ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 140 เตรียมตัวเข้าเมืองหลวง
หนึ่งร้อยสี่สิบ
เตรียมตัวเข้าเมืองหลวง
เมื่อผ่านช่วงที่ดอกหอมหมื่นลี้แบ่งบาน ลมในฤดูใบไม้ร่วงก็หนาวเย็นขึ้น
ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ต้องไปที่สำนักศึกษาอีกแล้ว ชายหนุ่มจะอ่านตำราอยู่ที่เรือนของตัวเอง แต่เขายังไม่วางใจให้เสวี่ยเจียเยว่ออกไปข้างนอกคนเดียว หากเด็กสาวจะไปไหนเขาก็ตามไปด้วย
แม้ว่าเขาจะอ่อนโยนและอบอุ่น แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ
เธอไม่ชอบให้คนมาเดินตามไปทุกที่ โดยเฉพาะเสวี่ยหยวนจิ้ง แม้เขาจะบอกว่าเป็นห่วง ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าจริงๆ แล้วเขาตามมาเฝ้าเธอ
ไม่ว่าอากาศจะอบอุ่นหรือหนาวเย็น เมื่อเธอออกจากเรือนก็ยังต้องสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุม เมื่อไรก็ตามที่เห็นเธอพูดคุยกับชายอื่น เขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูทันที การกระทำเหล่านี้เป็นปัญหาสำหรับการใช้ชีวิตของเธอยิ่งนัก
บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเขาวางอำนาจมากเกินไป และทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธออย่างไร้มารยาท แต่ทั้งสองคนประคับประคองกันมาตลอด ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันหลายปี ในใจของเสวี่ยเจียเยว่ถือว่าเขาเป็นคนสนิทที่สุด ดังนั้นแม้ว่าเธอจะอึดอัดเพียงใดก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำ ปล่อยให้เขาอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
อีกทั้งช่วงนี้เรื่องที่เธอต้องทำก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ประการแรก… เสวี่ยหยวนจิ้งสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว ปีหน้าเขาต้องเข้าไปสอบในเมืองหลวง เธอจึงไม่สามารถดูแลร้านซู่ยวี่เซวียนได้อีกต่อไป เสวี่ยเจียเยว่คิดจะวางมือ แต่ถึงอย่างไรร้านนั้นก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอที่พยายามอย่างหนัก ทำให้ลังเลที่จะปล่อยมันไว้ในมือของผู้อื่น
ประการที่สอง… ร้านอาหารหลายแห่งในเมืองผิงหยางต่างก็จองพริกกับเธอไว้ก่อนหน้านี้ โชคดีที่ตอนนี้พริกสุกไม่พร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องตากให้แห้งเพื่อเก็บเอาไว้เหมือนปีที่แล้ว สามารถให้คนคัดแยกและส่งให้ร้านอาหารทุกร้านที่จองไว้ได้เลย
ส่วนเรื่องคนเฝ้าพริกนั้น หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งมอบหน้าที่เฝ้าและเก็บพริกให้ลูกชายของป้าหยางกับคนที่พวกเขาพามาด้วย ครอบครัวของชายชราแซ่อูก็รู้สึกไม่สบายใจ ทว่าแม้ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาทำแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่าพวกเขาพยายามทำหน้าที่ดูแลและเก็บพริกเมื่อปีที่แล้ว เธอจึงยังคงจ่ายค่าจ้างเหมือนแต่ก่อน เรื่องนี้ชายชราไม่มีอะไรจะกล่าว แต่กลับเป็นลูกชายของเขาที่เดือดดาลอย่างมาก บอกว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ไว้ใจพวกเขา ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงต้องให้คนอื่นมาดูแลและเก็บพริกแทนพวกเขาด้วย
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนใจอ่อน นึกถึงความสัมพันธ์อันดีที่รู้จักพวกเขามาหนึ่งปีกว่า จึงอดทนไม่พูดอะไรออกไป
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ใจดีเช่นนั้น เขาเดินเข้ามายืนขวางตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่ นัยน์ตาดำขลับจับจ้องไปยังลูกชายของชายชราแซ่อูและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ชุดที่เจ้าสวมนี้ได้มาจากที่ใดหรือ”
อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวผ้าแพรสีม่วงอมแดงจากเมืองหางโจว มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ
เขาตะลึงงันทันที แม้จะประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ยังพยายามกล่าวออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ข้า…ข้าซื้อมา”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มอย่างเย็นชา “ซื้อจากร้านอี้ชิ่งเหอน่ะหรือ”
