ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 113 สถานการณ์ตึงเครียด
หนึ่งร้อยสิบสาม
สถานการณ์ตึงเครียด
สาเหตุที่เสวี่ยหยวนจิ้งห้ามเสวี่ยเจียเยว่นั้น เพราะชายหนุ่มคิดว่าเมื่อวานนี้พวกเขาไปเจรจากับบรรดาเจ้าของร้านขายผ้าแล้ว แม้ว่าคนเหล่านั้นจะปฏิเสธ แต่เขาเชื่อว่าอีกไม่กี่วันจะมีคนมาขอร่วมทำการค้ากับร้านซู่ยวี่เซวียนถึงหน้าประตูอย่างแน่นอน
เขาอธิบายในสิ่งที่ตนคิดให้เสวี่ยเจียเยว่ฟัง เมื่อเธอไตร่ตรองครู่หนึ่งก็คิดว่าที่ชายหนุ่มกล่าวมานั้นถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมตกลง
แต่กำไรที่ได้จากการตัดชุดมีอยู่ไม่มากนัก เพราะคนที่เข้ามาสั่งตัดชุด หากไม่ไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้าด้วยตัวเอง ก็จะนำผ้าที่มีอยู่ในเรือนมาให้ช่างตัดให้ และชุดที่เธอออกแบบเหล่านี้ แม้จะดูแปลกใหม่ แต่ขั้นตอนการทำก็ไม่ยากนัก หากมีคนสวมเป็นจำนวนมากในภายภาคหน้า ร้านตัดชุดร้านอื่นก็สามารถทำตามได้ หากถึงตอนนั้นพวกเขากดราคาผ้าลงยิ่งกว่านี้จะทำเช่นไร
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่จึงอดกังวลกับอนาคตของร้านซู่ยวี่เซวียนไม่ได้
ตอนที่เธออยากทำร้านตัดชุด ก็คิดเพียงว่าจะหาเงินเช่นไร อีกทั้งตอนนั้นยังมีเพียงแรงมุ่งมั่นและจินตนาการของเธอเท่านั้น แต่เมื่อเปิดร้านจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาสิ่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกก็ทำให้เธอพบว่าตนยังไร้เดียงสาอยู่มาก
เธอถอนหายใจและเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ เปิดกิจการด้วยตัวเองช่างลำบากจริงๆ”
คิ้วเรียวงามของชายหนุ่มขมวดแน่น ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงดูผิดหวังไม่น้อย
จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของเสวี่ยเจียเยว่ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ “หากเจ้ารู้สึกลำบาก เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำ พี่ชายคนนี้จะเลี้ยงดูเจ้าเอง”
ตอนนี้เขาได้รับเงินจากสำนักศึกษาไท่ชูเดือนละสองตำลึง นอกจากนี้เขายังสามารถสร้างรายได้จากการรับจ้างคัดลอกตำรา และเขาจะไม่มีวันทำให้เสวี่ยเจียเยว่ต้องลำบาก
ทุกครั้งที่เขากล่าวเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่จะซาบซึ้งใจไม่น้อย ตอนนี้ก็เช่นกัน เธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านต้องตั้งใจเรียนก่อนนะเจ้าคะ ต่อไปหากท่านสอบผ่านการคัดเลือกได้รับตำแหน่งขุนนาง เมื่อถึงตอนนั้นแม้ว่าท่านจะไม่อยากเลี้ยงดูข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยมือท่านไปแน่นอน”
เสวี่ยหยวนจิ้งอยากให้อีกฝ่ายไม่ปล่อยมือเขาไปตลอดกาล
เมื่อนึกถึงกำไลวงนั้น เขาก็ล้วงออกมาจากอกเสื้อ แล้วจับข้อมือข้างซ้ายของเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นมาสวมกำไลให้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเย็นวาบที่ข้อมือ ก่อนจะรีบก้มหน้าลงและเห็นว่าบนข้อมือของเธอมีกำไลวงหนึ่ง
“ท่านพี่” เธอเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้ง “นี่ท่าน…”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองมือซ้ายของแม่นางน้อยเช่นกัน
สองปีที่ผ่านมาเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ทำงานหนักในนาในไร่อีกแล้ว ผิวจึงขาวราวหยก ข้อมือเรียวเล็กดูงดงามมากเมื่อสวมกำไลวงนี้
หลังจากได้ยินเสวี่ยเจียเยว่ถาม เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่บอกเป็นเชิงสั่งแทน “ข้าให้เจ้า ต่อไปเจ้าต้องสวมมันตลอดเวลา ห้ามถอดออกเด็ดขาด”
