ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 117 จุดเริ่มต้นของความสงสัย
หนึ่งร้อยสิบเจ็ด
จุดเริ่มต้นของความสงสัย
เวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก เมื่อดอกเบญจมาศบานอากาศก็หนาวเหน็บ และเมื่อดอกท้อแบ่งบาน อากาศพลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
ตั้งแต่ได้กระถางต้นพริกมาจากป้าหยางและญาติของนางเมื่อปีที่แล้ว ช่วงเวลาหลังจากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ดูแลพวกมันเหมือนสมบัติอันล้ำค่า ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็ไม่เสียเปล่า เพราะเธอสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พริกได้เต็มถุงผ้าใบเล็ก
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่ามันมีค่ามากกว่าทองคำ เมื่อนำเมล็ดพันธุ์ไปตากแดดแล้ว เธอก็เก็บรักษามันเอาไว้อย่างระมัดระวัง ช่วงปลายปีเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปดูที่ดินบริเวณชานเมืองมาหลายรอบ ก่อนจะเช่าที่ดินดีๆ หนึ่งถึงสองหมู่เพื่อรอใช้ในการเพาะปลูกพริก
ต้องขอบคุณยายของเธอที่ชอบปลูกพริก หอม และกระเทียมในกระถางที่สวนของท่าน เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้จักวิธีการปลูกพริก
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิอากาศก็เริ่มอบอุ่น ต้องรีบใช้ประโยชน์จากวันที่มีแดดจ้าเปิดถุงผ้าใส่เมล็ดพันธุ์พริกที่เก็บมาเมื่อปีที่แล้วเพื่อตากแดดอยู่สองวัน จากนั้นก็นำถุงผ้าใบนั้นมาแช่น้ำอุ่น และใส่ไว้ในรูบนแท่นเตา ซึ่งเป็นรูขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาเพื่อเก็บตะบันไฟ ตรงนี้อุณหภูมิสูง ทำให้รากพืชงอกออกมาได้ง่าย หากภายนอกถุงผ้าแห้งก็นำมาแช่น้ำอุ่นอีกครั้ง ทำเช่นนี้อยู่หลายวัน เมื่อเปิดถุงผ้าดูอีกครั้งก็พบว่าเมล็ดพริกมีรากสีขาวขนาดเล็กและคดงองอกออกมาแล้ว
เธอนำเมล็ดพริกที่มีรากงอกแล้วมาโรยลงบนพื้นดิน และโรยดินทับบางๆ จากนั้นต้นกล้าจะเติบโตตามธรรมชาติในอีกไม่กี่วัน หากต้นกล้าขึ้นหนาแน่นเกินไป ก็ต้องถอนบางส่วนทิ้ง เมื่อต้นกล้าโตได้ขนาดเหมาะสมแล้วก็สามารถย้ายไปลงดินในบริเวณที่ต้องการได้
เนื่องจากพริกเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ คนทั่วไปไม่เคยเห็นมันแน่นอน เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่รู้ว่าควรจะปลูกอย่างไร ในระยะแรกเธอต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด โชคดีที่มีเสวี่ยหยวนจิ้งคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ จึงทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น
หลังจากนั้นไม่กี่วันฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อเห็นว่าต้นกล้าดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีใบสีเขียวงอกออกมาจากลำต้น หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกสดชื่นตามไปด้วย
ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้เธอมีความสุข นั่นก็คือเสวี่ยหยวนจิ้งสอบซิ่วฉายผ่านแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงความคาดหวังของหัวหน้าสำนักศึกษากับเหล่าอาจารย์ว่ามีมากเพียงใด ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะเขาสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบเซี่ยนชื่อ ฝู่ชื่อ และย่วนชื่อ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับตำแหน่งเสี่ยวซานหยวน
