ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 120 เปิดเผยความรู้สึก
หนึ่งร้อยยี่สิบ
เปิดเผยความรู้สึก
เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังร้านซู่ยวี่เซวียน ชายหนุ่มคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ เด็กสาว ทั้งตรวจบัญชีและสินค้าที่ยังคงเหลือในร้าน
อีกสองวันก็เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง สำนักศึกษาไท่ชูหยุดเรียนหนึ่งวัน เสวี่ยเจียเยว่จึงสั่งให้ลูกจ้างในร้านหยุดงานหนึ่งวันเช่นกัน เพื่อให้ทุกคนได้กลับไปฉลองเทศกาล ทั้งวันนั้นยังจะมีการแข่งเรือมังกร[1] ในเมืองผิงหยาง เสวี่ยเจียเยว่อยากไปชมดู เธอจึงปรึกษากับเสวี่ยหยวนจิ้ง และชายหนุ่มก็ยอมตกลงอย่างง่ายดาย
…
ในที่สุดเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็มาถึง หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว พวกเขาออกจากเรือนไปพร้อมกัน
อากาศในวันนี้เริ่มร้อนขึ้น เสวี่ยหยวนจิ้งจึงสวมชุดคลุมยาวสีเทาแถบสีฟ้าซึ่งเนื้อผ้าทำมาจากใยกล้วย คาดเข็มขัดไว้ที่เอว ทำให้เขาหล่อเหลาและสูงโปร่งยิ่งขึ้น บางครั้งเขาจะหันมามองเสวี่ยเจียเยว่ นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายด้วยความอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกว่าคุณชายท่านนี้อ่อนโยนและถ่อมตัวราวกับหยกงาม
เมื่อคิดถึงบทบาทตัวละครที่โหดเหี้ยมของเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนแรก และมองคนที่หล่อเหลาอ่อนโยนตรงหน้าผู้นี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่าตนประสบผลสำเร็จไม่น้อย
หากจะกล่าวว่าเธอค่อนข้างมีความคิดที่หลงตัวเองก็ไม่ผิดนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน แล้วเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง พระเอกอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งก็คงไม่มีทางเป็นชายหนุ่มผู้อ่อนโยนและหล่อเหลาเหมือนคนตรงหน้านี้ แต่คงเป็นเหมือนกับคนในอดีตอยู่กระมัง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอคิดถึงชะตากรรมและบทบาทของเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนแรก เปรียบเทียบกับเขาในตอนนี้ เสวี่ยเจียเยว่มักรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ
เธอรู้สึกว่าการที่เป็นอยู่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นคนธรรมดาๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย และแก่ชราไปตามธรรมชาติ แบบนี้ย่อมดีกว่าสิ่งอื่นใด
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังคิดในใจนั้น จู่ๆ มือขวาของเธอก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งหันหน้ามามองเธออยู่ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มสดใสอยู่ภายใน
“เหตุใดช่วงนี้เจ้าถึงเหม่อลอยบ่อยนัก รีบเดินเร็วเข้า ถ้าช้ากว่านี้จะไปไม่ทันดูการแข่งเรือมังกรเอาได้”
เสวี่ยเจียเยว่รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ในอดีตเสวี่ยหยวนจิ้งก็จูงมือเธอเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเคยกอดเธอ แต่ช่วงนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่เพียงต่อต้านอ้อมกอดของเขา แม้แต่การจับมือยังรู้สึกอึดอัดนัก
เธอพยายามดึงมือตนเองให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวอันใด อยากจะสลัดมือของเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปให้ได้โดยเร็ว
เสวี่ยหยวนจิ้งสังเกตได้ จึงหยุดฝีเท้าและมองแม่นางน้อยพร้อมขมวดคิ้วแน่น
แต่เขาไม่ปล่อยมือ ซ้ำยังจับให้แน่นขึ้น ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ไร้หนทางที่จะดิ้นหลุดออกไปได้
“เจ้าเป็นอันใดไป” เขาเอ่ยถาม “ไม่ชอบให้ข้าจูงมือเจ้าหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่สวมหมวกใบเดิม ใบหน้าของเด็กสาวจึงซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าโปร่งสีขาว ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ แต่ก็พอรู้ว่าแม่นางน้อยกำลังก้มหน้าอยู่
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า เธอไม่รู้ว่าตนควรจะกล่าวอันใด แต่เธอไม่ใช่คนโง่ เพราะสังเกตได้ว่าท่าทีของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นเปลี่ยนไป
เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ อยากเป็นน้องสาวของเขาตลอดไป แต่ทุกครั้งเขาก็มักจะแกล้งเธอเช่นนี้ คนสองคนอยู่ด้วยกันทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้เลยสักนิด
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สบายใจและเกิดความขัดแย้งในใจของเธอ ทุกๆ วันเธอรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ อีกทั้งยังกังวลกับผลที่จะได้รับและสูญเสีย
เธอไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย จึงไม่กล้าที่จะให้เสวี่ยหยวนจิ้งทำตัวสนิทชิดเชื้อกับตนได้ตามอำเภอใจอีก แต่เพื่อไม่ให้มีพิรุธมากเกินไป เธอจะเป็นฝ่ายเข้าไปกอดแขนและทำตัวออดอ้อนเขา แม้ว่าจะต่อต้านตอนที่เขาเป็นฝ่ายเข้ามาจับมือและกอดเธอก็ตาม
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา และแอบหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้ซ่อนความรู้สึกของตนที่มีต่อเสวี่ยเจียเยว่ บางครั้งก็ตั้งใจแสดงออกมาอย่างชัดเจน ประการแรกก็เพื่อหยั่งเชิง ประการที่สองคืออยากให้เด็กสาวค่อยๆ ปรับตัวกับเรื่องเหล่านี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีต่อต้านเมื่อเขาเข้าใกล้…
“เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด” แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เจ้าลืมความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนไปแล้วหรือ เจ้ามีเรื่องอะไรไยไม่บอกข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงก้มหน้าอย่างดื้อรั้นโดยไม่พูดอะไร
ความจริงแล้วเธอมักจะปากร้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น หากสิ่งใดที่ทำให้ไม่มีความสุข เธอจะหลีกเลี่ยงทันที ไม่เก็บเอาไว้ให้ตนอึดอัดใจเด็ดขาด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง โดยเฉพาะหลายวันที่ผ่านมานี้ เธอไม่กล้าพูดอะไรให้มากความนัก
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าหากเอ่ยเรื่องที่ตนอึดอัดใจออกมา เสวี่ยหยวนจิ้งจะมองเธอเช่นไร แต่ถ้าเธอพูดออกไปให้เขารู้ นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการเจาะกระดาษหน้าต่างให้มีรูโหว่[2] หรอกหรือ แล้วต่อไปเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งจะอยู่ด้วยกันอย่างไร
แม้ว่าเธอจะเชื่อใจและหวังพึ่งพาชายหนุ่ม คิดว่าเขาเป็นคนที่เธอสนิทที่สุดเพียงคนเดียว แต่มันก็เท่านั้น เธอไม่อยากมีความสัมพันธ์แบบอื่นนอกจากน้องสาวของเขา…
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่ยังคงกังวลกับเรื่องนางเอกทั้งสิบสองคน จิตใต้สำนึกของเธอมักจะคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งต้องมีความสัมพันธ์กับพวกนางอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กับสตรีทั้งสิบสองคน แต่ก็ต้องมีหนึ่งหรือสองคนที่แตกต่างจากพวกนางทั้งหมดใช่หรือไม่ ยังมีนางเอกแปดคนที่ไม่ปรากฏตัวออกมา ใครจะรู้ว่าพวกนางเป็นคนเช่นไร มีฐานะอย่างไร ทว่าถึงอย่างไรต้องโดดเด่นกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจับมือเธอแน่นขึ้น แล้วดึงเธอไปยังตรอกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นเบื้องหน้าก็สว่างขึ้น เป็นเพราะชายหนุ่มแหวกผ้าโปร่งบนหมวกของเธอออก เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ว่าใต้คางของเธอนั้นร้อนผ่าว เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งบีบใต้คางเธอขึ้นเพื่อให้เงยหน้ามองเขา
ชั่วขณะที่ได้มองดวงตาดำขลับของเขา เสวี่ยเจียเยว่อดที่จะตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้
เธอรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเปิดเผยบางอย่าง ถ้าอยู่ในภพที่จากมาคงเรียกว่าหงายไพ่ในมือ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากให้หน้าต่างในใจบานนี้ขาดเป็นรูโหว่
หากหน้าต่างไม่ขาดเป็นรูโหว่ เธอก็ยังพอจะแกล้งทำเป็นว่าตนไม่รู้เรื่องได้ และปฏิบัติต่อเสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนพี่ชายเช่นเดิม ทั้งสองคนจะได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่ถ้ามันขาดแล้ว…
