ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 116 ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด
หนึ่งร้อยสิบหก
ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด
ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกตื่นตระหนกเพราะคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะห่างเหินกับเธอเมื่อเขาแต่งงานในภายภาคหน้า หลังจากเขาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งยังเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอเบาๆ ก็ยิ่งทำให้เธอไม่อาจอดกลั้นได้อีก แล้วโผเข้ากอดเขาที่นั่งอยู่ตรงข้ามทันที ใบหน้าด้านข้างแนบชิดกับแผงอกอันอบอุ่นของเขา แขนทั้งสองข้างกอดรอบเอวบางของชายหนุ่มเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงปนสะอื้น
“ท่านพี่… ท่านอย่าทิ้งข้านะเจ้าคะ”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยการอ้อนวอนและความไม่สบายใจ
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาราวกับถูกบางอย่างโจมตีอย่างรุนแรง ชั่วขณะนั้นเขาแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
เขาได้ยินเสวี่ยเจียเยว่พูดเช่นนี้จริงๆ หรือ ที่กล่าวมานั้นหมายความว่าเช่นไร ในใจของแม่นางน้อยคิดเหมือนกับที่เขาคิดกับเจ้าตัวหรือไม่
หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกดีใจจนแทบไร้สติ กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอันใดออกมา จึงได้แต่กอดแม่นางน้อยเอาไว้แน่น
หากสามารถหลอมรวมร่างของเสวี่ยเจียเยว่เข้ากับกระดูกของเขาได้คงจะดีมิใช่น้อย ด้วยวิธีนี้อีกฝ่ายจะได้กลายเป็นคนคนเดียวกันกับเขา และต่อไปจะไม่มีผู้ใดกล้าปรารถนาในตัวแม่นางผู้นี้อีก
“ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า” เขาพูดแล้วบรรจงจูบหน้าผากของเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไปตลอดชีวิต”
เป็นเรื่องยากหากจะซ่อนความตื่นเต้นไว้ในหัวใจ เสียงที่กล่าวออกมาจึงสั่นเล็กน้อย แต่ถ้าฟังอย่างตั้งใจ ก็จะรู้ว่าเขาดีใจจนแทบคลั่ง
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวอะไร เพียงซุกหน้าเข้ากับอกของเขาและร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งไหนเลยจะเอ่ยเร่งเร้า เขาจูบเส้นผมของแม่นางน้อยเบาๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบอบบางเพื่อปลอบโยน
ร่างงดงามราวหยกที่อ่อนนุ่มและหอมหวนอยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ ทำให้ในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งกระวนกระวายขึ้นมาทันที อยากก้มลงบรรจงจูบใบหน้ากับริมฝีปากอ่อนนุ่มของเสวี่ยเจียเยว่ที่เขาจูบนับครั้งไม่ถ้วนในความฝัน แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบายใจหากถูกล่วงเกินอย่างกะทันหัน จึงได้แต่ฝืนทนเอาไว้ เมื่อทนไม่ไหวก็เพียงจูบลงบนเส้นผมของแม่นางน้อยแทน
ชายหนุ่มคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่อยู่ในอ้อมกอดของเขา ย่อมมองไม่เห็นตอนที่เขาจูบผมของเจ้าตัว เขาจึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ
เมื่อเสียงร้องไห้เบาลงแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงมอง และเห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังเงยหน้ามองเขาพอดี
ในดวงตาของแม่นางน้อยยังเต็มไปด้วยน้ำใสราวกับหมอกชั้นบางๆ… ดอกไห่ถังที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง… หรือดอกท้อท่ามกลางกลุ่มควัน ทำให้คนที่ได้มองเกิดความสงสารอยู่หลายส่วน แต่ใบหน้านั้นงดงามยิ่งกว่าสิ่งใด และเมื่อได้มองท่าทางที่อ่อนแอของเด็กสาวในยามนี้ ความปรารถนาและโหยหาพลันหลั่งไหลเข้ามาในใจของเขาทันที
อยากรังแกแม่นางผู้นี้ อยากทำให้อีกฝ่ายร้องไห้อยู่ภายใต้ร่างอันกำยำของเขา อยากได้ยินเสียงสั่นกระเส่าร้องเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่…’
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเป็นอันใดไป เขาละอายใจกับความคิดอันน่ารังเกียจของตนยิ่งนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าในใจของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้น ขณะที่ศีรษะก้มต่ำลงเรื่อยๆ เพราะชายหนุ่มเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะโน้มหน้าลงจูบเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากออกมา และริมฝีปากแดงเรื่ออันบอบบางราวกลีบดอกไม้
