ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 14 ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ
สิบสี่
ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งมาถึงลานตากข้าวบนเนินเขา ก็เห็นเสวี่ยหย่งฝูจูงล่อลากเครื่องมือตีข้าวให้หมุนเพื่อแยกเมล็ดออกมา ส่วนซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยเจียเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการตากข้าวสาลีและเก็บฟาง
เป็นเพราะเสวี่ยเจียเยว่พูดเพื่อเขาก่อนหน้านี้ ซุนซิ่งฮวาจึงรู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก ด่าเธอไม่หยุดหย่อน ทั้งยังใช้คราดไม้ไผ่ทุบตีไปที่ขาเล็กๆ ของเธอคราหนึ่ง
เสวี่ยหยวนจิ้งมองปราดเดียวก็รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเจ็บปวดเหลือเกิน เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกเช่นนั้น
เขารีบสาวเท้าไปยืนข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่ แล้วมองใบหน้าขาวเนียนครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงมัดฟางข้าวสาลีในมือเล็กโดยไม่เอ่ยคำใด
แม้ในใจของเขาอยากให้เสวี่ยเจียเยว่ไปพักผ่อนด้านข้าง แต่เขาเข้าใจดีว่าเมื่อมีซุนซิ่งฮวาอยู่ตรงนี้ด้วย แม่นางน้อยจะพักผ่อนได้อย่างไร เกรงว่าจะเป็นการยั่วโมโหซุนซิ่งฮวาจนทำให้เสวี่ยเจียเยว่ถูกด่าอีกรอบ เขาจึงได้แต่ทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เสวี่ยเจียเยว่ได้ทำน้อยที่สุด
เสวี่ยเจียเยว่มองความหวังดีของเสวี่ยหยวนจิ้งออก พลันเธอทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
เธอรู้สึกว่าหัวใจประดุจถังเหล็กที่ปิดสนิทของเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเปิดแง้มแล้ว ดูเหมือนการใช้วิธีหัวอกเดียวกันนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
หากเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอกับเขามีสภาพไม่ต่างกัน ถูกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาโขกสับเช่นเดียวกัน ในใจของเขาคงค่อยๆ ปล่อยวางอคติที่เคยมีต่อเจ้าของร่างเดิมของเธอได้กระมัง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดบนขาที่โดนซุนซิ่งฮวาทุบตีเมื่อครู่นี้ก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาระยิบระยับของเธอประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ประดุจเอาทางช้างเผือกเข้าไปไว้ในดวงตากลมโตก็มิปาน
เสวี่ยหยวนจิ้งถอนสายตาที่แอบพินิจมองดวงตาของแม่นางน้อยกลับมา ก่อนจะทำงานต่อโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
ข้าวสาลีที่ตีเสร็จแล้วก็ยังต้องนำไปตากแดดต่ออีกหลายวัน ต้องทำเช่นนี้ก่อนถึงจะนำไปขายหรือเก็บเข้ายุ้งฉางได้ โดยช่วงนี้ชาวนาจะเริ่มไถนาเพื่อปลูกต้นฝ้าย ซึ่งเสวี่ยหย่งฝู ซุนซิ่งฮวา และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ต้องปลูกต้นฝ้ายเช่นกัน จึงมอบหมายหน้าที่ตากเมล็ดข้าวสาลีให้แก่เสวี่ยเจียเยว่