เสวี่ยเจียเยว่มองสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา พลันเธอก็รู้สึกประหลาดใจทันที
วันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงซื้อผ้าไหมสามพับให้เธอ แต่ตอนนี้ยังมอบกำไลเงินให้อีก ทั้งยังขอให้เธอสวมตลอดเวลา ห้ามถอดออกเด็ดขาด…
เธอก้มหน้าลงมองกำไลเงินอย่างละเอียดก็พบว่าไร้ลวดลายอันใด
เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด นอกจากห่วงมัดผมไข่มุกที่ซื้อมาจากเพิงขายของข้างทาง ซึ่งคงขายไม่ได้สักอีแปะ และตอนนี้เธอก็ชอบกำไลเงินวงนี้ยิ่งนัก
เดิมทีเธอไม่อยากรับ แต่เมื่อคิดว่าสิ่งนี้เป็นของที่เสวี่ยหยวนจิ้งมอบให้ ทั้งยังบอกให้เธอสวมไว้ตลอดเวลาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเธอจะปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงยกมือขึ้นและเขย่าต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ ในเมื่อท่านพี่มอบกำไลเงินให้ข้า ข้าก็จะสวมไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ฟังเช่นนั้น หัวใจที่เต้นรัวตลอดเวลาเมื่อครู่นี้ก็ค่อยผ่อนคลายลง
เขาไม่ได้บอกเสวี่ยเจียเยว่ว่ากำไลวงนี้เป็นสิ่งที่มารดาของตนทิ้งไว้ให้ก่อนจะสิ้นใจ โดยกล่าวว่ายายของเขามอบให้นาง หลังจากยายตายไป ไม่นานนักตาของเขาก็ขายนางให้ตระกูลเสวี่ยเพื่อให้เลี้ยงเป็นสะใภ้ นางซ่อนกำไลวงนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา จนกระทั่งรู้ตัวว่าใกล้จะสิ้นใจ จึงมอบกำไลวงนี้ให้เขา และขอให้เขามอบให้แก่ลูกสะใภ้ของนางในภายภาคหน้า ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของแม่สามีที่มีต่อลูกสะใภ้ ตอนนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งรับมาด้วยสองมือพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก และตอนนี้เขาก็มองไปที่กำไลบนข้อมือเรียวของเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นหัวใจของเขาพลันสงบและอ่อนโยน
เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งสัญญากับเขาว่านับจากนี้จะสวมกำไลตลอดเวลา
ความยินดีพลันเพิ่มพูนขึ้นมาในหัวใจของเขา หลังตอบรับแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ปากและส่งไปถึงดวงตาของเขา
เดิมทีใบหน้าของเขาก็หล่อเหลาอยู่แล้ว ยิ่งมีรอยยิ้มจางๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเหมือนมีสายลมเบาๆ พัดผ่านผิวน้ำในมหาสมุทรใต้แสงจันทร์จนคลื่นกระเพื่อมไหวระยิบระยับก็ไม่ปาน ในภพที่จากมาเธอเคยเห็นดาราหล่อๆ บนจอโทรทัศน์ แต่รอยยิ้มของเสวี่ยหยวนจิ้งขณะนี้ทำให้หัวใจเธอเต้นรัวเร็ว
ทันใดนั้นเสียงราบเรียบพลันดังขึ้นโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
“มันเป็นเพียงกำไลวงหนึ่งเท่านั้น คุ้มค่ากับความดีใจของเจ้าเช่นนี้หรือไม่”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของเขาพลันเย็นชาทันที เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองก็พบว่าเป็นตันหงอี้ที่กำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูพร้อมกับมองมาด้านใน
เสวี่ยเจียเยว่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่”
ตันหงอี้เห็นคิ้วที่ขมวดแน่นและสายตาที่แสนจะรังเกียจของเสวี่ยเจียเยว่ ก็รู้สึกราวกับมีมีดที่แหลมคมสองเล่มปักเข้ามากลางอกเขาก็ไม่ปาน ทำให้เขาเจ็บปวดจนตัวสั่นสะท้าน
เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรจัดการเช่นไร รู้สึกว่าตอนนี้ในหัวใจของเขายากเกินจะรับไหว เพราะเคยชินกับการเป็นคุณชายที่มีผู้คนคอยเอาใจ เมื่อรู้สึกอึดอัดจึงมักจะแสดงอารมณ์ออกมาทันที