“ท่านพี่”
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อตั้งสติได้ชายหนุ่มจึงรีบนั่งตัวตรงทันที
หัวใจของเขายังคงเต้นรัว และไม่กล้ามองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ได้แต่มองไปที่ตัวอักษร ‘ฝู’ ซึ่งแขวนอยู่บนผนัง พร้อมทั้งพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ
“หือ? มีเรื่องอันใดหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยออกมาด้วยความเหนียมอาย “เมื่อครู่พอข้ารู้ว่าท่านอาจารย์จากไป ก็นึกถึงตอนที่ท่านจะแต่งงานมีครอบครัวในภายภาคหน้า และแน่นอนว่าท่านต้องห่างเหินจากข้า ในใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ ข้าสับสนจริงๆ ท่านอย่าใส่ใจกับคำพูดเมื่อครู่ของข้านักเลย”
ขณะที่กำลังเสียใจเมื่อครู่นี้ เธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตนพูดออกมา แต่เมื่อเลิกร้องไห้และไตร่ตรองดู ก็คิดได้ว่าเหตุใดเธอถึงได้เห็นแก่ตัวเช่นนั้น ถึงอย่างไรเสวี่ยหยวนจิ้งก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว เธอจะรั้งเขาไว้เพราะตัวเองไม่อยากอยู่คนเดียวได้อย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าชายหนุ่มจะเก็บคำพูดของเธอไปใส่ใจ เพราะเขาเคยพูดอยู่หลายครั้งว่าจะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตน แล้วเธอจะพูดจาคลุมเครือต่อหน้าเขาได้เยี่ยงไร จะไม่ทำให้เขาเข้าใจผิดเอาหรือ ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบกล่าวอธิบายให้เขาเข้าใจในทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินคำพูดของเสวี่ยเจียเยว่ กลับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะราวกับถูกใครยกถังน้ำเย็นราดรดลงมาบนศีรษะของเขาก็ไม่ปาน
จากนั้นเขาก็ก้มลงมองแม่นางน้อยและเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่า… ไม่ให้ข้าใส่ใจกับคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเย็นชายิ่งนัก และมือที่โอบไหล่เสวี่ยเจียเยว่ก็บีบแน่นขึ้น
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที และรู้สึกผิดในใจไม่น้อย
เธอดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขา และถอยมานั่งหลังตรงบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย ก่อนจะยกมือขึ้นปัดปอยผมออกจากแก้มและทัดไว้ที่ใบหูด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ แล้วมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยแววตารู้สึกผิด จากนั้นจึงเบนสายตาไปที่อื่น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ก็เพราะว่า… เพราะว่าประโยคนั้นจะทำให้ท่านไม่ไปจากข้า”
เธอกล่าวจบก็ก้มหน้าอันร้อนผ่าวลง จึงไม่เห็นว่ายามนี้สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งอึ้งงัน ตกใจ และเสียใจมากเพียงใด อีกทั้งแผงอกยังกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงแค่ไหน
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจว่าเสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นเดียวกันกับตน ถึงได้ดีใจจนแทบคลั่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายขอร้องไม่ให้เขาจากไป แต่คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นเพียงความปรารถนาของเขาฝ่ายเดียว ความจริงแล้วเป็นเพราะป้าโจวจากไป เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ เป็นเหตุให้โผเข้ามากอดเขาและร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น กระทั่งเอ่ยว่าไม่ให้เขาทิ้งนางไป…
เสวี่ยเจียเยว่เพียงกลัวว่าจะมีใครทิ้งตนไปอีกคน ถึงได้มีอาการเช่นนี้ น่าขันนักที่เขาคิดไปเอง…
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวอันใดครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว มุมปากยกยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
แต่ความหงุดหงิดในใจก็ไม่บรรเทาลงอยู่ดี…
ทันทีที่เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ เธอก็คิดว่าพี่ชายผู้นี้ไม่พอใจ แต่ไม่อาจรู้เหตุผลที่แท้จริงได้… หรือเป็นเพราะเขาเบื่อหน่ายคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอ
เสวี่ยหยวนจิ้งคงคิดเพียงว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขาเท่านั้น น้องสาวกับพี่ชายจะเอ่ยคำที่คลุมเครือเช่นนี้ได้เยี่ยงไร อีกทั้งเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ดูจากท่าทีเฉยเมยที่เขาทำกับนางเอกทั้งสี่คน…
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที และเมื่อรู้สึกเช่นนี้ก็มักจะเอื้อมมือไปจับแขนของเสวี่ยหยวนจิ้ง คิดไม่ถึงว่ายามนี้ชายหนุ่มกลับสะบัดมือเธอออกทันที
ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกเสียใจและกังวล อยากจะบอกเสวี่ยเจียเยว่ว่าเขาคิดอะไร แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจและไม่สนใจเขาอีก แต่ยิ่งไม่พูดกลับทำให้เขาใกล้จะเสียสติเข้าไปทุกที
เสวี่ยเจียเยว่ยังคิดจะมากอดแขนเขาอีก แม่นางน้อยคิดว่าเขาเสียใจและกังวลใจไม่พอจนอยากเพิ่มเชื้อไฟให้อย่างนั้นหรือ
เป็นเพราะกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ จนบอกความในใจออกมาให้เสวี่ยเจียเยว่ได้รู้ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่คิดจะสนใจเด็กสาวอีก เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ห้องของตนทันที
เขาต้องการทำให้จิตใจของตัวเองสงบลง แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าเสวี่ย-เจียเยว่กลับไม่สามารถสงบใจได้ และตอนนี้เขาไม่ต้องการพูดเรื่องเหล่านั้น เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะยังเด็ก เขาไม่อยากทำให้เสวี่ยเจียเยว่ตกใจกลัว
แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับคิดว่าเขาโกรธเพราะเรื่องที่เธอพูดไปเมื่อครู่ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเข้าห้องไปแล้ว เธอก็รู้สึกหวาดกลัว
ขณะที่เธอคิดจะตามไปนั้น ก็กังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะโกรธมากขึ้น หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร แต่ถ้าเดินไปที่ห้องของตนจะรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย
หลังจากคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าม่านที่ใช้แทนประตูห้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ตอนดีใจนั้นมองสิ่งใดล้วนสวยงามไปหมด แต่เมื่อเสียใจก็อดโทษตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนมีแต่เรื่องแย่ๆ เช่นเดียวกับเสวี่ยเจียเยว่ที่ยิ่งร้องไห้เท่าไรก็ยิ่งเสียใจเท่านั้น น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเหมือนสายฝนหยาดลงจากชายคายามฝนตกหนักไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่นานเท่าไร จู่ๆ ม่านก็เปิดออก และชุดคลุมยาวสีฟ้าก็ปรากฏให้เห็นผ่านม่านน้ำตา
ความจริงเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ร้องไห้นานนัก เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อาจยอมให้แม่นางน้อยยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องของเขาได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามกลั้นไว้ไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา แต่ชายหนุ่มก็ยังได้ยินอยู่ดีจึงรีบออกมาดู
เมื่อเห็นว่าใบหน้าขาวเนียนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ความหงุดหงิดและกังวลก็หายไปทันที จากนั้นเขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อยู่ดีๆ เจ้าร้องไห้ทำไม”
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่คิดจะเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็กลัวว่าเขาจะโกรธและไม่สนใจเธออีกต่อไป จึงได้แต่เอ่ยด้วยเสียงปนสะอื้น
“ท่านพี่… ท่าน… ท่านโกรธข้า ไม่สนใจข้า”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อเห็นดวงตางดงามคู่นั้นแดงก่ำ จมูกเล็กบวมเป่ง เขาก็อดสงสารไม่ได้ จึงคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดพร้อมเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ข้าจะโกรธเจ้า… จะไม่สนใจเจ้าได้เยี่ยงไร หรือต่อให้ข้าโกรธ ไม่สนใจเจ้าแค่ไหน ตราบใดที่เจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านพี่’ ข้าก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ ไยเจ้าต้องร้องไห้จนมีสภาพเยี่ยงนี้ หือ?”
ขณะที่กล่าวนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้แม่นางน้อย แต่เช็ดอย่างไรก็ไม่หมดเสียที สุดท้ายเขาจึงได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ
“เจ้าเกิดจากน้ำหรือไร เหตุใดน้ำตาถึงได้มากเพียงนี้ ปกติมักจะเห็นเจ้าปากคอเราะรายต่อหน้าคนอื่นเสมอ เหตุใดถึงไร้พิษสงเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ไม่ทันไรก็ร้องไห้เสียแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่อดทนไม่ไหว จึงกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น ซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกของชายหนุ่มพลางสะอื้น “ไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ พวกเขาเป็นคนนอกสำหรับข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ใส่ใจ แต่ท่านคือพี่ชายข้า เป็นญาติของข้า ครอบครัวของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องระวังเมื่ออยู่กับท่าน หากท่านโกรธ ท่านไม่สนใจข้า ข้าย่อมร้องไห้อยู่แล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขและทุกข์ใจไปพร้อมกัน
มีความสุขเพราะเขาแตกต่างจากคนอื่น เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเป็นคนสำคัญ ทุกการกระทำของเขาส่งผลต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และที่ทุกข์ใจก็เพราะว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังคงเห็นเขาเป็นพี่ชาย ญาติสนิท และคนในครอบครัว แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นคนรัก… เป็นสามี
แม้ทั้งสองจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนคนในครอบครัวเช่นกัน แต่ฐานะกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เสวี่ยหยวนจิ้งปลอบใจตัวเองว่า ถึงอย่างไรแม่นางผู้นี้ก็ยังเด็กนัก เรื่องเหล่านี้ควรค่อยเป็นค่อยไป และเพราะตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังเด็ก เขาจึงสามารถนำพาอีกฝ่ายไปยังทิศทางที่ต้องการในภายภาคหน้าได้ เรื่องทั้งหมดก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเขาอธิบายความรู้สึกของตนออกไป เสวี่ยเจียเยว่ก็จะไม่ต่อต้านและยอมรับในทันที
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าผิดเองที่ทำเจ้าเสียใจ ข้าสัญญา… ต่อไปนี้ข้าจะไม่โกรธ ไม่เพิกเฉยต่อเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว ดีหรือไม่เยว่เอ๋อร์”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเขาเป็นฝ่ายขอโทษ ก็เงยหน้าขึ้นมองทันที ก่อนจะเอ่ยออกมา “ไม่ ท่านพี่ ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรพูดอะไรโง่ๆ กับท่าน ที่ท่านโกรธข้า ไม่สนใจข้าก็ถือว่าสมควรแล้ว”
“จะเรียกว่าคำพูดโง่ๆ ได้อย่างไร” เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง ขณะเดียวกันก็เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ไปด้วย และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่เจ้ากล่าวมานั้นถูกแล้ว ต่อให้เจ้าไม่พูด ข้าก็คิดจะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน”
เสวี่ยเจียเยว่ประหลาดใจยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นเธอลืมร้องไห้และจ้องมองไปที่เขา
ที่ชายหนุ่มกล่าวมานั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาไม่อยากมีครอบครัว และจะอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้องเช่นนี้ไปตลอดชีวิต
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นสีหน้าของแม่นางน้อยดูประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายอะไร
ชายหนุ่มตัดสินใจแล้ว นับแต่นี้ไปเขาจะไม่ปกปิดความรู้สึกของตนอีก จะค่อยๆ เผยความรู้สึกของตนออกมา ทำให้เสวี่ยเจียเยว่คุ้นชิน เมื่อถึงตอนนั้นอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางจากเขาไปไหนแน่นอน
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าและส่งไปถึงดวงตาของเขา น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นก็อ่อนโยนยิ่งนัก
“เด็กดี อย่าร้องไห้เลย ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ไม่มีวันไปจากเจ้าแน่นอน”