ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 119 อาลัยความรู้สึก
หนึ่งร้อยสิบเก้า
อาลัยความรู้สึก
เสวี่ยหยวนจิ้งทอดสายตามองใบหน้าที่งดงามของเสวี่ยเจียเยว่ แม้ว่าใบหน้าอีกฝ่ายจะบูดบึ้ง แต่ก็เต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ สายตาของเด็กสาวไม่กล้ามองมาที่เขา ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนแข็งนอกอ่อนใน
เขาหัวเราะในใจครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่แกล้งเสวี่ยเจียเยว่อีกแล้ว และยอมปล่อยมือด้วยความเมตตา
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ว่าเรี่ยวแรงที่กักขังตัวเธอเอาไว้หายไปแล้ว จึงรีบดิ้นออกจากอ้อมแขนของเสวี่ยหยวนจิ้ง และยืนก้มหน้าอยู่ข้างเขา
จากนั้นเสียงที่แฝงอารมณ์ขำขันของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “เจ้าโตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่ดูทาง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินมาเช่นนี้ หากคราวนี้ข้าไม่อยู่ตรงนี้ แต่เป็นก้อนหินแทน เจ้าไม่ล้มหัวคะมำไปแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่แอบกัดฟัน ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
แม้ว่าบางครั้งเธอจะจมจ่อมอยู่กับความคิดของตน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเจตนาทำเช่นนี้หรือไม่ หากจะบอกว่าไม่ได้มีเจตนา เหตุใดช่วงนี้เขาจึงชอบกอดเธออย่างสนิทสนมเช่นนี้ เห็นอยู่ว่าเธอพูดไปหลายคราว่าตัวเองโตแล้ว และในเมื่อพวกเขาทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจกอดกันแบบคู่รักชายหญิงได้ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังทำเหมือนไม่ได้ยิน เขายังคงหาโอกาสเข้ามาใกล้ชิดกับเธอตลอดเวลา แต่ถ้าจะบอกว่าเขาตั้งใจทำ กลับเห็นได้ชัดว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เขาหวังดีกับเธอ
เธอเคยได้ยินว่าหัวใจของสตรีเป็นดั่งเข็มในมหาสมุทร แต่ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งต่างหากที่เป็นเหมือนเข็มในมหาสมุทร ทำให้เธอคาดเดาได้ยากยิ่งนัก
ในขณะที่เธอกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ จู่ๆ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอื้อมมือมาจับแขนเธอโดยที่ยังไม่ทันระวังตัว เมื่อเธอคิดจะดิ้นให้หลุด เขาก็ออกแรงมากขึ้น พร้อมกับหัวเราะออกมา
“เดินต่อเถอะ พวกเราไปดูต้นพริกกันว่าโตแค่ไหนแล้ว พอดูเสร็จก็ยังต้องรีบกลับ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าต้องไปตรวจบัญชีในร้านอีก ถ้าเจ้ามัวแต่ชักช้าอืดอาดเช่นนี้ จะได้กลับกันเมื่อไร”
เสวี่ยเจียเยว่มักจะเถียงเขาไม่ได้เสมอ ราวกับหัวใจของเธอกำลังล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่รู้สึกตัว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงจับมือเธอพาเดินมุ่งหน้าไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเธอได้เห็นที่ดินที่ตนเช่า ก็พบว่าต้นพริกงอกงามได้ดีมาก และโตขึ้นมากกว่าคราวที่แล้วที่ได้เห็นมัน กระทั่งมีดอกสีขาวเล็กๆ บานอยู่บนต้น
หลังจากนี้… พอดอกของมันร่วงหล่น ก็จะเห็นผลพริกมาแทนที่
พอเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ชายชราแซ่อูก็รีบวิ่งมาต้อนรับ
เสวี่ยเจียเยว่เช่าที่ดินของครอบครัวเขา ทั้งยังจ้างเขาเฝ้าต้นพริกในที่ดินพร้อมกับรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ และแน่นอนว่าหากมีแมลงจะต้องจับมันให้ได้
ชายชราแซ่อูกับภรรยามีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน ลูกสาวของพวกเขาแต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนลูกชายนั้นก็แต่งงานและมีลูกกับภรรยาไปแล้ว ตอนนี้หลานคนเล็กของพวกเขาอายุห้าขวบ