ตันหงอี้ก้มหน้าอันหล่อเหลาลง ก่อนจะมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อเจ้าเปิดร้านตัดชุดนี้ ข้าจะมาทำสิ่งอื่นได้อย่างไร ย่อมต้องมาตัดชุดอยู่แล้ว หรือจะให้ข้าตั้งใจมาหาเจ้าโดยเฉพาะ”
เสวี่ยเจียเยว่แค่นเสียงเย็นชาเช่นกัน “ร้านผ้าไหมของเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองผิงหยางแห่งนี้ และมีร้านตัดชุดที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน หากเจ้าอยากตัดชุดแล้วจะมาที่ร้านเล็กๆ ของข้าได้เยี่ยงไร คุณชายตัน ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่ง วัดของข้านั้นเล็กนัก ไม่อาจตั้งพระพุทธรูปที่ใหญ่โตได้[1] รบกวนเจ้าไปตัดชุดที่ร้านอื่นจะดีกว่า”
เธอคิดว่าตันหงอี้มาที่นี่เพื่อจับผิดอย่างเห็นได้ชัด จะมาที่ร้านของเธอด้วยใจจริงได้อย่างไร ไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
เมื่อตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้น ความเสียใจพลันจู่โจมเขาทันที ความรู้สึกอึดอัดก็ยิ่งทวีขึ้น เช่นเดียวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุขึ้นมาในหัวใจ แต่กลับไม่รู้ว่ามีสิ่งใดมาบดบังทางออก หัวใจของเขาถึงได้เต้นรัวจนแทบจะลุกไหม้อย่างฉับพลัน
“ข้าเคยได้ยินว่าคนเปิดร้านจะต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีร้านไหนไล่ลูกค้าออกจากร้าน เป็นอันใดไปเล่า เจ้ากลัวข้าไม่มีเงินตัดชุดที่ร้านเจ้าหรือ”
ขณะที่กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็เดินตรงเข้าไปที่โต๊ะคิดเงิน ก่อนจะหยิบก้อนทองสองก้อนในถุงผ้ามาตบลงที่โต๊ะพร้อมยืดตัวตรง
“ก้อนทองสองก้อนนี้มากพอที่จะตัดชุดที่ร้านของเจ้าได้สักชุดหรือไม่ หากไม่พอ ข้ายังมีตั๋วเงินอีก เจ้าอยากได้เท่าไร บอกมาได้ตามที่เจ้าต้องการเลย”
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาอย่างระอาใจ สุดท้ายเธอก็คร้านจะพูดคุยกับเขา เพราะรู้สึกว่าต่อให้พูดกับคนเช่นนี้อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ จึงหันไปพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ มานี่เจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาเป็นคนจัดการ
เขารู้จักนิสัยตันหงอี้ผู้นี้ดี คงเป็นเพราะมีแต่คนเอาใจมาตั้งแต่เล็กจนโต และไม่เคยมีใครขัดใจ ทำให้เป็นคนหยิ่งยโส เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมให้ใครขัดใจได้ง่ายๆ ทว่าก็เป็นดั่งที่ข่งซิวผิงกล่าวมา นิสัยของตันหงอี้ผู้นี้ยังนับว่ามีส่วนดี ตอนที่เขากับเสวี่ยเจียเยว่ได้พบกับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง ก็ไม่เคยเห็นตันหงอี้ใช้อำนาจรังแกใคร อย่างมากที่สุดก็เพียงพูดคำหยาบคายยามโกรธเท่านั้น
ตันอวี้เหอกับตันอวี้ฉาแสร้งมาตัดชุด ทว่าความจริงแล้วจุดประสงค์ของพวกนางคืออยากมาพบหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง และอยากพูดคุยกับเขาสักสองสามประโยค แต่ไม่คิดว่าพอตันหงอี้เข้ามาในร้านก็ปะทะฝีปากกับเสวี่ยเจียเยว่ทันที
แม้ว่าทั้งสองจะประหลาดใจว่าตันหงอี้รู้จักกับเสวี่ยเจียเยว่ตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ชอบตันหงอี้ พวกนางสองพี่น้องไม่เคยเห็นพี่ชายโกรธใครจนหน้าดำทะมึนมาก่อน เมื่อตอนนี้เห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด พวกนางจึงรีบเดินเข้ามาทันที
ตันอวี้เหอเอ่ยขอโทษเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ “พี่ชายข้าก็อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ช่างขายหน้าท่านทั้งสองยิ่งนัก”
เมื่อครู่นี้นางยืนมองอยู่ข้างๆ และเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่พูดคุยกับตันหงอี้ไม่ค่อยสุภาพเท่าไรนัก เมื่อเห็นพี่ชายของนางหยิบก้อนทองออกมาและกล่าวคำดูถูก นางก็กังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งจะโกรธเคืองได้
แต่ตันยวี้ฉากลับยืนข้างตันหงอี้และชี้นิ้วไปที่เสวี่ยเจียเยว่ พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เหตุใดเจ้าพูดกับพี่ชายข้าเช่นนี้ ที่พี่ชายข้ากล่าวมานั้นก็ไม่ผิด พวกเจ้าเปิดร้านตัดชุด เมื่อมีลูกค้าเข้าร้านเจ้าก็ควรต้อนรับอย่างดีถึงจะถูก แต่เจ้ากลับพูดให้พี่ชายของข้าโกรธ เจ้าต้องขอโทษพี่ชายของข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวอันใด เพียงมองไปที่ตันอวี้ฉาอย่างเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะกล่าวขอโทษเลยสักนิด
กลับเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่ใช้สายตาแหลมคมดุจใบมีดเหลือบมองตันอวี้ฉา ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงตัวเสวี่ยเจียเยว่มาไว้ด้านหลังของตน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม่นางตันเข้าใจผิดหรือไม่ คนที่ควรขอโทษคือพี่ชายของเจ้า”
ตันอวี้ฉาได้ยินเช่นนั้นก็พลันตะลึงงันทันที ก่อนจะหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความตกใจ
นางหลงรักเสวี่ยหยวนจิ้ง หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมานางเองก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหล นางได้ยินชื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อสองปีก่อน รู้ว่าเขามีความสามารถและรูปงามเพียงใด ทั้งยังสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาที่ดีที่สุดทั้งสองแห่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของตันหงอี้กับนางก็เป็นไปด้วยดี แน่นอนว่านางต้องผดุงความยุติธรรมให้พี่ชาย ดังนั้นในความคิดของนางจึงมักจะรู้สึกว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นปีศาจ
วันที่ได้ดูการแข่งขันจีจวีระหว่างสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่ นางเห็นผู้เรียนผู้หนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ไกล จึงเอ่ยถามคนข้างๆ ว่าเขาคือใคร และได้รู้ว่าคนผู้นั้นคือเสวี่ยหยวนจิ้ง ผู้เรียนจากสำนักศึกษาไท่ชู ต่อมานางได้พบเขาบนถนน ได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา กระทั่งตอนนี้นางก็ยังคิดถึงเขาเสมอ แต่เขากลับพูดจาเย็นชาเช่นนี้กับนาง…
ตันอวี้ฉาถูกคนในเรือนตามใจและประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก จะรับความโกรธเช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้นขอบตาของนางจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที
ตันหงอี้หันไปพูดกับนางอย่างกะทันหัน “เจ้าจะมาพูดสอดอะไรตรงนี้ ยังไม่รีบกลับไปอีก”
เขาระบายอารมณ์โกรธกับเสวี่ยเจียเยว่ได้ กระทั่งสามารถพูดให้อีกฝ่ายโกรธได้ แต่เมื่อครู่นี้เห็นตันอวี้ฉาชี้นิ้วตำหนิเสวี่ยเจียเยว่ เขากลับเดือดดาลจนทนไม่ไหว แม้ตันอวี้ฉาจะเป็นน้องสาวของเขา อีกทั้งยังพูดเพื่อเขาก็ตาม
เขาไม่อาจทนเห็นใครยืนชี้หน้าตำหนิเสวี่ยเจียเยว่เช่นนี้
[1] การส่งแขกที่หยิ่งยโสโอหังอย่างประชดประชันด้วยการกล่าวเกินจริง มีความหมายว่า “เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ตรงนี้