ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 136 เปลี่ยนแผน
หนึ่งร้อยสามสิบหก
เปลี่ยนแผน
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเดินเข้าไปหลังม่าน แต่เธอก็ยังยืนฟังบทสนทนาของเสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้อยู่เช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเธอได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ แต่เธอก็รู้ว่าประโยคนี้เขาพูดกับตน
เธอลังเลอยู่ครู่ จากนั้นก็เปิดม่านแล้วก้มหน้าเดินไปหาชายหนุ่มอย่างช้าๆ
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนขี้หวง หากเห็นว่ามีชายอื่นเข้าใกล้เธอเขาจะไม่พอใจทันที ถ้าครั้งนี้เขาได้ยินถ้อยคำที่ตันหงอี้กล่าวกับเธอ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
ความจริงเสวี่ยเจียเยว่เตรียมใจรับความโกรธของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้แล้ว จึงเดินไปหาเขาด้วยท่าทางรู้สึกผิด คอตก มุมปากคว่ำลง และคิดในใจว่าหากชายหนุ่มด่าออกมา เธอจะร้องไห้ให้เขาดู จากนั้นจึงพูดออดอ้อนเขา ถ้าไม่พูดอะไรเขาก็ไม่ใจอ่อนเป็นแน่
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่เธอคิดแม้แต่น้อย เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าได้เจรจากับเถ้าแก่ลู่แล้ว เรื่องสูตรอาหารของเจ้า สูตรไหนที่มีคนอื่นรู้แล้วข้าปล่อยผ่านไป แต่สูตรไหนที่ยังไม่มีใครรู้ ข้าก็เรียกเก็บเงินจากเขา”
ในขณะที่กล่าวนั้น เขาหยิบตั๋วเงินสองสามใบออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนมือของเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “สิ่งนี้คงทำให้เจ้าเชื่อใจข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของเขาดูอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์อันอ่อนโยน ไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย
แบบนี้ไม่เหมือนเขาในอดีตเลย…
เสวี่ยเจียเยว่ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านโกรธหรือไม่”
“ข้าจะโกรธด้วยเหตุอันใด” เสวี่ยหยวนจิ้งเลิกคิ้ว มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มในเวลาเดียวกัน “เจ้าทำผิดอะไรถึงจะทำให้ข้าโกรธ หรือว่าในใจเจ้า ข้าคือประทัด อะไรนิดอะไรหน่อยก็พร้อมจะระเบิด”
แม้ว่าเขาจะโกรธไม่น้อยในขณะที่กล่าวประโยคนี้ออกมา แต่เขาก็พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้
เหตุใดจะไม่โกรธเล่า ในเมื่อมาพบเสวี่ยเจียเยว่นั่งตรงข้ามกับตันหงอี้เช่นนั้น และอีกฝ่ายยังกล่าวว่าเด็กสาวโกหก ทำให้เขาแทบจะพุ่งเข้าไปชกตันหงอี้ กระนั้นก็ต้องฝืนทนข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
ชายหนุ่มรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัวเขามากเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายกลัว อีกอย่าง… เขาไม่อยากเป็นคนร้ายในสายตาของเสวี่ยเจียเยว่ ดังนั้นไม่ว่าในใจของเขาจะโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ แต่ก็จะไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
พอเห็นสีหน้าของเสวี่ยเจียเยว่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาก็ยื่นมือไปจับมือเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม“เจ้าทำธุระในร้านเสร็จหมดแล้วหรือยัง เจ้ามากับข้า พวกเราจะไปพบป้าหยางกัน ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับนาง”
หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเสวี่ยเจียเยว่ก็ถูกเขาโน้มน้าวสำเร็จ ทิ้งเรื่องเมื่อครู่นี้ไปสิ้น ก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านมีเรื่องอันใดอยากพูดกับป้าหยางหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้แต่ยิ้ม ทว่าไม่กล่าวคำใด จากนั้นจึงจับมือเด็กสาวเดินไปตลอดทาง
เมื่อพวกเขามาถึงเรือนของป้าหยาง สาวใช้มารายงานว่าอีกประเดี๋ยวป้าหยางจะออกมา
ป้าหยางสวมเสื้ออ๋าวจื่อ99 สีอำพันลายดอกไม้ มวยผมปักด้วยปิ่นรูปดอกเบญจมาศสีทองหนึ่งอัน ดูเหมือนนางกำลังจะออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ลมอะไรพัดพวกเจ้าสองพี่น้องมาที่นี่ได้” จากนั้นนางสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชามา
เสวี่ยหยวนจิ้งรีบเอ่ยห้ามนางทันที “ไม่เป็นไรขอรับ” ก่อนจะถามนางอย่างสุภาพ “ป้าหยางกำลังจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ”
ป้าหยางพยักหน้า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินเฉียนส่งคนมาบอกว่าเรือนของนางเพิ่งส่งสาวใช้อายุมากหลายคนออกไป ตอนนี้สาวใช้ไม่พอ จึงขอให้ข้าหาคนดีๆ ส่งไปให้นาง ข้าคิดว่าจะออกไปหาข้างนอกสักหน่อย ดูว่าพอมีคนที่เหมาะสมหรือไม่”
จากนั้นนางคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กิจการร้านซู่ยวี่เซวียนของพวกเจ้าไปได้ดีขนาดนี้ มีร้านตัดชุดร้านไหนสามารถเป็นคู่แข่งกับพวกเจ้าได้บ้าง แม้แต่ร้านอี้ชิ่งเหอก็ยังสู้ไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกเจ้าสามารถทำกำไรได้มาก ในมือก็มีเงินใช้ไม่ขาด เหตุใดจนกระทั่งตอนนี้ถึงไม่เห็นพวกเจ้าหาสาวใช้ไว้ทำงานในเรือนสักคนสองคน แต่กลับทำทุกอย่างด้วยตัวเองเช่นนี้ หรือจะให้ข้าช่วยหาสาวใช้ดีๆ ให้พวกเจ้าด้วย เพื่อชีวิตของพวกเจ้าจะได้สบายขึ้นมาบ้าง”
“ขอบคุณในความหวังดีของป้าหยางขอรับ” เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง “แต่ข้าและเยว่เอ๋อร์ไม่ชอบให้คนนอกอยู่ข้างกาย ดังนั้นเรื่องนี้ช่างมันเถอะขอรับ”
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกับป้าหยางได้ครู่หนึ่ง เสวี่ยหยวนจิ้งก็บอกเจตนาที่เขามาในวันนี้“ช่วงนี้พี่ใหญ่และพี่รองว่างหรือไม่ขอรับ ข้าอยากขอให้พวกเขาทั้งสองช่วยข้าหนึ่งเรื่อง ส่วนค่าจ้างนั้นข้าจะจ่ายให้เป็นรายวันขอรับ”
ลูกชายทั้งสองคนของป้าหยางไม่ได้ร่ำเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก พวกเขาจะรับจ้างทำงานรายวัน บางวันมี บางวันก็ไม่มี เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยว่าจะจ้างพวกเขาทั้งสองทำงาน ป้าหยางจึงรีบเอ่ยถามทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบนาง “ป้าหยางเองก็น่าจะรู้ ข้ากับเยว่เอ๋อร์เช่าที่ดินไว้ที่ชานเมืองเพื่อปลูกพริก ตอนนี้พริกก็เริ่มสุกแล้ว ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก จึงอยากจะขอให้พี่ใหญ่และพี่รองเรียกคนที่ไว้ใจได้สักสองสามคนไปช่วยเฝ้าพริกทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน แม้ว่าจะลำบากหน่อย แต่ป้าหยางวางใจได้ ค่าจ้างนั้นข้าและเยว่เอ๋อร์จะไม่เอาเปรียบพี่ชายทั้งสองเด็ดขาด”
ป้าหยางรู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนใจกว้าง นางจึงตอบรับในทันที จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็บอกว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะไปดูพริกกับลูกชายทั้งสองคนของป้าหยาง
เมื่อพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็บอกว่าจะไม่รบกวนป้าหยางแล้ว ก่อนจะลุกขึ้นขอตัวลา เสวี่ยเจียเยว่ก็ลุกขึ้นขอตัวลาเช่นเดียวกัน
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนช่างพูดในยามปกติ ยิ่งกับป้าหยางที่เป็นมารดาบุญธรรมแล้ว เด็กสาวจะชอบพูดคุยด้วยไม่หยุด ทว่าวันนี้กลับดูนิ่งขรึม
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบแน่นด้วยมือที่มองไม่เห็น ทำให้รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
กระนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าแม้แต่น้อย กลับเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้มเมื่อออกมาจากประตูเรือนของป้าหยาง “ไยเจ้าไม่ถามข้าเล่า ว่าเหตุใดข้าถึงได้ขอให้พี่ใหญ่กับพี่รองไปเฝ้าพริกให้พวกเรา”
เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่ประหลาดใจมากที่ได้ยินเขาเอ่ยเรื่องนี้กับป้าหยาง แต่เมื่อคิดดูแล้วเธอก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“ท่านไม่เชื่อใจท่านผู้เฒ่าอูหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ขอให้ชายชราช่วยเฝ้าพริกทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับขอให้คนอื่นไปเฝ้าอีก เธอจึงคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่เชื่อใจชายชรา