การตากเมล็ดข้าวสาลีใช่ว่าจะเป็นงานสบาย ด้วยหมู่บ้านซิ่วเฟิงแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาจึงมีนกมาก หากเผลอเพียงประเดี๋ยวเดียว นกเป็นฝูงก็จะกรูกันมารุมจิกกินเมล็ดข้าวสาลี ใช้เวลาเพียงไม่นานก็อาจกินจนหมดได้ จึงต้องมีคนคอยนั่งเฝ้าตลอด หากเห็นนกบินลงมาก็ต้องรีบไล่พวกมันไปทันที
เสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่หน้าประตู ในมือเธอถือไม้ไผ่ลำยาวคอยไล่นกไปด้วย
ในเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติ พระอาทิตย์บนฟากฟ้าจะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เมื่อผิวเนื้อกระทบกับแสงแดดในยามนี้จึงร้อนมาก ครั้นไล่ฝูงนกออกไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือน
แต่นกพวกนั้นฉลาดไม่น้อย แม้ว่าพวกมันเพิ่งถูกไล่ออกไป กลับไม่ได้บินไปไหนไกล ทว่าเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น เมื่อพวกมันเห็นเสวี่ยเจียเยว่หันหลังให้ ก็บินลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลีที่ตากอยู่บนลานเรือนทันที
ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงมิกล้าเข้าไปในเรือนอีก ได้แต่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาตรงหน้าประตูเรือน เมื่อเห็นนกบินลงมาจิกเมล็ดข้าวสาลี เธอก็รีบถือไม้ไผ่ลำยาววิ่งไปไล่พวกมัน
เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเหนื่อยล้า หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งมือและขาก็อ่อนแรงเต็มที
กระนั้นการตากเมล็ดข้าวสาลีก็ย่อมมีข้อดี เมล็ดข้าวสาลีเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่ส่องกระทบจะเป็นสีทองอร่าม พอกอบขึ้นมาสูดดม ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ
เสวี่ยเจียเยว่ยังจำชีวิตในภพที่จากมาได้ ยายเธอชอบซื้อเมล็ดข้าวสาลีใหม่กลับมา เมื่อนำไปคั่วในกระทะ ทั้งเรือนก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของข้าว ทำให้คนที่ได้กลิ่นน้ำลายสอ หลังจากคั่วจนสุกแล้วก็โยนเมล็ดข้าวสาลีเข้าปากก่อนจะขบเคี้ยว ซึ่งกรุบกรอบไม่ใช่น้อย
เวลานั้นเสวี่ยเจียเยว่มักจะเอาเมล็ดข้าวสาลีคั่วสุกมากินแทนขนมขบเคี้ยว ทว่าตอนนี้แม้แต่ข้าวเธอก็ยังกินไม่อิ่มท้อง ทุกครั้งที่หิวหากจะกินเมล็ดข้าวสาลีที่คั่วสุกแล้วก็ยังเป็นการสิ้นเปลือง
เธอกลับเข้าไปในเรือนแล้วถือถุงผ้าใบเล็กออกมา ก่อนจะกำเมล็ดข้าวสาลีใส่ถุงผ้าให้มากที่สุด จากนั้นก็นำไปซ่อนไว้ในห้องของตน รอวันที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไม่อยู่ที่เรือน เธอจะแอบนำเมล็ดข้าวสาลีในถุงผ้าไปคั่วให้สุก เมื่อหิวขึ้นมาก็ยังกินแทนข้าวได้
หลังจากไล่นกมาครึ่งวัน เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างอ่อนล้าจนแทบยกไม่ขึ้น แต่ตอนที่ซุนซิ่งฮวากลับมาก็ยังไม่พอใจ และด่าเธอเป็นการใหญ่
“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ เหตุใดข้าดูแล้วเมล็ดข้าวสาลีถึงได้หายไปมากเช่นนี้ เจ้าต้องแอบขี้เกียจเป็นแน่ จนปล่อยให้นกมากินข้าว!”
