ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 111 ส่งของขวัญ
หนึ่งร้อยสิบเอ็ด
ส่งของขวัญ
ยิ่งคิดตันหงอี้ยิ่งรู้สึกแปลกใจ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าช่วงล่างที่งดงามจนชวนตะลึงภายใต้ผ้าคลุมที่ปลิวไสวของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อวานนี้ พลันรู้สึกราวกับมีกวางน้อยวิ่งชนหัวใจของเขา
ความจริงแล้วเขาคิดถึงเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน อยากเห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าหาเหตุผลไปพบแม่นางน้อยไม่ได้ และในยามนี้…
เขาเหลือบมองตันอวี้เหอกับตันอวี้ฉา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่พวกเจ้ากลับมาเมื่อวานนี้ ได้ยินว่าร้านซู่ยวี่เซวียนตัดชุดได้งดงามไม่ใช่หรือ ข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้ ร้านซู่ยวี่เซวียนเป็นร้านตัดชุดของเสวี่ยหยวนจิ้งและน้องสาวของเขา ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ไม่มีธุระ ไปดูร้านร้านนั้นกับพวกเจ้าสักหน่อยจะดีกว่า”
ดวงตาของตันอวี้ฉาเป็นประกายทันที และรีบเอ่ยถามพี่ชาย “จริงหรือเจ้าคะ”
ตันหงอี้พยักหน้า “ข้าจะล้อเจ้าเล่นด้วยเหตุอันใด ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อวาน”
ตันอวี้ฉาดีใจยิ่งนัก ตอนที่นางเห็นแม่นางจ้าวสวมชุดกระโปรงชุดนั้นเมื่อวาน ก็นึกอยากได้ครอบครองชุดเช่นนั้น เมื่อได้ยินว่าร้านซู่ยวี่เซวียนเป็นของเสวี่ยหยวนจิ้ง นางจะไม่ไปได้อย่างไร หากไปแล้วไม่แน่อาจได้พบกับเขาและได้พูดคุยสักสองสามประโยค
แม้ว่านางเพิ่งบ่นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนเย็นชา แต่ในใจก็ยอมรับว่าใบหน้าของเขาหล่อเหลาเอาการยิ่งนัก ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็น่าหลงใหลมิใช่น้อย หวังจะให้เขาได้มองนางและพูดคุยกับนางมากขึ้น จึงรีบตอบรับทันที
“ท่านพี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
ตันอวี้เหอลังเลอยู่เล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนักกระมัง ถึงอย่างไรตระกูลของพวกเราก็เปิดร้านตัดชุดเช่นกัน จะไปร้านของคนอื่นได้อย่างไร หากท่านพ่อรู้ต้องตำหนิพวกเราอย่างแน่นอน”
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ตันหงอี้เอ่ยปาก เพราะตันอวี้ฉาเอ่ยออกมาตรงๆ “ถ้าแค่ตัดชุดมันจะเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร มีสิ่งใดให้ท่านพ่อตำหนิเล่า”
“หากท่านพ่อตำหนิ ข้าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ตันหงอี้เอ่ย ก่อนจะเร่งเร้าตันอวี้เหอ “น้องรอง เจ้าจะไปหรือไม่”
เดิมทีตันอวี้เหอยังคงลังเล แต่เมื่อนึกถึงท่าทางอันสง่างามของเสวี่ยหยวนจิ้งในสนามแข่งจีจวีเมื่อวานนี้ ก็คล้ายกับมีปีศาจเข้าสิงนาง ทำให้ต้องพยักหน้าอย่างห้ามมิได้
“เจ้าค่ะ ข้าไปด้วย”
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่นำขนมไปมอบให้ป้าหยาง นางเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ และกำลังมองสาวใช้เก็บชามกับตะเกียบไปทำความสะอาด
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา ป้าหยางจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “เจียเยว่ กินข้าวเช้าแล้วหรือ”
