ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 134 จิตใจอันโลภมาก
หนึ่งร้อยสามสิบสี่
จิตใจอันโลภมาก
แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะกล่าวประโยคนั้นด้วยรอยยิ้ม แต่อันที่จริงในใจของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แววตาที่มองไปยังเสวี่ยเจียเยว่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจในทันที ท่าทางเธอราวกับกวางน้อยที่หลงทางในป่า ทำให้คนที่ได้มองอยากพากลับเรือนไปด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงบรรจงจูบริมฝีปากนุ่มแดงเรื่อไม่หยุด เสียงต่ำแหบพร่าราวกับเสือพร้อมที่จะขย้ำเหยื่อแล้วก็ไม่ปาน
“เย่วเอ๋อร์ แต่งงานกับข้าได้หรือไม่”
เสียงนั้นราวกับนิ้วปัดผ่านพิณเจ็ดสายบรรเลงความโศกเศร้าที่เกินจะพรรณนา
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกตกตะลึง กระวนกระวาย และไม่สบายใจอยู่ไม่น้อย เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า
“แต่… แต่ว่า ข้า… ข้าเพิ่งอายุสิบสี่เอง ยังไม่คิดแต่งงานกับใครตอนนี้”
เธอยังสรรหาเหตุผลดีๆ กว่านี้ไม่ได้ ได้แต่พูดเช่นนี้ไปก่อน อันที่จริงแล้วเธอยังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะแต่งงานกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะมักจะคิดว่าการรักกับเขานั้นคือเรื่องหนึ่ง ส่วนการแต่งงานกับเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงักและไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก ไม่นานเขาก็กัดริมฝีปากล่างของเสวี่ยเจียเยว่อย่างรุนแรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นอันร้อนระอุเลียบริเวณที่ตนกัดอย่างอ่อนโยน เลียอยู่ครู่หนึ่งก็กัดอีกครั้ง แล้วเลียบริเวณนั้นอีกครั้ง…
ราวกับว่าใจเขากำลังสับสน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเจ็บปวด แต่กลับไม่ได้ขัดขืนใดๆ และไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ น้ำตายังคงไหลพรากออกมาอย่างต่อเนื่อง กระนั้นเธอยังปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไป
เป็นเช่นนี้อยู่นาน ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยอมปล่อยเสวี่ยเจียเยว่ และซุกหน้าลงข้างลำคอเรียวของอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวอันใด
เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนระอุของเขาซึ่งรดต้นคอของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้รู้สึกจั๊กจี้และคันยุบยิบ
ร่างของเธอแข็งทื่อไปชั่วขณะ หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยถามเขาอย่างระมัดระวัง “ท่านพี่ ท่านไม่มีความสุขหรือเจ้าคะ”
แม้จะรู้สึกผิดในใจ ทว่าตอนนี้เธอยังไม่อยากแต่งงานกับเขาจริงๆ
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าด้วยนิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้ง หากพวกเขาแต่งงานกัน เกรงว่าเขาคงไม่ยอมให้เธอทำกิจการใดๆ ต่อแน่ เธอเพิ่งได้รับรู้ถึงคำว่า ‘กิจการกำลังไปได้ดี’ จึงไม่อยากจะรีบวางมือในเร็วๆ นี้
“ไม่” เสวี่ยหยวนจิ้งกอดอกครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าตัวเสวี่ยเจียเยว่เข้ามากอดเอาไว้แน่นกว่าเดิม น้ำเสียงนั้นฟังดูกลัดกลุ้มยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรได้อย่างไร เธอจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “รอให้ข้าถึงวัยปักปิ่นก่อน ค่อยแต่งงานกับท่านดีหรือไม่”
เธอไม่อยากเห็นเขาเป็นทุกข์เช่นนี้
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็หัวเราะเสียงเบา
ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังงุนงงว่าเขาหัวเราะอะไรอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาราวกับเป็นเสียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็เห็นว่าเขาเงยหน้าขึ้นมาจากลำคอของเธอ และมองมาด้วยแววตาลึกซึ้ง
“เยว่เอ๋อร์ อยู่ต่อหน้าข้าไม่ต้องระมัดระวังเช่นนั้นก็ได้ ทั้งชีวิตข้าเป็นของเจ้า ขอเพียงเจ้าเอ่ยออกมา ข้าพร้อมยอมทำตามเจ้าทุกอย่าง ไม่มีทางฝืนใจเจ้า ข้าจะรอเจ้าตลอดไป แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าอยากแต่งงานกับข้าเพราะรักข้า มิใช่อยากแต่งกับข้าเพราะกลัวข้าไม่มีความสุข เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจดี เพราะความรักความห่วงใยทำให้พวกเขาทั้งสองประคับประคองกันมาได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่ห่วงใยความรู้สึกของเขามาก กังวลมาโดยตลอดว่าเขาจะไม่มีความสุข และความสัมพันธ์ของพวกเขานั้น แรกเริ่มเขาใช้ประโยชน์จากความอ่อนโยนที่เสวี่ยเจียเยว่มีให้แล้วขยับขึ้นมาทีละนิด จนทนไม่ไหวและขอแต่งงานอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวไม่มีเวลาได้เตรียมตัวใดๆ