ชายชราบอกให้พวกเขาไปนั่งพักที่กระท่อมซึ่งเขาสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเรื่องต้นพริกเหล่านั้น ชายชราก็ตอบได้ทุกคำถามไม่มีตกหล่น เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก จึงอยากจะลุกขึ้นไปดูต้นพริกในแปลงให้ชัดกว่านี้
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมอยากไปกับเด็กสาวด้วย ทั้งสองคนจึงเดินออกไปพร้อมกัน
เพราะเกิดเหตุการณ์ที่คลุมเครือถึงสองครั้งก่อนหน้านี้ ทั้งในรถม้าและระหว่างเดินมา ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับเสวี่ยหยวนจิ้งดี เธอตั้งใจดูต้นพริกแต่ละต้นอย่างละเอียด โดยไม่มองชายหนุ่มหรือแม้กระทั่งพูดคุยกับเขาสักคำก็ไม่มี
ช่วงนี้เพิ่งเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศจึงยังไม่ร้อนมากนัก และวันนี้ก็มีลมแรง ทุกครั้งที่ลมพัดมาจะทำให้รู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินตามหลังเสวี่ยเจียเยว่อยู่หลายก้าว สายตาของเขาจับจ้องเด็กสาวตลอดเวลา
เสวี่ยเจียเยว่สวมเสื้อสีม่วงกับกระโปรงผ้าโปร่งสีขาว คาดผ้าไหมสีเหลืองตรงกลางเอว และสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งสีขาวคลุมหน้า
เมื่อลมพัดพาให้ผ้าโปร่งปลิวไสว ก็จะพบกับความงามที่มีเสน่ห์
เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ถึงไฟที่ลุกโชนอยู่ในอก อยากเดินไปกุมมือเสวี่ยเจียเยว่ และมองดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้นพร้อมบอกความในใจทั้งหมดของตนออกไปให้แม่นางน้อยได้รับรู้ แต่ก็กังวลว่าถ้าอีกฝ่ายรู้แล้วอาจจะโกรธเขาแล้วตีตัวออกหาก เขาจึงไม่กล้าทำ
ทำได้เพียงอยู่ข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่เหมือนในตอนนี้ หากมีโอกาสได้เปิดเผยความในใจ และหากสังเกตเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทีโกรธเคือง เขาจะรีบถอยออกห่างจากอีกฝ่ายในทันที
เขาเดินตามเสวี่ยเจียเยว่อย่างเงียบๆ จากนั้นทั้งสองคนก็เดินกลับกระท่อมของชายชราแซ่อู
เป็นเวลาเดียวกับที่ภรรยาของชายชรานำอาหารกลางวันมาส่ง เสวี่ยเจียเยว่จึงมอบเงินค่าจ้างของเดือนที่แล้วให้พวกเขา และเพราะรู้สึกว่าชายชราดูแลต้นพริกของเธออย่างใส่ใจ จึงตั้งใจมอบเงินให้เขาเพิ่มอีกเล็กน้อย
ภรรยาของชายชราแซ่อูรับเงินด้วยความดีใจ ก่อนจะบอกให้พวกเขารอสักครู่ จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่เรือนอย่างเร่งรีบ
ไม่นานนางก็กลับมาโดยถือบ๊ะจ่างมาด้วยสองพวง ทั้งยังมีสุราอีกหนึ่งไห และบอกว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ไม่มีสิ่งของดีๆ มอบให้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง บ๊ะจ่างกับสุราสยงหวง[1] เป็นของที่ครอบครัวของตนทำเอง พร้อมกับขอร้องพวกเขาว่าอย่ารังเกียจเลย ขอให้นำกลับไปชิมและถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของนาง
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นไปรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อกล่าวขอบคุณเสร็จแล้วก็สั่งชายชราแซ่อูสองสามประโยค ก่อนจะชวนเสวี่ยหยวนจิ้งเดินกลับทางเดิม
คนขับรถม้ายังยืนรออยู่ที่เดิม เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้าและปล่อยม่านลง เสวี่ยเจียเยว่ก็นั่งลงบนตั่งตัวยาวแล้วถอดหมวก จากนั้นคนขับรถม้าจึงรีบกระตุ้นม้าออกไป
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กินข้าวเช้าก่อนออกเดินทางมา ตอนนี้ก็ถึงเวลากินข้าวกลางวันแล้ว โชคดีที่ก่อนออกมาจากเรือนเสวี่ยเจียเยว่ตั้งใจพกขนมกับน้ำออกมาด้วย เธอจึงนำออกมากินเป็นอาหารกลางวันกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
