ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 137 แอบปกป้อง
หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด
แอบปกป้อง
เมื่อตันหงอี้เดินกลับถึงเรือน ก็เห็นผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอกำลังยืนพูดคุยกับบิดาของเขาอย่างนอบน้อมอยู่ในห้องโถง
“…ข้าน้อยได้ถามลูกชายของผู้เฒ่าอูแล้ว เขาพอจะรู้ว่าต้องปลูกพริกเช่นไร พอปีนี้ผลพริกสุก ตอนที่เขาตากแห้งแล้วจะแอบขโมยเมล็ดพริกเอาไว้ ปีหน้าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิพวกเราก็ปลูกได้เลย”
บิดาของตันหงอี้สวมเสื้อคลุมยาวทำจากผ้าแพรปักลายเมฆล้อมดอกไม้สีน้ำเงิน นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวม และกำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็วางถ้วยชาลง และเงยหน้าถามผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอ “ปีนี้การเก็บเกี่ยวพริกเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าได้สืบมาหรือไม่”
อีกฝ่ายเอ่ยตอบทันที “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าน้อยแอบไปดูอย่างลับๆ มีการปลูกพริกเต็มพื้นที่ห้าถึงหกหมู่ บนต้นนั้นเต็มไปด้วยผลพริกสีแดง ได้ยินลูกชายของผู้เฒ่าอูบอกว่า นี่เป็นเพียงการออกผลครั้งแรกเท่านั้น มันจะยังออกผลไปจนถึงช่วงเข้าฤดูหนาวในปลายเดือนสิบ”
ประมุขตระกูลตันไม่ได้กล่าวอันใด ได้ยินว่าปีที่แล้วราคาพริกขายเทียบเท่ากับราคาหมู ใครบ้างจะไม่อิจฉา แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีเมล็ดพริกไว้ปลูก ถ้าจะใช้เงินจำนวนมากซื้อพริกจากต่างแดนกลับมา อากาศก็หนาวเกินไป จะหาซื้อได้ที่ไหนกัน คงทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น
พริกเหล่านั้นปลูกในพื้นที่ห้าถึงหกหมู่ ทั้งยังออกผลอยู่หลายครั้ง ทุกๆ หนึ่งจินจะขายได้ราคาเทียบเท่ากับราคาเนื้อหมู ถ้าขายพริกทั้งหมดนั้นจะเป็นเงินเท่าไร
การมองผู้อื่นทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ตนกลับทำได้เพียงอิจฉา จะทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ช่างเป็นความรู้สึกที่อึดอัดยิ่งนัก ดังนั้นสีหน้าของประมุขตระกูลตันจึงไม่ค่อยดีนัก
ผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอสังเกตคำพูดและสีหน้าของเขา จึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ข้าน้อยให้เงินลูกชายของผู้เฒ่าอูตามที่ท่านสั่งไว้แล้ว ทั้งยังมอบผ้าแพรให้เขาอีกหนึ่งห่อ เขารับปากว่าปีนี้จะเก็บเมล็ดพริกไว้ให้พวกเรามากๆ ทั้งยังจะสอนวิธีการปลูกให้ด้วย ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพวกเราก็สามารถปลูกพริกได้หลายสิบหมู่ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้กำไรจากมัน”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” ประมุขตระกูลตันแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะปิดฝาถ้วยน้ำชาแล้วเอ่ยออกมา “ลูกชายของผู้เฒ่าอูรับเงินไปแล้ว และรับปากว่าจะเก็บเมล็ดพริกให้พวกเรา สอนวิธีการปลูกให้ แต่เขาจะไม่รับเงินจากคนอื่น เก็บเมล็ดพริกไว้ให้ แล้วสอนวิธีปลูกให้พวกเขาหรือ เกรงว่าเขาคงเก็บเมล็ดพริกเอาไว้ปลูกเองในปีหน้ากระมัง ตอนนี้ที่พริกพวกนั้นมีราคาสูง ก็เพราะว่าไม่มีใครปลูกได้ รอให้ถึงปีหน้าทุกคนคงรู้วิธีปลูกกันหมดแล้ว ถ้าปลูกพริกกันเหมือนฝูงผึ้ง พริกพวกนี้มันจะมีราคาเหมือนตอนนี้หรือไม่”
ผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอไม่กล่าวอันใด ของหายากนั้นมักมีราคาแพง แต่ถ้ามีมากจนเกลื่อนแล้วก็หมดราคา หลักการนี้เขาเองเข้าใจดี