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ตกลงว่าจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนสามี เขาดีใจจนแทบคลั่ง แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่เคยรู้จักพอ เสวี่ยหยวนจิ้งเคยคิดว่าขอเพียงเสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลงเรื่องนี้เขาก็พอใจแล้ว แต่เมื่อนานวันเข้า… ชายหนุ่มกลับโลภมากอยากให้อีกฝ่ายรักเขาจริงๆ ไม่ใช่อยู่กับเขาเพราะความเคยชินหรือเพราะพึ่งพาได้
เขาชอบยามที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำ อยู่ต่อหน้าเขาอีกฝ่ายควรทำสิ่งที่ตนอยากทำโดยไม่ต้องเกรงกลัว
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าอย่างงุนงง เธอไม่เคยมีคนรักมาก่อน และคิดว่าการที่ตนอยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนี้คือความรัก แต่เขากลับคิดว่าไม่ใช่…
…
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ทำอะไรอีก เพียงกอดเสวี่ยเจียเยว่ที่ถูกผ้าห่มพันตัวเอาไว้ เกยคางบนศีรษะของอีกฝ่ายและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสวี่ยเจียเยว่นอนหลับไม่สนิทมาหลายวัน วันนี้ก็ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งรบกวนกลางดึก ตอนนี้จึงรู้สึกง่วงงุนอย่างอดไม่ได้ ช่วงแรกที่ชายหนุ่มพูดด้วย เธอยังพอตอบกลับได้เป็นครั้งคราว แต่ในที่สุดหนังตาก็หนักอึ้งจนทนไม่ไหว และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ว่าศีรษะเล็กของเสวี่ยเจียเยว่กำลังพิงแขนของเขาเบาๆ เมื่อเขาก้มหน้าลงมอง ก็เห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายปิดสนิท เด็กสาวหลับไปแล้ว แต่ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ คงเป็นเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักเมื่อครู่นี้ อีกทั้งผมเผ้ายังยุ่งเหยิง ซึ่งคงเป็นเพราะดิ้นรนขัดขืนนั่นเอง
เมื่อผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาแล้ว ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้ ดูเหมือนว่าในใจลึกๆ ของเด็กสาวยังไว้ใจเขาไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะไร้เสียงท่ามกลางแสงสีเทาขาวในช่วงเวลาใกล้รุ่งสาง จากนั้นเขาก็วางตัวเสวี่ยเจียเยว่ลงบนเตียงอย่างเบามือเพื่อให้นอนได้สบายขึ้น ส่วนเขาก็ยังไม่จากไป แต่กลับถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้าไป
ทั้งสองนอนหนุนหมอนใบเดียวกัน เสียงเมล็ดเฉียวไม่[1] ด้านในหมอนดังขึ้นเบาๆ ตามการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เสวี่ยหยวนจิ้งมองเสวี่ยเจียเยว่อย่างเงียบๆ ขณะที่บนท้องฟ้านอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างขึ้น จากนั้นเขาก็กุมมือบอบบางพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และหลับตานอนอย่างสบายใจ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าท้องฟ้านอกหน้าต่างสว่างไสว ดูท่าน่าจะสายได้ประมาณหนึ่งแล้ว
เธออุทานเสียงหลง จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากที่นอน ไม่นานนักเธอก็สังเกตเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนอนอยู่ข้างๆ ตน ทำให้รู้สึกตะลึงงันทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งตื่นนานแล้ว แต่ไม่คิดจะปลุกเสวี่ยเจียเยว่สักนิด เมื่อเห็นท่าทางตะลึงงันของเด็กสาว จึงยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่มอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าตกใจขนาดนี้ไปไยกัน ต่อไปเจ้ากับข้าก็ต้องแต่งงานกัน พอเจ้าตื่นขึ้นมา คนแรกที่เจ้าจะเห็นก็คือข้า”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่หายตะลึงงัน เรื่องเมื่อคืนพลันหวนกลับเข้ามาในหัว ส่งผลให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยกลบเกลื่อน “จบสิ้นแล้ว วันนี้ข้านัดเจรจากับเถ้าแก่ลู่ ตอนนี้มันกี่ยามแล้ว สายแล้วกระมัง”
ในขณะที่กล่าวนั้น เธอก็ยื่นมือข้ามตัวเสวี่ยหยวนจิ้งเพื่อจะลุกจากเตียง แต่ชายหนุ่มกลับยื่นแขนที่ยาวกว่าออกมาโอบเอวบางเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ตัวของเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เถ้าแก่ลู่ พ่อของลู่ลี่เซวียนน่ะหรือ” สีหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งขรึม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเบาๆ “เถ้าแก่ลู่ส่งคนมาบอกข้าเมื่อวานนี้ว่า เขาเพิ่งซื้อผ้าเข้ามาใหม่ บอกให้ข้าเข้าไปดู อีกอย่าง… เดิมทีตระกูลเขาก็เปิดร้านน้ำชา แต่เขาอยากเปลี่ยนจากร้านน้ำชาเป็นร้านอาหาร ทำเพียงอาหารเผ็ดๆ เท่านั้น เขาจึงอยากถามเรื่องสูตรอาหารจากข้า ไม่เพียงเท่านั้น เขายังอยากจองพริกในปีนี้จากข้าจำนวนหนึ่ง”