หลังจากกินขนมเสร็จแล้ว เธอก็ยกบ๊ะจ่างสองพวงที่ภรรยาของชายชราแซ่อูมอบให้ขึ้นมาดู มันยังร้อนอยู่ คงเพิ่งนำออกมาจากหม้อได้ไม่นาน จากนั้นเธอแกะบ๊ะจ่างออกมาสองห่อ แล้วยื่นให้เสวี่ยหยวนจิ้งกินหนึ่งชิ้น
ไหนเลยจะคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับหยิบบ๊ะจ่างในมือของเธอไปทั้งหมด เสวี่ยเจียเยว่นึกว่าบ๊ะจ่างชิ้นเดียวคงไม่ทำให้เขาอิ่มได้ ถึงได้หยิบไปทั้งหมดเช่นนั้น
ในขณะที่เธอกำลังจะแกะบ๊ะจ่างอีกห่อ ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งแกะออกมาแล้วหนึ่งห่อ จากนั้นจึงส่งให้เธอ
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้รับบ๊ะจ่างมา ซ้ำยังไม่กล่าวอันใดสักคำ
ตั้งแต่ตอนที่เขากอดเธอ หลังจากนั้นก็พูดแกล้งอีกสองสามประโยค เธอก็ไม่พูดกับเสวี่ยหยวนจิ้งสักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเด็กสาวไม่รับบ๊ะจ่างที่เขาส่งให้ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “เหตุใดเจ้าถึงได้โกรธมากเพียงนี้ ต่างจากตอนเจ้าเป็นเด็กมากนัก” น้ำเสียงของเขาแฝงความระอาเอาไว้ด้วย
ไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก “อยู่ดีๆ ไยเจ้าถึงได้โกรธข้า หรือว่าลืมสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าไปก่อนหน้านี้แล้ว ข้าคือครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไม่หนี ไม่ทำตัวห่างเหินกับข้าไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดตอนนี้เจ้าถึงไม่สนใจข้าเลยเล่า”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าจุดอ่อนของเสวี่ยเจียเยว่คือสิ่งใด ดังนั้นทุกครั้งที่ในใจของอีกฝ่ายสงสัยเขา อยากทำตัวห่างเหินจากเขา เขาจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องหรือการเป็นครอบครัวเดียวกันออกมา และเสวี่ยเจียเยว่ก็จะใจอ่อนทันที
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เสวี่ยเจียเยว่ลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือมารับบ๊ะจ่างจากเขาไป
“ท่านพี่” เมื่อครุ่นคิดได้แล้ว เธอก็กล่าวออกมา “ที่ข้าเคยกล่าวมานั้นย่อมเป็นความจริง ข้าไม่ได้โกหกท่าน ในใจของข้านั้นท่านคือครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะไม่ไปจากท่าน ไม่ทำตัวห่างเหินจากท่าน ท่านจะเป็นพี่ชายของข้าตลอดไป และข้าก็จะเป็นน้องสาวของท่านตลอดไปเช่นกัน”
คำพูดของเสวี่ยเจียเยว่ค่อนข้างชัดเจน คนฉลาดอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางไม่เข้าใจความหมายนั้น
เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ…
ถ้อยคำที่ชายหนุ่มเคยพูดในอดีตทำให้เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาเป็นพี่ชายมาตลอด จึงไม่มีความคิดเป็นอื่นกับเขา แต่มีวิธีไหนเล่า ในเมื่อเขาเป็นคนหยั่งรากความรู้สึกนี้ไปแล้ว ก็ต้องฝืนกลืนผลอันขมขื่นที่ตามมาลงไป แต่ยังดีที่มีเวลาอีกมาก ยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของเสวี่ยเจียเยว่ที่มีต่อเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คิดได้ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อือ ข้าเข้าใจ รีบกินบ๊ะจ่างเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่โล่งใจกับคำตอบของเขา และนึกว่าตนคิดมากไปเอง เสวี่ยหยวนจิ้งยังคิดว่าเธอเป็นเพียงน้องสาวของเขาเท่านั้น ไม่มีความคิดเป็นอื่น เธอจึงพูดคุยกับชายหนุ่มอย่างสนิทสนมเช่นเดิม
ผู้คนมักจะเหนื่อยล้ากันในช่วงฤดูร้อน ยิ่งตอนกินอาหารอิ่มๆ ก็ยิ่งง่วงนอนได้ง่าย อีกทั้งถนนก็เป็นพื้นขรุขระ ตลอดทางที่รถม้าวิ่งมาจึงโยกเยกเบาๆ สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา หนังตาใกล้จะปิดลงทุกขณะ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเด็กสาวสัปหงกเหมือนไก่จิกกินอาหาร สองตาก็ครึ่งเปิดครึ่งปิด เห็นได้ชัดว่าง่วงมาก แต่ยังฝืนทนไม่ให้ตนหลับ เขาจึงอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้
“ถ้าเจ้าง่วงก็นอนพักเสียหน่อยเถอะ พอถึงร้านข้าจะปลุกเจ้าเอง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และลุกไปนั่งข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเจ้าอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา”
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังสะลึมสะลือ สติของเธอจะพร่าเลือนไปด้วย เมื่อได้ยินเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งดังก้องอยู่ในหู เธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อย ราวกับว่าต่อให้มีเรื่องใหญ่เพียงใด ตราบใดที่มีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็จะปลอดภัยไร้อันตราย ดังนั้นเธอจึงหลับไปอย่างสบายใจ
ความจริงแล้วตัวเธอเองไม่ได้สังเกตว่า เหตุใดเธอถึงได้เชื่อใจและพึ่งพาเสวี่ยหยวนจิ้งมากขนาดนี้ ทั้งยังจำคำที่เขาพูดได้เสมอ นั่นคือเขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาว เสวี่ยเจียเยว่จึงขีดเส้นจำกัดของตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตนคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าพี่ชายและน้องสาว
เธอรู้ดีว่านิยายเรื่องนี้มีนางเอกถึงสิบสองคน แม้ว่าสตรีทั้งสี่คนที่ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้จะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อมองอย่างละเอียด… คนแรกเป็นหลานสาวของนายพรานในหุบเขาลึก คนที่สองเป็นลูกสาวของบัณฑิต คนที่สามและสี่เป็นลูกสาวตระกูลร่ำรวย หากเสวี่ยหยวนจิ้งอยากเป็นขุนนาง สตรีเหล่านี้คงสามารถช่วยเขาได้
ว่ากันว่าอำนาจนั้นหอมหวนมากที่สุด หากเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เลือกหนึ่งในพวกนาง เขาจะได้อำนาจมาครอบครองได้อย่างไร ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เธอขอยอมเป็นน้องสาวของเขาดีกว่า เธอไม่กล้ามีความรู้สึกที่ไม่ควรต่อเขา ไม่อย่างนั้นหากเดินเข้าไปในกับดักแล้ว ใครจะรู้ถึงผลที่ตามมา
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ถึงความกังวลในใจของเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวหลับตาลง เขาก็เอื้อมมือไปโอบไหล่บอบบางเบาๆ ให้ศีรษะของแม่นางน้อยซบลงบนตักของเขาเพื่อให้นอนได้สบายขึ้น
ความจริงแล้วเขาง่วงอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ได้แต่ก้มหน้าลงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาลุ่มหลง ไม่อยากปล่อยแม่นางผู้นี้แม้แต่น้อย
เขาไม่กล้ายื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่น ทำได้เพียงมองเด็กสาวนอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้อีกต่อไป
ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีฟ้าสดใส ก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่ประปราย สายลมในฤดูร้อนพัดพาความร้อนชื้นและกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดโชยเข้ามา
นัยน์ตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเอื้อมมือไปจับมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ อย่างอ่อนโยน จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ปิดลง
พวกเขาจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิง เด็กหนุ่มและแม่นางน้อยเดินผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาด้วยกันตลอดทาง ตราบใดที่ชีวิตนี้มีเสวี่ยเจียเยว่ร่วมทาง ต่อให้ต้องพบเจอความขมขื่นมากเพียงใด เสวี่ยหยวนจิ้งก็พร้อมเผชิญโดยไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป
[1] คือสุราที่มักดื่มในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เชื่อกันว่าดื่มแล้วโรคร้ายต่างๆ จะหายไป