ลูกชายของชายชราแซ่อูตกใจเป็นอย่างมากจนหน้าถอดสี และพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวอันใดต่อ จากนั้นก็เมินเฉยต่อเขา และจับมือเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเธอให้เกียรติลูกชายของชายชราอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับยังเดือดดาลเช่นเดิม โชคดีที่มีเสวี่ยหยวนจิ้งออกหน้าพูดแทน
กระนั้นเธอก็นึกดูถูกตัวเอง ด้วยเหตุนี้เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้า เธอจึงถามเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ข้ามันไร้ประโยชน์มากใช่หรือไม่”
ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าชายผู้นั้นทำอะไรลับหลังเธอ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็นึกถึงความสัมพันธ์อันดีที่ได้รู้จักกันมาหนึ่งปีกว่าจึงไม่ได้เปิดโปงอะไรเขา แต่กลับถูกเขากระทืบเท้าเร่าๆ ต่อว่าเธอเช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองเด็กสาว เสวี่ยเจียเยว่ย่อมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่เป็นคนใจอ่อน ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ข้ามเส้นที่เด็กสาวกำหนดไว้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่มีทางไปสืบหาจนถึงที่สุด แต่เมื่อไรก็ตามที่อีกฝ่ายข้ามเส้น เด็กสาวจะสู้กลับอย่างแน่นอน
ช่วงที่ผ่านมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งคอยหยั่งเชิงเส้นตายของเสวี่ยเจียเยว่ตลอด เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนที่จู่โจมตลอด และคอยตามเฝ้าอีกฝ่ายแทบทุกฝีก้าว แต่เสวี่ยเจียเยว่ยอมเขาตลอดเวลา ชายหนุ่มรู้ว่าในใจของเด็กสาวอยากบ่นเขา แต่เพราะนึกถึงความผูกพันที่พวกเขามีให้กันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่พูดอะไร
แต่จะทำอย่างไรได้ เขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเสวี่ยเจียเยว่ออกไปข้างนอกคนเดียว และยิ่งทนไม่ได้เมื่อเห็นเด็กสาวพูดคุยกับชายอื่นอย่างสนิทสนม หากเป็นไปได้เขาอยากให้เด็กสาวอยู่ในเรือน ไม่ต้องออกมาเลยยิ่งดี ให้เขาได้เห็นแม่นางผู้นี้คนเดียว…
แต่เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนรักอิสระ มีความคิดเป็นของตัวเอง หากเขากักขังเด็กสาวเช่นนั้น เกรงว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องไปจากเขาอย่างแน่นอน หรือแม้จะไม่จากไปไหน อีกฝ่ายก็คงไม่สนิทกับเขาเช่นเดิม ชายหนุ่มจึงต้องข่มกลั้นความคิดที่น่ากลัวของตนเอาไว้ ปล่อยให้เด็กสาวได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
เมื่อคิดเช่นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจึงกล่าวเสียงเบา “ข้าก็ได้แต่หวังว่าต่อไปเจ้าจะไร้ประโยชน์ต่อหน้าข้าเช่นนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าแม่นางน้อยใจอ่อนกับเขามาโดยตลอด แม้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไร เด็กสาวก็ไม่อยากจากเขาไปไหน
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของชายหนุ่มดี เดิมทีเธออยากจะปลอบใจเขาสักหน่อย แต่เมื่อคิดดูแล้ว สุดท้ายเธอก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป เพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น ทำเหมือนตนฟังความหมายในคำพูดของเขาไม่ออก
ไม่นานมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งทำตัววางอำนาจและเป็นเจ้าของเธอชัดเจนเกินไป แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่พูดเพราะนึกถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่อยากให้ถึงเส้นตายของตนก่อนค่อยถอย หากปลอบใจเขาตอนนี้ ต่อไปชายหนุ่มอาจกลายเป็นคนได้คืบจะเอาศอก
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมรู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่เขากล่าว แต่กลับไม่ได้ปลอบใจเขาทันทีเหมือนที่ผ่านมา หัวใจของเขาดิ่งลงอย่างฉับพลัน อยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