เดิมทีซุนซิ่งฮวาก็ไม่ได้ทำดีกับเสวี่ยเจียเยว่นัก ตั้งแต่อาจารย์โจวมาที่เรือนในครานั้น หลังจากเธอขอให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียนที่สำนักศึกษา นางก็ยิ่งดุด่าเธอหนักขึ้น เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ถึงขั้นด่าว่าเป็นคนอกตัญญู ไม่มีใจภักดีต่อมารดา ช่วยเหลือคนอื่นที่มาตำหนิติเตียนมารดาของตัวเอง หลายวันมานี้ซุนซิ่งฮวาด่าเสวี่ยเจียเยว่จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และยังลงไม้ลงมือกับเธอบ่อยครั้ง
บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่ก็ทนไม่ไหว คิดอยากจะหนีออกจากเรือนนี้ไป ทว่าในใจก็รู้ดี เธอเป็นเพียงเด็กน้อยอายุแปดขวบเท่านั้น จะหนีไปที่ใดได้เล่า ออกไปแล้วจะทำอะไรได้
อีกอย่าง… โลกภายนอกเป็นเช่นไรเธอไม่อาจรู้
หากรู้ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร รอจนปีกกล้าขาแข็งค่อยหนีไปก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นถ้ารีบร้อนหนีออกไป ต้องตกหลุมพรางคนอื่นอย่างไม่ทันระวังตัว และคงไม่ใช่เพียงการดุด่าเช่นนี้แน่นอน
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ส่งเสียงสักแอะ เพียงก้มหน้าก้มตาและปล่อยให้ซุนซิ่งฮวาเอ็ดตะโรไป
กลับเป็นเสวี่ยหย่งฝูที่ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป หลายวันมานี้เขาพยายามทำดีกับเสวี่ยเจียเยว่ ขณะที่พูดคุยกับเธอเขาก็หัวเราะคิกคักไปด้วย ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากสนิทสนมกับเสวี่ยหย่งฝูแม้แต่น้อย
สายตาที่เสวี่ยหย่งฝูมองมานั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สนิทใจ ไม่ใช่เพราะเธอคิดมากเกินไป แม้เจ้าของร่างนี้จะมีอายุเพียงแปดขวบ ทว่าในโลกใบนี้มีคนไม่น้อยที่ต่ำช้าราวกับสัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์ ดังนั้นการระมัดระวังตัวจึงถือเป็นเรื่องที่ดี
“พอได้แล้ว!” เสวี่ยหย่งฝูกล่าวกับซุนซิ่งฮวาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ก่อนเจ้าจะออกจากเรือน เจ้านับมันทุกเม็ดเลยหรือ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รู้ว่ามันหายไปมาก ข้าไม่เห็นว่ามันจะน้อยลงแต่อย่างใด อีกอย่าง… เอ้อร์ยาก็ตากข้าวสาลีตั้งแต่เช้า ไล่นกมาทั้งวัน พอกลับมาไม่เอ่ยชมนางสักคำไม่พอ แต่นี่เจ้ายังด่านางไม่หยุดหย่อนอีก เช่นนั้นหน้าที่ตากข้าวในยามบ่าย เจ้าก็ทำเองดีหรือไม่”
พวกเขาไถนาเสร็จไปเมื่อช่วงเช้า ตอนบ่ายจึงเหลือเพียงนำต้นฝ้ายไปปลูกลงดินเท่านั้น แม้จะบอกว่าการปลูกต้นฝ้ายทำให้เหนื่อยล้า ทว่าเทียบกับการตากข้าวสาลีไม่ได้เลยสักนิด ซุนซิ่งฮวาจึงไม่พอใจนัก
“เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล ถ้าสงสารนางมาก ต่อไปงานที่นางควรทำ เจ้าก็ทำแทนดีหรือไม่”
จากนั้นนางก็ตวาดใส่เสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าจะยืนโง่อยู่ตรงนี้รอของกินจากข้าหรืออย่างไร ยังไม่รีบไปทำอาหารกลางวันอีก!”