จากนั้นประมุขตระกูลตันก็กล่าวต่อ “ข้าได้ยินว่าพริกพวกนั้นเป็นของเจ้าของร้านซู่ยวี่เซวียน ทั้งยังเป็นแม่นางที่อายุยังไม่เท่าไร”
อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบ “ใช่ขอรับ ข้าน้อยได้ยินมาว่า แม่นางผู้นั้นแซ่เสวี่ย ปีนี้อายุสิบสี่ปี นางยังมีพี่ชายคนหนึ่ง ก็คือคนที่กดอันดับของคุณชายใหญ่ในการสอบเข้าสำนักศึกษา และเป็นผู้ที่สามารถสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกันด้วยขอรับ”
“อือ คนนั้นหรือ” ประมุขตระกูลตันรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“ความคิดนี้คงจะได้มาจากพี่ชายของนางสินะ นางเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบสี่ปี จะเก่งด้านทำการค้าเช่นนั้นได้อย่างไร”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า แม่นางเสวี่ยผู้นั้นเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ พี่ชายของนางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยขอรับ และเถ้าแก่ลู่ของร้านรุ่ยซิงหลง ไม่ว่าจะมีเรื่องใดเขาก็ปรึกษากับแม่นางเสวี่ย เถ้าแก่ลู่ผู้นี้มีร้านน้ำชาอยู่แห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเขากำลังจะเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร และทำอาหารที่เกี่ยวกับพริกเท่านั้น ทั้งที่ยังไม่เปิดกิจการ ข่าวก็แพร่ออกไป ว่ากันว่าร้านของเขามีอาหารที่ร้านอื่นไม่มี พอเปิดร้านแล้วก็จะเชิญทุกคนไปชิม และสูตรอาหารเหล่านั้น ข้าน้อยได้ยินว่าแม่นางเสวี่ยเป็นคนมอบให้เถ้าแก่ลู่เองขอรับ”
เมื่อประมุขตระกูลตันได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงได้รู้เรื่องมากมายเช่นนี้ เดิมทีได้ยินคนบอกว่าแบบชุดจากร้านซู่ยวี่เซวียนเป็นชุดที่แปลกใหม่ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเป็นเพียงงานฝีมือเล็กๆ เท่านั้น แต่พอนานวันเข้า กิจการร้านซู่ยวี่เซวียนกลับดีกว่าร้านอี้ชิ่งเหอของพวกเรา แล้วตอนนี้นางยังมาขายพริก ทั้งยังจะสอนลู่หงไฉทำอาหารอีก พอลู่หงไฉเปิดร้าน ร้านอาหารของพวกเราจะไม่ได้รับผลกระทบกระนั้นหรือ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินไปมาอย่างช้าๆ อยู่ในห้องโถงพลางขมวดคิ้วไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดหาวิธีรับมือ
ผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นเช่นนั้นก็แทบไม่กล้าหายใจ ได้แต่ยืนก้มหน้าก้มตากลั้นหายใจอยู่ตรงนั้น
ไม่นานประมุขตระกูลตันก็หยุดเดิน หันไปมองผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอแล้วกล่าว “หากปล่อยให้แม่นางน้อยผู้นั้นร่วมมือทำการค้าที่ใหญ่โตเช่นนี้กับลู่หงไฉ ร้านของพวกเราคงถูกพวกเขาทำเสียกำไรไปมาก ลูกชายของผู้เฒ่าอูนั้น วันพรุ่งเจ้าก็ไปเจรจากับเขาด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เขาอยากได้เท่าไรเพียงเอ่ยมา แต่ต้องเก็บเมล็ดพริกเหล่านั้นไว้ให้ข้าเพียงคนเดียว อย่าได้มอบให้คนอื่นแม้แต่เมล็ดเดียว ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงิน ข้ายังจะทำให้เขาเดือดร้อนได้อีกด้วย ส่วนร้านซู่ยวี่เซวียน พรุ่งนี้เจ้าไปซื้อของขวัญแพงๆ มอบให้แม่ทัพเจี่ยพร้อมกับข้อความของข้า ให้เขาป้ายความผิดอะไรก็ได้แก่ร้านซู่ยวี่เซวียน ข้ามั่นใจว่าแม่นางน้อยที่ไร้ซึ่งอำนาจอย่างนางไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหานี้ได้”
เมื่อประมุขตระกูลตันกล่าวประโยคนี้จบ ผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอก็ตอบรับทันที ก่อนจะเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา
เมื่อเขาก็เห็นว่าคนผู้นั้นคือตันหงอี้ จึงรีบโน้มตัวคำนับ “คุณชายใหญ่”