ตอนนั้นเถ้าแก่ลู่เคยส่งแม่สื่อมาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ แม้จะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธไปแล้ว และเขายังไม่สบายใจเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อค้า ทั้งยังเป็นพ่อค้าที่เฉลียวฉลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ยุติการร่วมทำการค้าเพราะเรื่องนั้น ในทางกลับกัน เมื่อเขารู้ว่าอาหารที่ได้รับความนิยมในเมืองผิงหยางตอนนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็คิดอยากจะเปลี่ยนร้านน้ำชาเป็นร้านอาหาร ด้วยเหตุนี้… สูตรอาหารของเสวี่ยเจียเยว่และพริกเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่คบค้าสมาคมกับคนตระกูลลู่ และแน่นอนว่าเหตุผลหลักยังเป็นลู่ลี่เซวียน
ใครก็ตามที่เคยชอบเสวี่ยเจียเยว่มาก่อน เขาไม่ต้องการให้เด็กสาวคบค้าสมาคมกับพวกเขาอีก หรือต่อให้เป็นบิดาของลู่ลี่เซวียนที่ไม่ได้คิดอะไรในแง่นั้นก็ไม่ได้ หากตอนเจรจานั้นลู่ลี่เซวียนอยู่ด้วยเล่า
แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่ให้ความสำคัญแก่กิจการของตน หากเขาโต้แย้งตอนนี้อาจทำให้อีกฝ่ายโกรธเอาได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ตอนกินข้าวมื้อเย็นเมื่อวานนี้ เจ้าบอกว่าไม่ได้ไปร้านตัดชุดทั้งวันไม่ใช่หรือ อยากไปดูหรือไม่ ถ้าเจ้าไปที่ร้านตอนนี้ เรื่องของเถ้าแก่ลู่ ข้าจะไปพบเขาแทนเจ้าเอง”
เสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ได้อย่างไร เขาใช้อำนาจกับเธอเช่นนี้มาจนเคยตัว ทว่า…
“ท่านทำได้หรือ” เมื่อคิดดูครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยถามอย่างลังเล
มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งยกขึ้น หางตาของเขาเหล่มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ”
ตอนนี้เขาอยู่ในท่าสบายๆ ศีรษะพิงหัวเตียง คอเสื้อสีขาวแหวกออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวเนียนและไหปลาร้าที่เด่นชัด
ไหปลาร้าของชายหนุ่มดูงดงาม และท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับปีศาจที่ซ่อนเร้นความชั่วร้ายเอาไว้ก็ไม่ปาน แทบทำให้ผู้คนสับสนได้…
เสวี่ยเจียเยว่กลืนน้ำลายเงียบๆ จากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน ขณะเอ่ยออกมาจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่… ไม่ใช่”
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเสวี่ยหยวนจิ้งจะเย็นชาและนิ่งขรึมอยู่เสมอ ราวกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ร่างของเขาแผ่กลิ่นอายไม่น่าเข้าใกล้ออกมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ท่าทีเหล่านั้นกลับหายไป
ท่าทีอย่างนี้ รวมทั้งแววตาและรอยยิ้มเช่นนี้ ราวกับว่าเขากำลังเย้าแหย่เธอ…
เสวี่ยเจียเยว่ยอมรับว่าระดับความอดทนของเธอนั้นต่ำเกินไป ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย
“ในเมื่อเชื่อใจข้า เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยให้ข้าจัดการ” เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเด็กสาวเบือนหน้าหนี จึงยื่นมือขวาไปจับคางของอีกฝ่ายบังคับให้หันมามองหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำเรื่องนี้ผิดพลาดแน่นอน”
ในตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นคือ ‘ช่างเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์จริงๆ’
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นอีก และคอยหลบสายตาเขาด้วยการมองไปทางอื่นก่อนจะตอบว่า“อ้อ” ด้วยเสียงแผ่วเบา
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนี้ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่เคยชมเขาว่าหน้าตาหล่อเหลา แม้ว่าเขาจะดีใจ แต่ก็ไม่เคยคิดเป็นอื่น ทว่าตอนนี้เขาพบว่าตนสามารถใช้ประโยชน์จากรูปลักษณ์นั้นทำอะไรบางอย่างได้…
หลังจากคิดได้ดังนั้น อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก จึงใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากแดงเรื่อของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าเด็กโง่”
น้ำเสียงนี้ฟังดูอ่อนโยนจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ทำให้หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นแรงอย่างกะทันหันราวกับกวางน้อยก็ไม่ปาน ใบหน้าของเธอยิ่งแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
[1] คือเมล็ดบัควีต นิยมนำมาทำเป็นไส้หมอนเพื่อสุขภาพ