เมื่อเข้ามาในห้องครัว เสวี่ยเจียเยว่ก็เตรียมทำอาหารกลางวันพลางครุ่นคิดเงียบๆ
เนื่องจากวันตีข้าวสาลีนั้น ซุนซิ่งฮวาไปยืมสัตว์เลี้ยงจนทั่วหมู่บ้านก็ยังไม่สามารถยืมมาได้ ทั้งยังถูกคนอื่นพูดจาถากถางว่าแม้แต่สัตว์เลี้ยงเอาไว้ใช้งานก็ยังออกมายืม ไม่ใช่ว่าครั้งหน้าจะมายืมปูกลับไปทำอาหาร แล้วส่งน้ำส้มสายชูในบ้านของนางมาคืนหรอกหรือ ซุนซิ่งฮวาทนไม่ไหว ในวันหนึ่งนางจึงนำเมล็ดผักกาดก้านขาวมากกว่าครึ่งออกไปขาย ทั้งยังนำเครื่องประดับเงินที่เป็นของมารดาเสวี่ยหยวนจิ้งไปขายหลายชิ้น จากนั้นก็นำเงินไปซื้อวัวกลับมาหนึ่งตัว
ซุนซิ่งฮวามักจะจูงวัวเดินไปรอบหมู่บ้าน เพื่อป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าในเรือนของนางมีวัวใช้แล้ว หลังจากลำบากตรากตรำมานาน
แน่นอนว่านางมองวัวตัวนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ถึงอย่างไรก็ดูมีค่ามากกว่าเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง
แม้แต่วัวตัวหนึ่งเธอก็ยังเทียบไม่ได้…
เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มเยาะตัวเอง ขณะเดียวกันก็ตักน้ำใส่ถังพลางล้างถั่วปากอ้าไปด้วย
ถั่วปากอ้าเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย และไม่ต้องใช้พื้นที่มากนัก ตราบใดที่มีพื้นที่ว่างระหว่างแปลงนา แค่เพียงโยนเมล็ดถั่วปากอ้าลงไปในเดือนแปดของปีนี้ ปีหน้าเมื่ออากาศอบอุ่น ต้นถั่วปากอ้าก็จะออกดอกสวยงาม เมื่อดอกของมันบานครบสามรอบก็เริ่มออกผล ฝักถั่วสีเขียวขจีห้อยลงมาจากกิ่ง เมื่อเด็ดออกมาแล้วแกะเปลือกออกจะพบเมล็ดถั่วปากอ้า
การนำถั่วปากอ้ามาทำอาหารนั้น จะใส่ในหม้อแล้วเทน้ำลงไป ใส่เกลือเล็กน้อยและต้มสักครู่ก็กินได้ หรือหยดน้ำมันงาลงไปในกระทะเล็กน้อย ใส่ขิงลงไปผัดให้เข้ากันก็อร่อย
นอกจากนี้ยังนำเมล็ดถั่วปากอ้าที่แกะเปลือกออกแล้วมาผัดใส่ไข่ไก่ได้อีกด้วย แต่เพราะซุนซิ่งฮวาต้องการซื้อวัวตัวนั้น ของในเรือนที่พอจะแลกเป็นเงินได้ นางล้วนขายออกไปจนหมด แม้แต่ไข่ไก่ก็ไม่เหลือ โดยนางบอกว่าจะนำไปขายเพื่อเอาเงินมาสะสม
เมื่อผัดถั่วปากอ้าใส่ไข่ไม่ได้ เช่นนั้นก็คงต้องต้มแทน จากนั้นค่อยผัดมะเขือยาวและผัดบวบก็พอแล้ว ส่วนข้าวแน่นอนว่าเป็นข้าวต้ม ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผู้คนจึงไม่มีความอยากอาหารเท่าไร เมื่อทำข้าวต้มเสร็จแล้วจะต้องเติมน้ำสะอาดลงไปเพื่อลดความร้อน จะทำให้กินข้าวได้ง่ายขึ้น
เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเข้าห้องไปนอนกลางวัน โดยก่อนไปซุนซิ่งฮวาได้สั่งเสวี่ยเจียเยว่ว่าเมื่อทำอาหารเสร็จแล้วให้เข้าไปเรียก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งต้องนำหญ้าไปให้วัวและเฝ้าเมล็ดข้าวสาลีที่ตากเอาไว้ด้วย
ห้องครัวในฤดูร้อนจะร้อนมากเป็นพิเศษ เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงเพิ่มฟางเข้าไปในเตา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาผัดผัก ยุ่งจนเหงื่อผุดซึมออกมาทั่วร่าง
ขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในห้องครัวมืดลง เธอจึงรีบหันไปมอง ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ที่ประตู สายตามองมาที่เธอ