ด้วยท่าทีที่เด็กสาวมีต่อเขาในตอนนี้ หากชายหนุ่มยังกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอาจจะกลายเป็นการต่อต้าน ยามนี้เขาต้องปล่อยวางชั่วคราวก่อนจะดีกว่า
เป็นเพราะการจัดการที่ดีของเสวี่ยหยวนจิ้ง ครอบครัวของชายชราแซ่อูจึงไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งได้ และแน่นอนว่าไม่ต้องกังวลเรื่องที่เมล็ดพริกจะหลุดไปอยู่ในมือของคนอื่น เพราะมีเพียงเสวี่ยเจียเยว่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถปลูกพริกได้ ร้านอาหารที่รู้วิธีทำอาหารเหล่านั้นไม่ใช่ร้านในเมืองผิงหยางเท่านั้น แต่ยังมีเมืองฝูโจว พวกเขาจึงรีบมาซื้อพริกจากเธอที่นี่ เพราะฉะนั้นต่อให้ผลผลิตพริกในปีนี้มากกว่าปีที่แล้วกี่เท่า แต่ราคากลับแพงยิ่งกว่า และยังขาดตลาดเช่นเคย พริกที่แก่ได้ที่จะถูกเด็ดออกมาแล้วส่งให้ร้านอาหารทันที เวลาเพียงไม่นานเสวี่ยเจียเยว่ก็สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจดี แม้ว่าตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลว่าเมล็ดพริกจะไปอยู่ในมือผู้อื่น แต่เธอจะออกจากเมืองผิงหยางในปีหน้า และในเมื่อตอนแรกเธอสามารถซื้อพริกสองกระถางมาได้ แล้วคนอื่นจะซื้อบ้างไม่ได้หรือ หลังจากรู้ว่าพริกชนิดนี้มีค่า พวกเขาต้องปลูกเอาไว้อย่างแน่นอน และครอบครัวของชายชราแซ่อูก็น่าจะรู้วิธีปลูกพริกแล้ว คาดว่าในปีหน้าคงมีคนปลูกกันเป็นจำนวนมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้นำเมล็ดพริกที่เหลือออกมาขายในราคาที่สูงขึ้น ยังสามารถหากำไรก้อนโตได้อีกด้วย
เมื่อเธอตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ก็จัดการทุกขั้นตอนอย่างใจเย็น
ส่วนร้านซู่ยวี่เซวียน เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายวัน เพราะถึงอย่างไรเธอก็พยายามสร้างร้านนั้นขึ้นมา เธอยังลังเลที่จะมอบให้คนอื่นไป สุดท้ายก็เห็นว่าป้าเฝิงกับเสี่ยวฉานชำนาญเรื่องการจัดการในร้านซู่ยวี่เซวียน จึงคิดจะมอบร้านนั้นให้พวกนางสองแม่ลูกดูแล
นั่นเท่ากับว่าเธอจ้างผู้ดูแลทุกอย่างในร้านซู่ยวี่เซวียน แต่ยังดูสมุดบัญชีเองปีละหนึ่งครั้ง
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่อธิบายเรื่องนี้ให้ป้าเฝิงฟัง นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่เงินค่าจ้างผู้ดูแลร้านที่สูงมากแล้ว นางยังรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก เพราะเมื่อก่อนนางทำงานให้คนอื่น จึงมักกังวลว่าเจ้าของร้านจะไล่นางออกตลอดเวลา แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับให้นางดูแลร้านซู่ยวี่เซวียน แม้ตอนนี้การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับเด็กสาว แต่ถึงอย่างไรต่อไปเสวี่ยเจียเยว่ก็จะไม่อยู่ที่เมืองผิงหยาง ด้วยระยะทางไกลเช่นนั้น การตัดสินใจทุกเรื่องในร้านซู่ยวี่เซวียนจะต้องเปลี่ยนมาขึ้นอยู่กับนางใช่หรือไม่ และกลายเป็นคนอื่นที่ต้องกังวลว่าจะถูกนางไล่ออกแทน
ป้าเฝิงคิดได้เช่นนั้นจึงตอบตกลงทันที จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็สอนงานนางในตอนที่ไม่มีอะไรทำ และพานางไปพบเถ้าแก่ลู่
เธอเคยคิดว่าจะซื้อผ้าจากเมืองเจียงซูและเมืองเจ้อเจียงเอง แต่เมื่อคิดว่าร้านซู่ยวี่เซวียนอย่างไรก็เป็นเพียงร้านตัดชุด การที่จะส่งคนไปนำผ้ามาจากเมืองทั้งสองย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ หากคำนวณดูแล้วเกรงว่าราคาคงแพงกว่าการซื้อผ้าจากร้านของเถ้าแก่ลู่ เสวี่ยเจียเยว่จึงพักความคิดนี้เอาไว้ และยังคงซื้อผ้าจากร้านของเขา ส่วนเครื่องประดับนั้นก็สั่งทำในร้านของตระกูลลู่ ถือว่าเป็นเจตนาที่จะร่วมทำการค้ากับเถ้าแก่ลู่ตลอดไป
หลังจากเถ้าแก่ลู่รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังจะไปจากเมืองผิงหยาง เขาก็นึกเสียดายยิ่งนัก หากเด็กสาวไม่ไป พวกเขายังทำการค้าร่วมกันได้ กิจการของพวกเขาต้องเติบโตอย่างแน่นอน แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังคงปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เพียงแนะนำป้าเฝิงให้เถ้าแก่ลู่รู้จัก และขอให้เขาดูแลแนะนำนางให้มากในภายภาคหน้า