ตันหงอี้ไม่มองเขา สายตานั้นจับจ้องไปที่บิดาของตนแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านพ่อ ท่านห้ามแตะต้องร้านซู่ยวี่เซวียน”
ประมุขตระกูลตันมีตันหงอี้ที่เป็นลูกชายอย่างชอบธรรมเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เขาโปรดปรานลูกคนนี้ยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าตันหงอี้เดินเข้ามา เขาก็อยากจะพูดคุยกับลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะเข้ามาพูดเรื่องนี้กับเขา
เขาอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าถึงแตะต้องร้านซู่ยวี่เซวียนไม่ได้”
ตันหงอี้ไม่อธิบาย แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ไม่เพียงแต่ร้านซู่ยวี่เซวียนเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่นางเสวี่ย ท่านก็แตะต้องมิได้”
“เพราะเหตุใดเล่า” บิดาเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักแม่นางผู้นั้นหรือ ถึงได้เป็นห่วงนางเช่นนี้ พวกเจ้าเป็นอะไรกัน”
ตันหงอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง
เขาเป็นอะไรกับเสวี่ยเจียเยว่…
เขาอยากเป็นอะไรกับเด็กสาว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด
เขายกยิ้มมุมปากเหยียดหยันตัวเองอย่างอดไม่ได้ “ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับนาง แต่ท่านพ่อ ทำการค้านั้นควรทำด้วยความซื่อสัตย์โปร่งใส จะวางแผนลอบทำร้ายใครลับหลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อาจทำให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยามพวกเราได้นะขอรับ”
“เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องกิจการของครอบครัว เหตุใดตอนนี้ถึงได้สนใจเล่า ทั้งยังเปิดปากมาก็ต่อว่าข้าเช่นนี้”
บิดาหัวเราะอย่างขุ่นเคือง ไม่ว่าใคร หากถูกลูกชายของตัวเองกล่าวเช่นนี้ก็ล้วนโกรธทั้งนั้น
“เรื่องกิจการนั้นเดิมทีก็ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน หากข้าปล่อยให้แม่นางผู้นั้นร่วมมือค้าขายกับลู่หงไฉ ต่อไปตำแหน่งเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองผิงหยางของข้าก็ต้องตกเป็นของพวกเขา แม้แต่ตำราพิชัยสงครามก็บอกว่าทหารนั้นไม่รังเกียจการฉ้อโกง แล้วข้าวางแผนลอบทำร้ายเช่นนั้น จะทำให้คนอื่นเหยียดหยามได้อย่างไร เจ้าคิดหรือว่าพอความลำบากมาเยือน แม้ว่าเจ้าจะเต็มไปด้วยคุณธรรม แล้วจะไม่มีใครมาดูถูกเหยียดหยามเจ้า”
ตันหงอี้ไม่พูดอะไร เป็นอย่างที่บิดากล่าวมา เขาไม่เคยสนใจเรื่องกิจการของตระกูล หากไม่ใช่เพราะชื่อร้านซู่ยวี่เซวียน เขาไม่มีทางยืนฟังอยู่ข้างนอกเด็ดขาด และถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเสวี่ยเจียเยว่ ต่อให้บิดาจะวางแผนลอบทำร้ายใครเขาก็ไม่มีทางสนใจ ได้แต่ยืนยิ้มและหันหลังจากไปเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขาจะต้องเข้ามายุ่งให้ได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับเสวี่ยเจียเยว่
ต่อให้เด็กสาวหักใจเขาอย่างไร ตันหงอี้ก็ทนเห็นอีกฝ่ายถูกใครทำร้ายไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกลัวว่านางจะทำกิจการที่เมืองผิงหยางตลอดไป นางไม่มีทางอยู่ที่นี่นานนัก”
แม้ว่าใบหน้าของตันหงอี้จะมีรอยยิ้มบางๆ แต่ถ้ามองดูดีๆ แล้ว จะพบว่าเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
“เสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งเข้าร่วมการสอบระดับมณฑล ด้วยความสามารถของเขาจะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน เช่นนั้นต่อไปเขาก็ต้องเข้าไปสอบในเมืองหลวง หากเขาไปที่นั่น นางก็ย่อมตามไปด้วย เมื่อนางไปเมืองหลวงแล้ว ท่านคิดว่าร้านซู่ยวี่เซวียนจะยังรุ่งเรืองเช่นตอนนี้หรือไม่ เถ้าแก่ลู่จะร่วมทำการค้ากับใคร ก็เหมือนกับตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง กระโดดโลดเต้นได้ไม่กี่วัน ไยท่านยังต้องไปต่อสู้กับเด็กสาวคนหนึ่งด้วยขอรับ หากใครรู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะท่านเอาหรือ”
ทรัพย์สมบัติของตระกูลตันจะมีส่วนที่บรรพบุรุษสะสมไว้ให้ แต่บิดาของตันหงอี้ทำการค้ามาหลายปี แม้ว่าที่ตันหงอี้กล่าวมาจะสมเหตุสมผลอย่างไร เขาก็ยังไม่คล้อยตามในทันที
ผู้เป็นบิดายิ้มจนตาหยีพร้อมกับมองตันหงอี้อย่างละเอียด จากนั้นก็พูดอย่างชัดเจน “เจ้ามีความรักตั้งแต่เมื่อไรกัน แม่นางเสวี่ยผู้นั้นคงจะสำคัญต่อหัวใจเจ้าไม่น้อย ว่าแต่เจ้าจะไม่ยอมบอกข้าจริงๆ หรือว่าพวกเจ้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
ตันหงอี้แทบสำลัก จากนั้นเขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “นางคงแทบจำข้าไม่ได้เลยกระมัง แล้วจะเกี่ยวข้องกับข้าได้เยี่ยงไร”
เมื่อประมุขตระกูลตันได้ยินเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด
“ท่านพ่อ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยขอร้องอะไรท่าน แต่ตอนนี้ถือเสียว่าข้าขอ อย่าสร้างความลำบากให้นางเลย อีกไม่กี่เดือนนางก็จะไปจากที่นี่แล้ว ขอให้ท่านอดทนอีกสักหน่อยเถอะขอรับ”
ประมุขตระกูลตันไม่ได้กล่าวอันใด เพียงมองไปที่บุตรชาย ใจหนึ่งเขาคาดเดาว่าเหตุใดตันหงอี้ถึงได้ให้ความสำคัญแก่เสวี่ยเจียเยว่ผู้นี้นัก อีกใจเขาก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องสร้างความลำบากให้เสวี่ยเจียเยว่
ตันหงอี้จะไม่เข้าใจความคิดของบิดาได้อย่างไร เขาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา “ท่านพ่อ หากท่านยังต้องการลูกชายคนนี้ ได้โปรดอย่าสร้างปัญหาให้นางเลย ไม่อย่างนั้นท่านเองก็คงรู้นิสัยของข้าดี ไม่แน่ข้าอาจสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาก็ได้”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป ท่ามกลางแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วง แผ่นหลังของชายหนุ่มดูโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่หลายส่วน
ประมุขตระกูลตันรู้สึกเดือดดาลเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ “เขากล้าขู่ข้าเชียวหรือ เป็นลูกชายเหตุใดถึงกล้าขู่พ่อตัวเองเช่นนี้ ข้าจะสร้างปัญหาให้แม่นางน้อยผู้นั้น ดูซิว่าเขาจะสร้างปัญหาอะไรให้ข้า”
เมื่อเห็นพวกเขาสองพ่อลูกโมโหเช่นนี้ ผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอได้แต่เงียบเหมือนจักจั่นในช่วงฤดูหนาว ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
ประมุขตระกูลตันเดินกลับไปกลับมาในห้องโถงอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ คล้ายกับลูกหนังที่ถูกปล่อยลมออกก็ไม่ปาน
“เหตุใดข้าถึงได้มีลูกชายนิสัยเช่นนี้ เห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัวได้อย่างไร” เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่านิสัยของตันหงอี้นั้นดื้อรั้น หากได้ลั่นวาจาใดออกมาแล้วก็จะทำให้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลงมือกับเสวี่ยเจียเยว่เป็นการชั่วคราว
ทว่า…
เขาหันไปสั่งการผู้ดูแลร้านอี้ชิ่งเหอ “เจ้าไปสืบมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่และแม่นางเสวี่ย สืบให้เร็วที่สุดแล้วกลับมารายงานข้า”
อีกฝ่ายรีบตอบรับในทันที ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงแล้ว เขาถึงได้กล้ายกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก