ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 130 ค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับ
หนึ่งร้อยสามสิบ
ค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับ
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวเช่นนั้น เธอไม่สบายใจเท่าไรนัก ทว่าก็แอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ
เพราะตั้งแต่เธอย้ายออกมาจากเรือนฝั่งตะวันออกและเข้าไปอาศัยอยู่ในเรือนหลัก เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยหยิกแก้มเธออย่างใกล้ชิดเช่นนี้ และเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เธอจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังคงแสร้งทำสีหน้าโกรธเคือง ยกมือขึ้นมาปัดมือเสวี่ยหยวนจิ้งที่หยิกแก้มของตนออกไป และเอ่ยด้วยความโมโห “เหตุใดเจ้าถึงว่าข้าโง่อยู่เรื่อย หากข้าโง่จริงๆ ร้านซู่ยวี่เซวียนจะเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้อย่างไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองใบหน้าบูดบึ้งของเด็กสาวด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวออกมา “ใช่ๆ เยว่เอ๋อร์ของข้าฉลาดที่สุดแล้ว พอใจหรือยัง”
คำพูดเช่นนี้ก็นับว่าเป็นคำชมได้หรือ ไม่ใช่พูดประชดประชันใช่หรือไม่ เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งต้องยอมจำนนในทันที
เมื่อพยุงเด็กสาวขึ้นไปในรถม้าแล้ว เขาจึงตามขึ้นไปบ้าง จากนั้นไม่นานก็เอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่“ข้าสืบเรื่องฐานะของท่านผู้เฒ่าอูตั้งแต่แรกแล้ว บรรพบุรุษของเขาเคยเป็นจือเซี่ยน[1] มาก่อน ที่ดินเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติของตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่ตั้งของเรือนนับว่าสภาพแวดล้อมไม่เลว ลูกสาวของเขาแต่งงานกับลูกชายของหลี่เจิ้ง[2] ขุนนางตำแหน่งหลี่เจิ้งนั้นไม่มีทางสนใจครอบครัวฐานะต่ำต้อยหรือมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ท่านผู้เฒ่าอูไม่ได้บอกว่าชีวิตของหลานสาวเขาเป็นอย่างไร เหตุใดถึงอยากมาช่วยเหลือข้างกายข้าและเจ้า เกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น”
“ข้าเห็นว่าแม่นางอาซิ่วดูเป็นคนดี แต่ตามที่เจ้ากล่าวมา เหมือนเจ้าคิดว่านางมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ ข้าว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนิสัยชอบสงสัยของเจ้าที่ไม่ยอมเชื่อใครง่ายๆ มากกว่า”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนใจอ่อน ต่อให้เคยโดนทำร้าย แต่ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ยังเชื่อในความงดงามของสิ่งต่างๆ รอบกายเสมอ ใช้ชีวิตทุกวันด้วยการมองทุกอย่างในแง่ดีและร่าเริง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่มี
เขาเป็นคนผูกพยาบาท มิใช่คนที่จะปล่อยวางความเกลียดชังได้ง่ายๆ ต่อให้เปลือกนอกของเขาจะอบอุ่นหรือถ่อมตนเพียงใด แต่ก้นบึ้งของหัวใจยังคงดำมืดและเย็นชา หากไม่มีเสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างกายตลอดเวลา เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นคนเช่นไร
แทนที่จะบอกว่าเสวี่ยเจียเยว่พึ่งพาอาศัยเขา เคยชินกับการมีเขาอยู่ข้างกาย มิสู้บอกว่าเขาไปจากอีกฝ่ายไม่ได้จะดีกว่า เด็กสาวคือความอบอุ่นและที่ยึดมั่นหนึ่งเดียวในหัวใจเขา