เถ้าแก่ลู่รับปากและถามว่าหลังจากเสวี่ยเจียเยว่ไปแล้ว พริกที่จำเป็นต้องใช้ในร้านอาหารนั้นควรจะจัดการอย่างไร เสวี่ยเจียเยว่จึงถือโอกาสนี้ขายเมล็ดพริกให้เขา พร้อมทั้งจะสอนให้เขารู้จักวิธีการปลูกพริก เถ้าแก่ลู่ตกลงในทันที และเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสาวเปลี่ยนใจ ทั้งสองจึงต้องทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร และเถ้าแก่ลู่ก็จ่ายเงินมัดจำก้อนหนึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่รับเงินมัดจำ ก่อนจะเดินกลับไปตามทางที่จะไปยังร้านซู่ยวี่เซวียนพร้อมป้าเฝิง
เมื่อเห็นประตูร้านซู่ยวี่เซวียนอยู่ไม่ไกล เสวี่ยเจียเยว่กลับไม่เดินเข้าไป เพราะเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากในร้านพอดี
เมื่อวานหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชูได้ส่งคนมามอบจดหมายให้เสวี่ยหยวนจิ้งเพื่อเรียกเข้าสำนักศึกษาในวันนี้ ชายหนุ่มจึงไปที่นั่นตั้งแต่เช้า เมื่อกลับเรือนไปก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยู่ คิดว่าเด็กสาวต้องมาที่ร้านซู่ยวี่เซวียน เขาจึงรีบมาที่นี่ แต่พอถามคนในร้านก็รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ไปหาเถ้าแก่ลู่ เขากำลังจะออกไปรับเด็กสาว แต่ขณะที่เดินออกมาจากร้านก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับมาพอดี
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม และกอดแขนเขาเอาไว้พลางเล่าเรื่องที่เจ้าตัวไปพูดคุยกับเถ้าแก่ลู่ให้ฟัง ทั้งยังถามเขาว่าหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชูเรียกไปพบด้วยเรื่องอันใด
อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากให้กำลังใจและมอบตำราโบราณให้เขาอีกสองสามเล่ม เขายกมือประสานคารวะหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชู และขอบคุณที่สอนเขามาหลายปี พร้อมกับให้คำสัญญาว่า เขาจะไม่มีวันลืมสำนักศึกษาไท่ชูอย่างแน่นอน
ป้าเฝิงเดินเข้าไปทำงานแล้ว เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งยังนั่งพูดคุยกันอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ด้านนอก
“วางเกี้ยวลง”
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมอง ก็เห็นเกี้ยวที่มีคนหามสองฝั่ง หลังจากพวกเขาวางเกี้ยวลง สาวใช้ก็เอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้น และยื่นมือเข้าไปพลางเอ่ย
“คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านลงมาเถิดเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางกล่าวจบ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในเกี้ยว
มือขาวราวหยก นิ้วทั้งห้าเรียวยาวบอบบางราวต้นหอม ข้อมือยังสวมกำไลหยกชั้นดีสองวง ราวกับมีน้ำสีเขียวพันไว้รอบข้อมือของนาง
เพียงมือข้างเดียวก็ทำให้คนมองตะลึงงันได้แล้ว เช่นนั้นสตรีในเกี้ยวจะมีหน้าตาอย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสนใจอย่างอดไม่ได้จึงอยากจะออกไปดู ทว่ากลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งดึงแขนกลับมา
“ระวัง”
บนโต๊ะคิดเงินนั้นมีหินฝนหมึก การที่เสวี่ยเจียเยว่พุ่งตัวออกไปเช่นนี้ สายผูกเสื้อที่ห้อยลงมาจึงตกลงไปในหินฝนหมึกแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กังวล แต่ใช้ศอกกระทุ้งแขนเสวี่ยหยวนจิ้งเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่มาดูเร็วเข้า เหมือนด้านนอกจะมีหญิงงามมานะเจ้าคะ”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็เหลือบมองออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง และเห็นว่ามีสตรีเดินออกมาจากเกี้ยว
ใบหน้าโดดเด่นไม่มีที่ติ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นสตรีที่งดงามมาก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งเท่านั้น ไม่นานก็เก็บสายตากลับมา ก่อนก้มหน้าลงแล้วกล่าวข้างหูเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ
“งามสู้เจ้าไม่ได้”