“ข้ากินเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม และทักทายลูกชายลูกสะใภ้ของนาง จากนั้นจึงนำห่อขนมไปวางไว้บนโต๊ะพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านแม่แล้วว่าจะซื้อขนมจากร้านกุ้ยเซียงโหลวมาให้ท่านกิน นี่เจ้าค่ะ ข้าแวะไปที่ร้านกุ้ยเซียงโหลวระหว่างเดินทางกลับมากับท่านพี่ ข้าซื้อขนมที่ท่านชอบกินที่สุดมาหลายห่อเลยนะเจ้าคะ วันนี้จึงนำมามอบให้ท่านแต่เช้า”
เมื่อป้าหยางได้ยินเช่นนั้น ก็ยกยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู ทว่านางยังเอ่ยอย่างสุภาพ
“ดูเจ้าสิ ทำอย่างกับเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ข้าช่วยเจ้านั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว อีกอย่าง… หลังจากเสร็จงานเจ้าก็มอบเงินให้ข้า เหตุใดถึงยังต้องซื้อขนมมาให้ข้าอีกเล่า”
นางบอกให้เสวี่ยเจียเยว่นั่งลง และสั่งสาวใช้ยกน้ำชามาให้
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนั้นข้าบอกท่านแล้วว่าหลังจากเสร็จงาน ข้าจะซื้อขนมจากร้านกุ้ยเซียงโหลวมาขอบคุณท่านแม่ พูดแล้วจะไม่ทำได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
จากนั้นเธอเอ่ยถามป้าหยางว่าวันนี้มีเวลาว่างพอไปช่วยต้อนรับลูกค้าที่ร้านหรือไม่
ครั้งก่อนเธอขอให้ป้าหยางไปช่วยต้อนรับลูกค้าที่ร้าน แม้ว่านางอยากได้เงิน แต่ก็ไม่อาจละทิ้งกิจการที่เพิ่งเริ่มทำได้ จึงบอกว่าหากตนมีเวลาว่างจะเข้าไป แต่ถ้าไม่ว่างจะไม่เข้าไป เสวี่ยเจียเยว่คิดว่ากิจการของนางคือการไปพบปะสตรีตระกูลใหญ่บ่อยๆ จึงคิดจะใช้โอกาสนี้ในการเผยแพร่ชื่อเสียงของร้านซู่ยวี่เซวียน ทำเช่นนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เธออยากจะขอให้ป้าหยางไปที่ร้านเพื่อช่วยเรียกลูกค้า เพราะนางรู้จักสตรีในเมืองผิงหยางไม่น้อย
ยามนี้เมื่อป้าหยางได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเช่นนั้น ก็บอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของภรรยาหลานชายในเมือง พวกเขามาบอกแต่เช้าว่านางต้องไปให้ได้ หากนางไม่ไปคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ดังนั้นนางจะยังไม่เข้าร้านในช่วงเช้า แต่ถ้าช่วงบ่ายนางมาทันก็จะเข้าไป ถ้ากลับดึกคงไปพรุ่งนี้ นางยังบอกอีกว่าจะสวมชุดที่เสวี่ยเจียเยว่ตัดให้เมื่อหลายวันก่อนไปงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของภรรยาหลานชาย หากมีคนถามนางจะตอบไปว่าตัดชุดที่ร้านซู่ยวี่เซวียน จากนั้นก็จะบอกพวกเขาให้มาตัดชุดที่ร้านเช่นกัน
นอกจากชุดกระโปรงที่ตัดให้เหล่าฮูหยินกับคุณหนูเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ยังตั้งใจออกแบบชุดกระโปรงให้ป้าหยางอีกหนึ่งชุด มอบให้นางโดยไม่คิดเงินสักอีแปะ ป้าหยางเข้าใจจุดประสงค์ของเธอดี ทุกครั้งที่นางไปที่เรือนของตระกูลร่ำรวยจึงสวมชุดนั้นไปด้วย
เสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลงด้วยรอยยิ้มในทันที หลังจากป้าหยางชวนคุยเรื่องชีวิตประจำวันอยู่นาน เธอก็ลุกขึ้นและขอตัวลา บอกว่าจะไปดูที่ร้านเสียหน่อย ป้าหยางจึงไม่ได้รั้งเธอเอาไว้ ก่อนจะบอกให้ลูกสะใภ้ของตนไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่หน้าประตู
หลังออกมาจากเรือนป้าหยาง เสวี่ยเจียเยว่ก็เดินไปตามทางที่จะไปยังร้านซู่ยวี่เซวียน
นอกจากเสวี่ยเจียเยว่จะมีกุญแจแล้ว ป้าเฝิงยังมีอีกหนึ่งดอก เธอตั้งใจมอบให้นางเก็บไว้ เผื่อวันใดที่เธอมาช้าหรือไม่อาจมาที่ร้านได้ชั่วคราว ด้วยวิธีนี้ลูกจ้างก็จะเข้าไปในร้านได้ เมื่อเธอมาถึงร้านซู่ยวี่เซวียน ก็พบว่าประตูร้านเปิดแล้วและทุกคนมากันพร้อมหน้า กำลังยุ่งอยู่กับการทำชุดที่ลูกค้าสั่งตัดไว้เมื่อหลายวันก่อน
พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปในร้านทุกคนก็เอ่ยทักทายเธอทันที จากนั้นจึงทำงานของตัวเองต่อ เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปช่วยพวกนางทำงานเช่นกัน
ไม่นานนักเสียงของป้าเฝิงก็ดังมาจากด้านนอก “เถ้าแก่เนี้ย คุณชายใหญ่มาแล้ว”
บริเวณนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหน้ามีโต๊ะคิดเงินและพับผ้าต่างๆ ตรงกลางกั้นด้วยฉากบังลม ซึ่งทุกคนจะตัดชุดและเย็บปักด้านหลังฉากบังลมนี้
เสวี่ยเจียเยว่ตอบรับทันที ก่อนวางกรรไกรในมือลงและก้าวเท้าไปด้านหน้า
เมื่อครู่นี้ป้าเฝิงมาหาผ้าในห้องเล็ก เมื่อนางหาเจอแล้วจึงเดินออกมา และพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเดินเข้ามาในร้าน นางจึงเรียกเสวี่ยเจียเยว่ พอแม่นางน้อยเดินออกมา ป้าเฝิงก็ถามว่าควรปักลายอะไรลงบนคอเสื้อ แขนเสื้อ และชายกระโปรงของชุดที่แม่นางโจวสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเสวี่ยเจียเยว่อธิบายเสร็จ นางจึงถือผ้าเดินไปที่ด้านหลังฉากบังลม เพื่อจะทำชุดกระโปรงให้แม่นางผู้นั้น
เสวี่ยเจียเยว่มองนางเดินเข้าไป จากนั้นจึงหันกลับมา และพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังพลิกดูสมุดบัญชีบนโต๊ะคิดเงิน ข้างมือเขามีห่อผ้าวางเอาไว้ด้วย
เธอเดินไปเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย “ท่านพี่ ในนี้คืออันใดหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เอาแต่จับจ้องสมุดบัญชีและเอ่ยตอบ “ข้าให้เจ้า”
น้ำเสียงนั้นฟังดูนิ่งสงบและเย็นชาเหมือนอย่างเคย แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองประหม่าเพียงใด แม้ว่าสายตาจะมองสมุดบัญชี แต่ตัวเลขเหล่านั้นกลับไม่เข้าหัวเขาแม้แต่น้อย บางครั้งหางตาก็มองเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา
เสวี่ยหยวนจิ้งเคยซื้อของให้เสวี่ยเจียเยว่ไม่น้อย ยามนี้เมื่อเธอได้ยินว่าเขาซื้อให้ จึงเอื้อมมือไปแกะห่อผ้าออกอย่างไม่เกรงใจ และพบว่าในนี้เป็นผ้าไหมสามพับ
ช่วงที่ผ่านมานี้เสวี่ยเจียเยว่มักไปเลือกซื้อผ้าไหมที่ร้านขายผ้าอยู่บ่อยๆ เธอรู้ว่าผ้าไหมนั้นมีราคาแพงเพียงใด จึงไม่เคยสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมมาก่อน เมื่อเห็นผ้าไหมสามพับนี้ครั้งแรก เธอก็รู้ดีว่ามันมีราคาแพงเพียงใดเช่นกัน
เธอเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อนัก “ท่านซื้อให้ข้าจริงๆ หรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงแสร้งทำท่าจดจ่อกับสมุดบัญชีตรงหน้าเท่านั้น และพยักหน้าเบาๆ “อือ”
เสวี่ยเจียเยว่หยิบผ้าไหมสีแดงเข้มที่วางอยู่ด้านบนสุดขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ สัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่นเรียบเนียน ดูก็รู้ว่าเป็นผ้าไหมเนื้อดี เมื่อคลี่ผ้าออกดู เธอก็ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะออกมาได้
ประการแรก… เธอเสียดายเงิน ประการที่สอง… ผ้าผืนนี้ไม่ใหญ่นัก หากจะตัดชุดก็ไม่มีทางพอแน่ๆ แต่ถ้าจะทำผ้าเช็ดหน้าก็ดูจะมากไป แล้วจะใช้มันทำสิ่งใด
เธอเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความอยากรู้ “ท่านพี่ ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรกับผ้าสามพับนี้เจ้าคะ”
มือของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ถือสมุดบัญชีนั้นสั่นเทา ใบหน้าอันหล่อเหลาเริ่มแดงเรื่อ
เขาควรพูดอันใดดี เขาไม่อาจบอกตรงๆ ได้ แต่ถ้าไม่พูด ก็ดูเหมือนเสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าควรใช้ผ้าสามพับนี้ทำสิ่งใด
เขาตอบออกมาอย่างคลุมเครือ “แน่นอนว่าข้าจะให้เจ้าทำ… ทำเสื้อ”
เสวี่ยเจียเยว่หยิบผ้าสีแดงดอกไห่ถังขึ้นมาคลี่ออก ก่อนจะส่ายหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง
“ทำเสื้ออันใดเจ้าคะ ผ้าแค่นี้จะไปทำเสื้อพอได้อย่างไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งที่เก่งด้านการเล่าเรียนในสำนักศึกษามาโดยตลอด แต่ยามนี้กลับพูดไม่ออกสักคำ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาถึงได้แสร้งทำเป็นโกรธและกล่าวออกมา
“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าควรทำเสื้อแบบใด เจ้านำผ้าสามพับนี้ไปถามป้าเฝิงดู บางทีเจ้าอาจจะรู้”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ อีกทั้งแววตายังดูหงุดหงิดเล็กน้อย จึงคิดในใจว่าเขาคงเรียนหนักเกินไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเช่นนี้จะไปรู้ได้อย่างไร แต่ในเมื่อเขาตั้งใจซื้อผ้าไหมอย่างดีให้เพราะเห็นว่าเธอเป็นน้องสาว เธอก็ต้องซาบซึ้งในน้ำใจของเขา
คิดได้เช่นนั้นเธอก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่ซื้อผ้าไหมเช่นนี้ให้ข้าทำเสื้อ”
เสวี่ยหยวนจิ้งส่งเสียงในลำคอเบาๆ และไม่กล่าวอันใดต่อ แต่สายตาของเขาเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่พับผ้าไหมวางทับซ้อนกันและนำผ้ามาห่อไว้เช่นเดิม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะนำผ้ามาห่ออีกชั้น เขากังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะนำผ้าไหมสามพับนี้ใส่ลงในกล่อง หากเป็นเช่นนั้นจะไม่ผิดจากความตั้งใจของเขาหรือ
“เจ้าอย่าเพิ่งเก็บผ้าเหล่านี้” เขารีบเงยหน้าขึ้นกล่าว “ในเมื่อป้าเฝิงยังอยู่ที่นี่ เหตุใดเจ้าไม่นำผ้าสามพับนี้เข้าไปถามนางว่าเหมาะจะทำเสื้อแบบใด ข้าไม่ได้ซื้อมาเพื่อให้เจ้าเก็บใส่กล่อง”
เมื่อเห็นท่าทีเร่งเร้าของเขาเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ทำได้เพียงรับคำเท่านั้น ก่อนถือห่อผ้าเดินไปด้านหลังฉาก แต่เธอก็ยังคงคิดในใจว่า เสื้อแบบใดที่เธอทำไม่ได้บ้าง อันที่จริงผ้าไหมนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ จะว่าเล็กก็ไม่เชิง หากนำมาทำเสื้อก็คงไม่พอ
แต่ในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งใจซื้อมาให้เธอ ทางที่ดีควรถามป้าเฝิงก่อน เพื่อไม่เป็นการทำลายความหวังดีที่เขามีให้เธอ คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากทำให้เขาโกรธ
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่แน่ใจว่าป้าเฝิงจะพูดอะไร เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ถือห่อผ้าเข้าไปด้านหลังฉากแล้ว เขากลั้นหายใจฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ และหัวใจของเขาก็พลันเต้นแรงขึ้นมา
เสวี่ยเจียเยว่จะต้องใช้ผ้าไหมสามพับนี้ทำตู้โต้วเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงผิดหวังไม่น้อย