เธอนึกถึงหนี้ดอกท้อที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องรับผิดชอบอีกแปดดอก ฐานะของนางเอกที่แข็งแกร่งกว่าสามารถกำจัดคนที่ไร้อำนาจออกไปได้ง่ายยิ่งกว่าการขยี้มด อีกทั้งในบรรดานางเอกทั้งแปดคนนั้น อาจมีสักคนที่เข้าตาเสวี่ยหยวนจิ้ง หากเป็นเช่นนั้นแล้วต่อไปเธอจะทำอย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น จึงอดที่จะยกมือขึ้นดึงมือของเสวี่ยหยวนจิ้งออกจากใต้คางของตนไม่ได้ และอยากให้เขาปล่อยเธอไป ขณะเดียวกันเธอก็หันไปมองทางอื่น เพราะไม่อยากมองชายหนุ่ม
เมื่อไรที่มองตาของเขา เธอจะรู้สึกหวาดกลัว
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งคิดจะจับใต้คางของเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น แต่พอเห็นว่าเด็กสาวต่อต้าน เขาก็จับคางของอีกฝ่ายโดยตรง เพื่อบังคับให้แม่นางน้อยมองมาที่เขา ขณะเดียวกันเขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า และดันตัวเสวี่ยเจียเยว่ให้พิงกับกำแพงเรือนข้างทาง ก่อนจะกักขังแม่นางน้อยเอาไว้ด้วยแขนอันแข็งแรงอีกข้างของเขา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหนได้
เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หัวใจของเธอพลันเต้นรัวขึ้นมาทันที เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงมาราวกับกำลังจะจูบเธอ…
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย” เสวี่ยหยวนจิ้งมองแววตาของเสวี่ยเจียเยว่และกล่าวเสียงต่ำอีก “เมื่อครู่นี้เหตุใดเจ้าไม่ให้ข้าจูงมือของเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล้าสบตาเขา เธออยากจะก้มหน้าลง แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็เพิ่มแรงขึ้นอีก พยายามบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พูดมา”
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนหัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขาเช่นนั้น เมื่อถูกจับคางเอาไว้ เธอก็ทำได้เพียงมองเขาเท่านั้น รู้สึกทั้งเสียใจและโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ
ช่วงนี้เธอต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งของเสวี่ยหยวนจิ้งทุกวัน พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เธอคิดว่าตัวเองแบกรับมามากพอแล้ว
ในที่สุดเธอก็เอ่ยถามเรื่องที่อัดอั้นตันใจมานาน “ท่านพี่ ท่านเพียงอยากจูงมือข้าเท่านั้นหรือ ไม่อยากกอดข้า หรือไม่อยากทำเรื่องอื่นๆ กับข้าใช่หรือไม่”
จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็นึกถึงกางเกงตัวในของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ช่วงหลังมานี้เปลี่ยนบ่อยยิ่งนัก ตอนนั้นเธอยังเดาว่าคนในความฝันของเขาคือแม่นางน้อยคนใด แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเธอ ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่จึงแดงเรื่ออย่างห้ามไม่ได้
เธอทั้งอายทั้งโกรธ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าความโกรธมันหลั่งไหลมาจากไหน ทำให้เธอปัดทั้งมือที่จับคางและแขนที่ยันกำแพงเพื่อกักขังเธอของเสวี่ยหยวนจิ้งออกอย่างรุนแรง และเอ่ยด้วยความโกรธ
“ท่านพี่ ข้าเป็นน้องสาวท่าน ท่านห้ามคิดเช่นนี้กับข้า”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงดังอยู่ในหูของเขา ราวกับเลือดทั้งหมดในร่างกายสูบฉีดขึ้นไปบนสมองจุดเดียวก็ไม่ปาน เสียงสะท้อนดังก้องในหูทั้งสองข้าง
เสวี่ยเจียเยว่รู้แล้วใช่หรือไม่ แล้วเริ่มรู้ตั้งแต่เมื่อไร มิน่าล่ะ ช่วงที่ผ่านมาเด็กสาวถึงได้ขัดขืนตอนที่เขาสัมผัสตัว…
คิดได้เช่นนั้น หัวใจที่เคยเต้นอย่างมั่นคงก็เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมา สองมือของเขาพลันสั่นเทาเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ แต่เขายังคงไม่ปล่อยเสวี่ยเจียเยว่ไป ยังใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างกักขังเด็กสาวไว้กับกำแพงเช่นเดิม
ไม่นานเขาก็เอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้า… เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองอีกฝ่าย ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาและมองรองเท้าปักลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่เด็กสาวสวมอยู่เท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้… เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ แล้วต่อจากนี้เธอควรทำอย่างไรดี เรื่องพี่น้องเปลี่ยนเป็นคนรัก เหตุใดถึงได้เกิดขึ้นกับเธอ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ
ตอนนี้สมองของเธอขาวโพลนว่างเปล่า เป็นเวลานานจึงได้สติกลับมา จากนั้นเธอก็ตั้งสติดีๆ แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะก้มหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเขาแดงก่ำ คงเป็นเพราะตอนนี้เขากำลังเขินอายอยู่กระมัง…
สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มลำบากใจไปมากกว่านี้ ขณะเดียวกันเธอก็ยังต้องการพี่ชายอย่างเขาอยู่ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เธอจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเบาๆ
“ท่านพี่ ตอนนั้นท่านก็เคยพูดว่าจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนน้องสาวแท้ๆ และบอกให้ข้าเห็นท่านเป็นพี่ชายแท้ๆ เหมือนกัน หลายปีมานี้ ข้า… ในใจของข้านั้นก็เห็นท่านเป็นพี่ชายแท้ๆ มาโดยตลอด ไม่กล้าคิดเป็นอื่นกับท่านแม้แต่น้อย อีกอย่าง… ข้าคิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันเช่นนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ท่านอย่า…”
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากช่วยกำจัดความคิดที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีต่อเธอออกไป และต่อไปพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองเธออย่างกะทันหัน ตาดำขลับคู่นั้นมีความขุ่นเคืองแฝงอยู่
“ไม่ ข้าไม่อยากเป็นพี่ชายเจ้า แต่อยากเป็นสามีของเจ้า เจ้าอย่าคิดว่าข้าเป็นพี่ชายอีกเลย จากนี้ไปให้เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนสามีเถิด”
ปฏิกิริยาแรกของเสวี่ยเจียเยว่คือตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอยากจะหัวเราะ
“ตอนแรกท่านบอกว่าอยากเป็นพี่ชายของข้า ให้ข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนพี่ชาย แต่ดูตอนนี้สิ ท่านไม่อยากเป็นพี่ชายของข้าแล้ว แต่อยากเป็นสามี และจะให้ข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนสามีอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าข้าเป็นอะไร ข้าต้องทำตามที่ท่านต้องการเช่นนั้นหรือ ข้าขอกล่าวตามตรงเถอะ ข้าไม่รู้ว่าจะมองท่านเป็นสามีได้เยี่ยงไร กระทั่งทั้งชีวิตนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่”
ความโกรธในใจของเธอทวีคูณขึ้น จึงปัดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างรุนแรงเพื่อหนีออกมาจากตรงนั้น แต่ก็เหมือนกับแมลงเม่าเขย่าต้นไม้ แม้จะปัดแรงเพียงใด แต่มีหรือว่าจะหลุดพ้นได้
สุดท้ายความโกรธก็มาถึงระดับสูงสุด เสวี่ยเจียเยว่ก้มตัวลงเพื่อลอดใต้แขนทั้งสองข้างของเสวี่ยหยวนจิ้งและวิ่งออกไปทันที
ทว่าเพิ่งวิ่งไปได้สองก้าว เสวี่ยหยวนจิ้งก็จับแขนของเธอเอาไว้อีกครั้ง และครั้งนี้เขาใช้แรงมากขึ้น ก่อนจะผลักเธอให้หลังชนกับกำแพงเรือนที่อยู่ข้างทางเช่นเคย จากนั้นจึงโผเข้ามาแนบชิดกับเธอ
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจหลีกหนีไปไหนได้ อีกทั้งเสวี่ยหยวนจิ้งยังเข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้ กระทั่งเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุบนร่างกายของเขา
ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงทั้งโกรธทั้งอาย จนอดที่จะเอ่ยตำหนิเขาไม่ได้ “ปล่อยข้าเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เอ่ยจบก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเธออุ่นวาบขึ้นมา…
เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจูบเธอ!
[1] คล้ายกับการแข่งเรือทั่วไป แต่มีการตกแต่งหัวเรือเป็นรูปมังกร ซึ่งจะจัดขึ้นในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เพื่อระลึกถึงนักกวีผู้รักชาตินามว่าชวีหยวน ตามตำนานเล่าว่าเขาถูกใส่ร้ายป้ายสีและถูกเนรเทศ จึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย ชาวบ้านกลัวว่าร่างของเขาจะถูกปลากิน จึงพากันนำขนมชนิดหนึ่งซึ่งทำจากข้าวห่อด้วยใบไผ่โยนลงไปในน้ำเพื่อให้ปลากิน เกิดเป็นประเพณีการกินบ๊ะจ่างและการแข่งเรือมังกร
[2] หมายถึง ความลับถูกเปิดเผย