อผ้าไปสามพับใหญ่ ทั้งสีแดงเข้ม สีแดงดอกไห่ถัง สีม่วงอ่อน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาซื้อไปให้สตรี จะซื้อไปตัดชุดตัวเองได้อย่างไร เขาจะต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
และเป็นจริงดังคาด เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่จำเป็น”
สีหน้าของตันอวี้ฉาฉายความผิดหวังออกมาทันที นางอยากจะกล่าวอะไรอีก ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกไปจากร้านเสียแล้ว
ตันอวี้ฉายืนอึ้งงันมองแผ่นหลังอันสง่างามของเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันกลับมาพูดคุยกับตันอวี้เหอ “พี่รอง เหตุใดคุณชายเสวี่ยถึงได้เย็นชากับคนอื่นขนาดนี้เล่าเจ้าคะ”
บุตรีของครอบครัวเศรษฐีในเมืองผิงหยางย่อมมีคนอยากเข้ามาสู่ขอ และพวกนางสองพี่น้องก็มีใบหน้างดงาม มีบุรุษหล่อเหลาคนใดบ้างที่พวกนางไม่อาจได้ครอบครองหัวใจ คนเหล่านั้นแทบไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนาง เหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงไม่เคยเหลียวมองพวกนางทั้งสองแม้แต่ครั้งเดียว
ตันอวี้เหอขบริมฝีปากไม่กล่าวอันใด นางอยากรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งซื้อผ้าสามพับนั้นให้สตรีนางใด และคิดจะทำชุดแบบใด หากจะบอกว่าเป็นชุดคลุมยาวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะจะต้องใช้ผ้าพับใหญ่กว่านั้นอีกหน่อย ผ้าที่เขาซื้อไปไม่เพียงพอให้ทำเสื้อหรือกระโปรงได้ หากจะทำของชิ้นเล็กๆ เช่นผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้า ผ้าเหล่านั้นก็ดูจะมากเกินความจำเป็น
นางคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่ดูจะเย็นชาประดุจน้ำแข็งเช่นนั้น จะต้องซื้อผ้าไปให้สตรีอย่างแน่นอน
แต่ว่าสตรีผู้นั้นคือใคร เสวี่ยหยวนจิ้งมีสตรีใดอยู่ในใจแล้วหรือ… นางผู้นั้นคือใครกัน
ตันอวี้เหอยิ่งขบริมฝีปากแน่นขึ้นกว่าเดิม ขณะมองตามแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งได้พบกับตันหงอี้ทันทีที่เดินออกมาจากร้าน
เดิมทีตันหงอี้ได้รับคำสั่งจากบิดาให้มารับน้องสาวทั้งสองคนกลับเรือน แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจไม่น้อย
เมื่อเห็นผ้าในมือของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเพิ่งเดินออกมาจากร้านอี้ชิ่งเหอ เขาก็รีบเอ่ยถามขึ้นทันที “เจ้ามาซื้อผ้าที่ร้านของข้าเช่นนั้นหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกับตันหงอี้ แต่บุรุษผู้นี้ก็มายั่วโทสะเขาอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังดูเหมือนจะพอใจในตัวเสวี่ยเจียเยว่ไม่น้อย เขาจึงไม่คิดจะสนใจอีกฝ่าย แม้ว่าตันหงอี้จะเป็นฝ่ายถามก่อน เขาก็ไม่เอ่ยตอบอะไรทั้งนั้น เพียงเดินมุ่งหน้าต่อโดยไม่ชะลอฝีเท้า
ตันหงอี้เห็นเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านด้วยความเดือดดาล เมื่อเห็นลูกจ้างก็เอ่ยถาม “เมื่อครู่ชายผู้นั้นมาซื้อผ้าอะไร”
ลูกจ้างในร้านยังไม่ทันได้ตอบ ตันอวี้ฉาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน “ท่านพี่หมายถึงคุณชายเสวี่ยหรือเจ้าคะ ท่านพบกับเขาเมื่อครู่หรือ เขาซื้อผ้าไปสามพับ มีสีแดงเข้ม สีแดงดอกไห่ถัง แล้วก็ยังมีสีม่วงอ่อน ข้าเอ่ยถามเขาว่าอยากทำชุดคลุมยาวหรือไม่ ทั้งยังบอกว่าจะเรียกช่างตัดชุดฝีมือดีที่สุดของร้านเรามาวัดตัวให้ แต่เขาก็ตอบว่าไม่จำเป็นด้วยน้ำเสียงเย็นชาใส่ข้า แล้วเดินออกจากร้านไป ข้าไม่เคยเห็นคนเย็นชาขนาดนี้มาก่อน”
สีแดงเข้ม สีแดงดอกไห่ถัง สีม่วงอ่อน…
ตันหงอี้ฟังจบก็อดที่จะบ่นตันอวี้ฉาไม่ได้ “เจ้าโง่ขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเห็นคนอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนั้น เขาดูเป็นคนสวมสีแดงเข้ม สีแดงดอกไห่ถัง สีม่วงอ่อนหรือ เขาจะต้องซื้อให้คนอื่นอย่างแน่นอน เจ้ายังบอกว่าจะวัดขนาดตัวตัดชุดคลุมยาวให้เขาได้เยี่ยงไร”
ขณะเดียวกันเขาก็คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะเย็นชาต่อผู้อื่นเสมอ นับประสาอะไรกับสตรี ผ้าเหล่านั้นเขาจะซื้อไปให้ใครได้ ถ้าไม่ใช่เสวี่ยเจียเยว่
ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เขาตั้งใจมาซื้อผ้าไหมให้น้องสาวของตัวเองโดยเฉพาะ อีกอย่าง… ได้ยินมาว่าเขากับเสวี่ยเจียเยว่เปิดร้านตัดชุดอยู่ไม่ใช่หรือ หากเสวี่ยเจียเยว่อยากจะทำชุดกระโปรง อยากได้ผ้าแบบไหนที่ร้านของตนจะไม่มีเชียวหรือ เสวี่ยหยวนจิ้งตั้งใจมาที่ร้านอี้ชิ่งเหอเพื่อซื้อผ้าเหล่านั้นหรือไม่