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า “วันนี้ตอนที่ข้าออกมาจากร้านของเถ้าแก่ลู่ เห็นลูกชายของท่านผู้เฒ่าอูเพิ่งเดินออกมาจากร้านอี้ชิ่งเหอ ในมือถือผ้าแพรหนึ่งห่อ จากนั้นก็เดินไปซื้อขนมที่ร้านกุ้ยเซียงโหลว สิ่งที่หยิบออกมานั้นเป็นก้อนทองทั้งหมด”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดคำใด แม้ว่าภูมิหลังของชายชราแซ่อูจะนับว่าไม่เลวนัก แต่ก็ไม่น่ามีเงินมากพอจะซื้อผ้าแพรหนึ่งห่อ หรือหยิบทองออกมาซื้อขนมได้ในคราวเดียว อีกอย่าง… ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นครอบครัวชาวไร่ชาวนา จะทำใจทำเช่นนั้นลงได้อย่างไร
ทว่าลูกชายของเขา…
เสวี่ยเจียเยว่คิดแล้วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งเฮือก
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูลานเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งก็เปิดประตูแล้วจูงมือเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปข้างใน ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตูไว้เช่นเดิม
ไม่เพียงเสี่ยวฉานเท่านั้นที่ไปช่วยทำงานในร้านซู่ยวี่เซวียน หูจื่อก็เข้าไปช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในร้านเช่นกัน ตอนนี้ในเรือนจึงไม่มีคนอื่นอยู่ มีเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งจูงมือเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในเรือนและให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กๆ จากนั้นก็ไปรินน้ำชาที่ห้องของตัวเอง
เมื่อเขายกถ้วยชาออกมา ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังก้มหน้าก้มตาใช้เท้าขวาเขี่ยหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งอย่างเหม่อลอย
เด็กสาวดูอึดอัด ไม่มีความสุข เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น เขารู้สึกเหมือนถูกดาบทิ่มแทงซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย
เขายืนนิ่งอยู่กับที่พลางมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตามืดมนพักใหญ่ ก่อนจะยกถ้วยชาเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
หลังจากเขาเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวแล้วกลับไม่ได้มอบถ้วยชาให้ในทันที เพียงวางไว้บนเก้าอี้ไม้ไผ่อีกตัวที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงคุกเข่าหนึ่งข้างลงต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ยกมือขึ้นเชยคางขาวเนียนบังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ขณะที่ชายหนุ่มเชยคางของเด็กสาวขึ้นนั้น เสวี่ยเจียเยว่กำลังคิดเรื่องต่างๆ นานา สีหน้าจึงยังคงดูเหม่อลอยดังเดิม
ในที่สุดเธอก็รับรู้ได้ว่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งจับคางของตนอยู่ จากนั้นเสียงที่ฟังไม่ออกว่าโกรธหรือมีความสุขก็ดังขึ้นข้างหูเธอ
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหตุใดถึงดูไม่มีความสุขเช่นนี้ เพราะตันหงอี้หรือไม่”
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองมา เธอก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ท่านพี่พูดอะไรเช่นนั้น จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ข้าไม่ได้สนิทกับเขานะเจ้าคะ”
แต่รอยยิ้มของเธอกลับดูไม่เต็มใจเท่าไรนัก ราวกับถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจอย่างไรอย่างนั้น เมื่อหายตื่นตระหนกแล้วเธอก็นึกอยากจะโต้แย้ง แต่จะหลบสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งได้อย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกอึดอัดไม่น้อย จึงจับคางของเสวี่ยเจียเยว่แรงขึ้นอย่างอดไม่ได้
ความจริงแล้วเขาพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้ว หากเป็นเช่นนี้ในอดีต เกรงว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องเหล่านั้นกับเสวี่ยเจียเยว่ได้
กระนั้นยามนี้ไฟแห่งความหึงหวงที่อยู่ในใจก็ทำท่าจะปะทุขึ้นมาให้ได้…
ในที่สุดเขาก็ชักมือกลับ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าครึ่งซีก ขนตางอนยาวหลุบลง พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“เยว่เอ๋อร์ หรือคนที่เจ้าชอบจริงๆ แล้วไม่ใช่ข้า แต่เป็นตันหงอี้”
เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนที่ชอบให้คนอื่นพูดจาไพเราะด้วยจึงจะยอมฟัง และเด็กสาวจะใจอ่อนได้ง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
เป็นจริงดังคาด เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงหลงกลเสวี่ยหยวนจิ้งในทันที
เธอร้อนใจมากจึงรีบคว้ามือขวาของเขาขึ้นมาจับใบหน้าของตน “ท่านพี่ ท่านพูดเหลวไหลอันใดกันเจ้าคะ ข้าจะชอบตันหงอี้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้ชอบเขาเจ้าค่ะ”
“เจ้าแค่เห็นข้าเสียใจ ดังนั้นจึงตั้งใจโกหกข้าเพื่อให้มันผ่านไปเท่านั้น” เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยการดูถูกตัวเองและจนปัญญา “หากเจ้าไม่ชอบตันหงอี้ เหตุใดหลังจากที่เขาจากไปแล้ว เจ้าถึงได้ดูกลัดกลุ้มใจถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าใจเจ้านั้นห่วงใยเขายิ่งนัก”
“ข้าไม่ได้ชอบเขา” เสวี่ยเจียเยว่รีบเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้ห่วงใยเขา เพียงแต่ข้า… เพียงแต่ข้าเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เหมือนจะเป็นเพราะว่าเสียใจจากเหตุการณ์ในอดีต ท่านพี่ ตอนนั้นท่านพูดตรงๆ กับเขาเช่นนั้น ข้า… ข้าทนไม่ได้ แต่ข้าไม่ได้ห่วงใยเขา ไม่ได้ชอบเขานะเจ้าคะ”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงดูเศร้าโศกขณะเอ่ยถามเสียงต่ำ “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่รีบพยักหน้าทันที “เป็นเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้มีใจให้เขาเลยสักนิด”
“เช่นนั้นแล้วเจ้ามีใจให้ผู้ใด” เสวี่ยหยวนจิ้งช้อนตามองเด็กสาว นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นคล้ายย้อมไปด้วยแสงอาทิตย์และน้ำทะเลก็ไม่ปาน ช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งนัก “มีใจให้ข้าหรือไม่ เยว่เอ๋อร์ไม่ชอบข้า ไม่รักข้าหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงัน รู้สึกว่าการที่เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเช่นนี้คล้ายกับปีศาจตนหนึ่ง เธอแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว
พวงแก้มทั้งสองข้างของเธอร้อนผ่าว สายตาก็ไม่กล้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง ได้แต่มองไปทางอื่น และไม่ได้ตอบคำถามของเขาด้วย
ชายหนุ่มจับคางของเด็กสาวบังคับให้มองมาที่เขาอีกครั้ง “เยว่เอ๋อร์ เจ้ารักข้าหรือไม่”
หากเป็นเมื่อก่อน แม้ว่าเขาจะเคยถามเช่นนี้ แต่ถ้าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบ เขาก็เพียงหัวเราะและปล่อยผ่านไป แต่ตอนนี้เขากลับรบเร้าให้เด็กสาวตอบให้ได้
เสวี่ยเจียเยว่อับจนหนทาง ได้แต่ตอบคำว่า ‘อือ’ อย่างอ้ำอึ้ง
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่พอใจที่อีกฝ่ายตอบเช่นนี้ จึงโน้มตัวไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวพร้อมกับมองเด็กสาวด้วยแววตาล้ำลึก
“อย่าตอบเช่นนี้ เยว่เอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้าอยากได้ยินเจ้าพูดคำใด”
เสวี่ยเจียเยว่ถูกเขาต้อนให้จนมุม อีกทั้งท่าทางเสียใจของชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ยังทำให้เธอรู้สึกผิดไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงสะกดกลั้นความเขินอายเอาไว้ แล้วเอ่ยตอบเสียงเบาภายใต้การกดดันของเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ข้า… ข้ารักท่าน”
“จะรักเพียงข้าคนเดียวตลอดไปหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า “อือ ข้าจะรักท่านเพียงคนเดียวตลอดไป”
หากดอกไม้ไฟระเบิดในชั่วพริบตา นัยน์ตาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็คงเป็นประกายวาบอย่างน่ากลัว ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่อ่านได้ยากยิ่ง
“เด็กดี” เขาจูบริมฝีปากบางของเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ข้าเองก็จะรักเพียงเจ้าคนเดียวตลอดไปเช่นกัน”
นี่คือคำสัญญาที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตราบเท่าชีวาวาย