หัวหน้ากับอาจารย์ในสำนักศึกษาไท่ชูต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้ผู้เรียนของพวกเขาจะสอบซิ่วฉายผ่าน และเคยได้อันดับหนึ่งในการสอบเซี่ยนชื่อกับฝู่ชื่อ แต่ไม่เคยมีผู้เรียนคนใดสามารถสอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามระดับมาก่อน พวกเขาพูดกันอย่างมีความสุขว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสามารถสอบได้อันดับหนึ่งของการสอบระดับต้นทั้งสามระดับเช่นนี้ ในภายภาคหน้าหากสอบระดับสูงกว่านี้ก็ต้องมีความหวังอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งให้ความสำคัญแก่เสวี่ยหยวนจิ้งมากขึ้น
กระนั้นท่าทีของชายหนุ่มกลับเฉยชายิ่งนัก จนคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนจะสอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามสนามสอบ หรือความจริงแล้วเขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจตั้งแต่ต้น
แต่ยามนี้เมื่อเขาเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กังวลกับการเจริญเติบโตของต้นพริกเหล่านั้น ชายหนุ่มก็กังวลเช่นเดียวกัน
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะมีความสุข แต่เธอก็ไม่ตื่นเต้นกับเรื่องที่เขาสอบผ่านเท่าไรนัก เพราะในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งสามารถสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่พร้อมกัน เช่นนั้นการสอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสามสนามสอบก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด
อีกอย่าง… ตราบใดที่เป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้ เขาย่อมทำได้อยู่แล้ว หากสอบได้อันดับสองจะรู้สึกอายหรือไม่เมื่อต้องบอกใครๆ ว่าตนเป็นพระเอกของเรื่อง ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น แต่เป็นกังวลกับต้นกล้าพริกของตนจะดีกว่า
เสวี่ยเจียเยว่ทำงานยุ่งทุกวัน รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ต้นฤดูร้อนแล้ว ต้นพริกโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เธอมาดูก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เดิมทีเธอต้องการเก็บต้นกล้าพริกเหล่านี้ทุกวัน ทว่าหลังจากงานชมดอกเบญจมาศในเทศกาลฉงหยางเมื่อปีที่แล้ว กิจการของร้านซู่ยวี่เซวียนก็ดีขึ้น แม้ว่าลูกค้าที่มาตัดชุดจะไม่ได้มาจนแน่นร้าน แต่ก็ถือว่ามีลูกค้าไม่ขาด จนเธอไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้เป็นเวลานาน
เป็นไปตามที่เสวี่ยหยวนจิ้งคาดเอาไว้ คนในเมืองผิงหยางต่างรู้จักร้านตัดชุดซู่ยวี่เซวียน ที่ทำชุดแบบใหม่และมีสีสันงดงาม ถึงแม้จะมีร้านตัดชุดมากมายทำชุดในลักษณะเดียวกันออกมาขาย แต่ร้านซู่ยวี่เซวียนก็สามารถทำชุดแบบใหม่ๆ ออกมาได้ทันเวลา ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงมักจะมาตัดชุดที่ร้านซู่ยวี่เซวียนเสมอ และร้านขายผ้าที่เธอเคยไปเจรจาร่วมทำการค้าด้วยก่อนหน้านี้แต่ถูกปฏิเสธ กลับทยอยมาที่ร้านเพื่อเจรจาทำการค้าร่วมกับร้านซู่ยวี่เซวียน ซึ่งเสวี่ยเจียเยว่ก็บอกเหมือนที่เธอเคยพูดไปในคราแรก ว่าร้านซู่ยวี่เซวียนต้องการรับผ้าไหมจากร้านของพวกเขา แต่ราคาผ้าต้องต่ำกว่าราคาในท้องตลาดสองส่วน
เถ้าแก่ร้านรุ่ยซิงหลงผู้มีใบหน้าใจดีก็มาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเดียวกัน และบอกว่าคราวที่แล้วเขาไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นสหายร่วมห้องเรียนกับลูกชายของตน หากรู้เขาคงตอบตกลงร่วมทำการค้าไปแล้ว ยามนี้จึงอยากร่วมทำการค้าด้วย
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ชั่งน้ำหนักผลกำไรที่จะได้รับแล้ว เธอก็ตัดสินใจจะร่วมทำการค้ากับเถ้าแก่ลู่ และแน่นอนว่าเถ้าแก่ลู่ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ที่เขาไม่ดีใจก็เพราะรู้ว่าลู่ลี่เซวียนคิดอย่างไรกับเสวี่ยเจียเยว่ และคิดว่าเป็นเพราะเสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเถ้าแก่ลู่เป็นบิดาของลู่ลี่เซวียน ถึงได้ยอมร่วมทำการค้ากับอีกฝ่าย
หรือว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่ให้ความสำคัญแก่ลู่ลี่เซวียน…
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่รู้ความในใจของเขา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงรีบอธิบายเหตุผลที่ตนตัดสินใจร่วมทำการค้ากับเถ้าแก่ลู่
กิจการของตระกูลลู่ไม่ได้มีเพียงร้านผ้าไหมรุ่ยซิงหลงแห่งเดียว แต่ยังมีร้านเครื่องประดับและร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย ในเมื่อตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ข้ามภพมา เธอหลงใหลในชุดฮั่นฝู และสามารถวาดแบบชุดออกมาได้ แล้วจะไม่ชอบเครื่องประดับโบราณเหล่านั้นได้อย่างไร แน่นอนว่าเธอต้องเคยศึกษามาแล้ว ทั้งยังเคยเห็นแบบต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต ถ้าจะให้วาดออกมาตอนนี้ก็ไม่ยากเกินความสามารถ
เธออยากวาดเครื่องประดับแปลกๆ ที่เคยเห็นมาในภพก่อน และส่งให้ร้านขายเครื่องประดับของเถ้าแก่ลู่ทำออกมา เมื่อทำเสร็จแล้ว เถ้าแก่ลู่สามารถขายเครื่องประดับส่วนหนึ่งในร้านของเขาได้ เงินที่ขายได้เธอจะแบ่งให้เถ้าแก่ลู่หนึ่งส่วน และเครื่องประดับส่วนที่เหลือเธอจะเก็บไว้ขายในร้านของตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่วาดแบบหุ่นและขอให้ช่างไม้ทำหุ่นคนง่ายๆ สองสามตัวเพื่อนำมาตั้งในร้านซู่ยวี่เซวียน จากนั้นเธอก็นำชุดแบบใหม่ของทางร้านมาสวมให้หุ่นเหล่านั้น เมื่อมีลูกค้าเข้ามาก็จะมองเห็นได้ทันที ดีกว่าการวาดภาพบนกระดาษให้ลูกค้าดู
นอกจากนี้เธอยังไปซื้อผมปลอมดีๆ มาสวมบนศีรษะของหุ่นเหล่านั้น หวีผมให้หุ่นทุกตัวด้วยความใส่ใจ และสวมเครื่องประดับที่ตนออกแบบให้ด้วย ทำเช่นนี้ดีกว่าการทำให้คนรู้จักร้านด้วยวิธีอื่นๆ เพราะเมื่อลูกค้าเข้ามาจะเห็นทันทีว่าชุดบนหุ่นนั้นงดงาม เครื่องประดับก็สวย สีสันเข้ากันยิ่งนัก ซื้อชุดแบบนี้แล้วย่อมต้องอยากซื้อเครื่องประดับเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อเครื่องประดับทั้งหมด แต่ก็คงเลือกซื้อชิ้นที่ตัวเองชอบกลับไปสักชิ้นสองชิ้น ไม่เพียงเป็นการเปิดร้านตัดชุดเท่านั้น แต่ยังขายเครื่องประดับอีกด้วย ส่วนของอื่นๆ เช่น รองเท้า เครื่องประดับผมรูปดอกไม้ และพู่ ก็ค่อยคิดทำในภายหลัง
ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดก็คือชุด ส่วนของอื่นๆ ที่สตรีชอบใช้ค่อยทำเพิ่มในภายหลัง โดยจุดประสงค์หลักของเธอก็คือการทำให้สตรีทุกคนที่เข้ามาในร้านซู่ยวี่เซวียนได้สวมชุดที่งดงาม หากไม่ใช่ร้อยส่วน อย่างน้อยก็สักห้าสิบส่วนที่เดินออกไปแล้วจะต้องกลับมาตัดชุดอีกครั้ง
ในฐานะเจ้าของร้าน ไม่ว่าอย่างไรเสวี่ยเจียเยว่ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่เดินเข้ามาเห็นเจ้าของร้านแต่งตัวไม่ดี แล้วจะเชื่อว่าร้านซู่ยวี่เซวียนสามารถตัดชุดออกมางดงามได้อย่างไร
ดังนั้นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่จึงตัดชุดที่งดงามสำหรับตัวเองสองสามชุด ทั้งสวมเครื่องประดับอื่นๆ อีกมากมาย และในบรรดาเครื่องประดับทั้งหมด เธอชอบปิ่นระย้ามากที่สุด
เด็กสาวอายุสิบสามปีงดงามดั่งดอกกระวานในเดือนสอง สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน เส้นผมดำขลับรวบเป็นมวยส่วนหนึ่ง และปักด้วยปิ่นระย้า อีกส่วนปล่อยให้ยาวสลวย พู่เส้นยาวที่ห้อยลงมาจากเอวพลิ้วไปมาเบาๆ ยามเคลื่อนไหว ช่างทำให้หัวใจของคนมองสั่นไหวยิ่งนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งจะโล่งใจได้อย่างไรหากปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่ออกจากเรือนไปคนเดียว เขาไม่เพียงต้องไปกับเด็กสาวทุกครั้ง แต่ยังต้องให้อีกฝ่ายสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมใบหน้าด้วย
ยามนี้คือต้นเดือนห้า เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษา เขาจะตามเสวี่ยเจียเยว่ไปที่ชานเมืองด้วย เพื่อดูว่าต้นพริกที่ปลูกไว้โตแค่ไหนแล้ว
แม้ว่าเธอจะจ้างคนไปดูแลต้นพริกเหล่านั้นทุกวัน แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี และจะต้องไปดูทุกสองสามวัน
ในช่วงนี้อากาศอบอุ่น เสวี่ยเจียเยว่จึงสวมเสื้อสีม่วงกับกระโปรงผ้าโปร่งสีขาว และสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมใบหน้า
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้าเธอก็ถอดหมวกออกแล้ววางไว้ข้างตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่เบื้องหน้า เขาสวมชุดคลุมยาวคอกลมที่ทำจากผ้าไหมสีเขียวหยก บนเอวห้อยจี้หยกคู่เอาไว้ ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลายิ่งนัก
ตั้งแต่เสวี่ยหยวนจิ้งสอบซิ่วฉายผ่านแล้ว บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ แต่จะเรียกเขาอย่างติดขำว่า ‘ท่านบัณฑิตเสวี่ย’ เหมือนกับในตอนนี้ที่เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ท่านบัณฑิตเสวี่ย ข้าบอกให้ท่านอ่านตำราอยู่ที่เรือนไม่ใช่หรือ ไม่ต้องมากับข้า เหตุใดท่านถึงยังออกมากับข้าอีกเล่า”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวครู่หนึ่ง เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนร่าเริง และตอนนี้กิจการร้านซู่ยวี่เซวียนกำลังไปได้ดี เด็กสาวจึงมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ยิ่งมองก็ยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อน นับวันยิ่งทำให้เขายากที่จะรู้สึกโล่งใจ
“เจ้าคิดว่าข้าจะวางใจปล่อยให้เจ้าออกมาคนเดียวเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งราบเรียบยิ่งนัก แต่แววตาที่จับจ้องเด็กสาวนั้นกลับเหมือนเหยี่ยวที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อก็ไม่ปาน “หากข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าตลอดเวลา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกอึดอัดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อก่อนไม่ว่าเธอจะไปไหนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ตามไปด้วย และช่วงนี้ไม่รู้เธอคิดไปเองหรือไม่… ว่าเขาเข้มงวดมากขึ้น แทบเรียกได้ว่าเธอเป็นนักโทษของเขา
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เธอยังชอบความเป็นอิสระ อยากไปไหนก็ไปโดยที่เขาไม่ต้องตามไปด้วยตลอดเวลา