เขาก้มลงจูบเบาๆ บนพวงแก้มที่เนียนนุ่มของเสวี่ยเจียเยว่อย่างห้ามใจไม่อยู่ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ เยว่เอ๋อร์ของข้าดีที่สุดแล้ว เป็นข้าไม่ดีเอง ข้ามันเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้ใครมารบกวนพวกเราสองคน ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้แม่นางอาซิ่วผู้นั้นมาช่วยงานข้างกายข้าและเจ้า”
เจตนาที่แท้จริงของแม่นางนาม ‘อาซิ่ว’ คือสิ่งใดนั้นเขาไม่อยากรู้ แต่เพื่อดับไฟเสียแต่ต้นลม เขาจะไม่ให้โอกาสใดๆ แก่นาง
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าปากของเสวี่ยหยวนจิ้งหวานเหมือนทาน้ำผึ้งก็ไม่ปาน คำพูดของเขาสามารถปลอบโยนให้คนดีใจ ในขณะเดียวกันก็เย้าแหย่ให้เขินอาย ช่างไม่เข้ากับท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเลยสักนิด เกรงว่าหากเธอพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงระเรื่อ หัวใจสั่นไหวระรัว ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยวาจาใด
เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้เย้าแหย่แม่นางน้อยอีก จากนี้ยังมีเวลาอีกมาก จะรวบรัดจนเกินไปไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไปถึงจะดี
ในที่สุดรถม้าก็วิ่งมาจนถึงหน้าประตูลานเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งนำกระสอบพริกสามใบใหญ่เข้าไปเก็บไว้ในเรือนฝั่งตะวันออก ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็วุ่นอยู่กับงานของตัวเอง
ยายของเธอในภพก่อนชอบกินอาหารที่มีรสชาติอร่อยและรักความสะอาด ไม่ว่าสิ่งใดท่านก็ชอบทำด้วยตัวเอง ด้วยความที่เธอได้เห็นยายทำอาหารเป็นประจำ เสวี่ยเจียเยว่จึงติดนิสัยพิถีพิถันมาจากยายของเธอ
อย่างเช่นน้ำมันพริกเผานี้ ยายของเธอก็ทำด้วยตัวเอง เสวี่ยเจียเยว่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ หลายครา แต่ยังไม่ได้ลงมือทำสักครั้ง อีกทั้งในภพนี้ พริกในปีนี้เก็บเกี่ยวได้ไม่มากนัก เธอจึงไม่กล้าลงมือทำในปริมาณมาก เพียงกำมันออกมาสองกำเพื่อลองทำดูก่อน
เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้เตรียมวัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำมันพริกเผาเอาไว้ ทั้งพริกไทยเสฉวน ขิง โป๊ยกั๊ก[3] อบเชย และงาขาว
เธอนำพริกแดงแห้งกับพริกไทยเสฉวนมาคั่วเข้าด้วยกัน จากนั้นบดให้กลายเป็นผง เพิ่มเกลือ โรยงาขาว และวางพักทิ้งไว้ ขั้นตอนต่อไปคือเทน้ำมันลงในกระทะ และนำเครื่องเทศอื่นๆ ใส่ลงไป จากนั้นก็ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อน
เมื่อรอจนน้ำมันร้อนแล้ว จึงตักเครื่องเทศทั้งหมดขึ้นมา และค่อยๆ เทน้ำมันลงไปในผงพริกที่บดก่อนหน้านี้ เพียงเท่านี้วิธีการทำน้ำมันพริกเผาก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น สามารถใช้เป็นเครื่องปรุงได้แล้ว
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะเผ็ดหรือไม่ เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาจุ่มลงไปในน้ำมันพริกเผาและยกขึ้นชิมดูครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป เธอก็ยืนนิ่งขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น
เมื่อเธออยากทำอะไร เสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่มารบกวน เพียงยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมานั่งใต้ชายคาเรือน และหยิบตำราสักเล่มออกมาอ่าน เขาจะเข้ามาอีกครั้งหากเธอต้องการความช่วยเหลือ
เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็กำพริกหนึ่งกำมือและเครื่องเทศจำนวนหนึ่งออกมา เธออยากจะทำน้ำมันพริกเผาอีกครั้ง และแน่นอนว่าสัดส่วนเครื่องเทศนั้นจะเปลี่ยนจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย
เป็นเช่นนี้อยู่สี่ครั้ง ในที่สุดรอบนี้เธอก็พอใจเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่ถือโถใบเล็กใส่น้ำมันพริกเผาที่เพิ่งทำเสร็จด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอ่านตำราด้วยท่าทางอ่อนโยนและสง่างามเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเกิดความคิดมิดีมิร้ายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เธอหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักน้ำมันพริกเผาที่เหลืออยู่ในกระทะมาครึ่งช้อน ก่อนจะเดินไปกล่าวกับชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ มาเจ้าค่ะ ข้าจะให้ท่านลองชิมของดี” คำเรียกขานก็เปลี่ยนกลับมาสนิทสนมเช่นเคย
เสวี่ยหยวนจิ้งมองน้ำมันที่เต็มไปด้วยพริกสีแดงฉาน แม้ว่าเขาไม่เคยชิมของสิ่งนี้มาก่อน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเสวี่ยเจียเยว่แล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหากชิมไปแล้วรสชาติต้องแย่มากแน่นอน
แล้วจะสำคัญอันใด ตราบใดที่อีกฝ่ายมีความสุขก็เพียงพอแล้ว และเขาเชื่อว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางทำร้ายเขาได้
ดังนั้นเขาจึงยิ้มบางอย่างอบอุ่น ก่อนจะอ้าปากกลืนน้ำมันที่เต็มไปด้วยพริกครึ่งช้อนนั้นลงไป
ปลายลิ้นของเขารับรู้ถึงความเผ็ดได้ในทันที ก่อนจะรู้สึกชาเล็กน้อย และไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ได้อีกต่อไป เขารีบคายน้ำมันรสเผ็ดออกมาจากปากอย่างรวดเร็ว และเดินไปหาน้ำดื่มจนทั่วเรือน
เสวี่ยเจียเยว่มองตามเขาพร้อมกับหัวเราะจนเจ็บหน้าอก ทั้งยังยกมือขึ้นเท้าสะเอว ขณะที่น้ำตาไหลออกมา
เสวี่ยหยวนจิ้งใช้น้ำบ้วนปากจนรู้สึกว่าความเผ็ดไม่รุนแรงเท่าเมื่อครู่แล้ว เขาจึงหันกลับไปมองท่าทางหัวเราะอย่างชอบใจของเสวี่ยเจียเยว่ ทันใดนั้นใบหูของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
เขาอยากให้เสวี่ยเจียเยว่อับอายเช่นนี้บ้าง จึงเดินไปจับมืออีกฝ่ายแล้วจูงเข้าไปในเรือน จากนั้นไม่รอให้เด็กสาวได้เปิดปากเอ่ยคำใด เขาก็เอื้อมมือไปจับใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่และก้มลงบรรจงจูบริมฝีปากแดงเรื่อทันที
ทุกครั้งจูบของเขาจะรวดเร็วเช่นนี้เสมอ ไม่เคยให้สุ้มให้เสียง อย่าว่าแต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ระวังตัวเลย ต่อให้เธอระวังตัวก็ไร้ประโยชน์ เพราะแรงเธอจะไปสู้แรงของเขาได้เยี่ยงไร
เสวี่ยเจียเยว่ถูกชายหนุ่มจับใบหน้าไว้เช่นนี้ และกวาดลิ้นไปทั่วโพรงปากของเธอ
เมื่อครู่นี้เธอแกล้งให้เสวี่ยหยวนจิ้งชิมน้ำมันพริกเผา แม้ว่าเขาจะคายออกมาทั้งหมดในทันที ตามด้วยใช้น้ำบ้วนปาก แต่ตอนนี้ก็ยังมีความเผ็ดอยู่ในปากของเขา เมื่อลิ้นเขาตวัดไปทั่วโพรงปากของเธอ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกได้ถึงรสชาติเผ็ดจัดจ้าน
นอกจากกลิ่นพริกแล้ว ยังมีกลิ่นหอมของงา และกลิ่นหอมบนตัวของเสวี่ยหยวนจิ้ง…
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่ารสจูบของชายหนุ่มทำให้เธอสับสน พานให้สติของเธอเลือนราง แล้วเหตุใดเธอถึงไม่ต่อต้านสักนิดเล่า อีกอย่าง… เธอเองก็ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยมือเมื่อไร รู้เพียงว่าเมื่อได้สติก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว
ใบหน้าของเธอแดงเรื่อ เมื่อดิ้นรนขัดขืนออกมาจากอ้อมกอดของชายหนุ่มได้แล้ว ก็รีบวิ่งออกไปจากเรือนโดยไม่หันกลับไปมองเขาอีก
เสวี่ยหยวนจิ้งตามออกไป จึงเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่วิ่งเข้าไปในเรือนหลักและปิดประตูเรือนในทันที
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ และไม่ได้ตามอีกฝ่ายไป
การจูบเมื่อครู่นี้ราบรื่นยิ่งนัก หลังจากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ได้ร้องไห้โวยวายเหมือนหลายครั้งก่อน เพียงหน้าแดงเรื่อและวิ่งจากไปเท่านั้น คงเป็นเพราะอายที่จะเผชิญหน้ากับเขา
กระนั้นเป็นเช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีขั้นตอนทั้งนั้น
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาในเรือนหลักแล้ว เธอปิดประตูในทันที และหันหลังพิงประตูด้วยหัวใจที่สั่นไหวระรัว
จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปิดหน้าที่ร้อนผ่าวของตน เพราะอับอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
แต่ในความเขินอายนั้นยังมีสัมผัสแห่งความหวาน ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองกำลังเดินอยู่บนน้ำแข็งชั้นบางๆ
จนกระทั่งตกเย็นเสวี่ยเจียเยว่ถึงได้เปิดประตูเรือนออกมา
ตอนนี้เสี่ยวฉานอยู่ช่วยงานในร้านซู่ยวี่เซวียน วันนี้งานในร้านค่อนข้างยุ่ง นางจึงสั่งให้หูจื่อมาบอกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าจะกลับมาทำอาหารมื้อเย็นไม่ทัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงมาเรียกเสวี่ยเจียเยว่ไปกินข้าว
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงก้มหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาเท่าไรนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเดินออกไปจากหน้าเรือนหลัก
อาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อจูงมือเสวี่ยเจียเยว่มาถึงเขาก็กดไหล่เด็กสาวให้นั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับหยิบตะเกียบให้
เสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดไม่จาและก้มหน้าก้มตากินข้าวเพียงเท่านั้น ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ไม่พูดเช่นกัน ทั้งสองนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ
เมื่อพวกเขากินเสร็จแล้ว ชายหนุ่มนำถ้วยไปล้างให้เรียบร้อย พอเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังหมุนตัวจะเดินกลับเรือนหลัก เขาจึงเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“เจ้ากลับมาก่อน”
เท้าของเสวี่ยเจียเยว่หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองเขาพร้อมเอ่ยถาม “มีอันใดหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ ท้องฟ้าในยามใกล้มืดเป็นสีน้ำเงิน และเริ่มมองเห็นดาวเล็กน้อย ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลายืนอยู่ภายใต้แสงอันอบอุ่นดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
[1] ตำแหน่งขุนนางในระดับท้องถิ่น
[2] ตำแหน่งขุนนางที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลราษฎรและเรื่องการจ่ายภาษี
[3] หรือเรียกอีกอย่างว่าจันทน์แปดกลีบ เป็นเครื่องเทศที่มีผลเป็นรูปดาว ลำต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน