ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 149.1 งานแต่งพระราชทาน (1)
หนึ่งร้อยสี่สิบเก้า
งานแต่งพระราชทาน
เมื่อได้ยินคำถามของเซี่ยเทียนเฉิง เซี่ยซิ่งเหยียนเหลือบตาขึ้นมองเขา จากนั้นก็แค่นเสียงเย็นชา “สบายดีอันใดกัน ถ้าวันไหนเจ้าไม่สร้างความวุ่นวายให้ข้า ก็ถือว่าวันนั้นข้าโชคดีแล้ว”
เขาไม่เคยพอใจบุตรชายคนโตมาโดยตลอด ทั้งที่ใกล้จะถึงวัยสวมกวานแล้ว ทว่ายังเอาแต่เล่นสนุกทั้งวัน ไม่เป็นโล้เป็นพาย การงานไม่ทำ ทั้งยังขยันก่อเรื่องให้เขาต้องตามเช็ดตามถูทุกวัน หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเป็นบุตรของฮูหยินใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเขาโปรดปรานมารดาของบุตรชายคนนี้ เซี่ยซิ่งเหยียนคงไล่เซี่ยเทียนเฉิงออกจากจวนไปตั้งนานแล้ว
เมื่อเซี่ยเทียนเฉิงได้ยินเช่นนั้น เขาจะกล้าขยับได้อย่างไร ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว
จากนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนก็เอ่ยถามอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าเมื่อวานนี้เจ้าไปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ทั้งยังทำให้ลูกสาวของเฉินเหวินฮั่นอับอายต่อหน้าผู้คน”
เฉินเหวินฮั่น? คงเป็นบิดาของสตรีผู้นั้น เซี่ยเทียนเฉิงรู้สึกประหลาดใจ และยิ่งก้มศีรษะต่ำลง ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ได้แต่ครุ่นคิดในใจว่า ใครหน้าไหนมันกล้าปากมากบอกเรื่องนี้แก่บิดาของเขา หากเขาสืบจนรู้ตัวแล้วจะทำให้มันผู้นั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย
ทันใดนั้นเสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เซี่ยซิ่งเหยียนตบตะเกียบที่ทำจากไม้ตะโกลงบนโต๊ะ และเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เหตุใดตอนนี้เจ้าไม่พูด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับอย่างนั้นหรือ อาจารย์เหล่านั้นสอนเจ้าให้ทำเช่นนี้เป็นประจำหรืออย่างไร”
“ท่าน… ท่านพ่อ” เซี่ยเทียนเฉิงตกใจกับเสียงดังปังเมื่อครู่นี้ แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้ “ลูก… ลูกไม่รู้ว่านั่น… นั่นคือลูกสาวของเฉินเหวินฮั่น หาก… หากรู้…”
ชายหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ เสียงหัวเราะเย็นชาของเซี่ยซิ่งเหยียนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“หากรู้เจ้าจะไม่ทำเรื่องงามหน้าเช่นนั้นใช่หรือไม่ ตอนนั้นสาวใช้ของนางบอกว่าพ่อของนางเป็นใคร แล้วเจ้ากล่าวเช่นไรเล่า แม้แต่ลูกสาวของขุนนางเจ้ายังกล้าทำเรื่องงามหน้า ตอนนี้ยังมีหน้ามาพูดโป้ปดต่อหน้าข้าอีกหรือ เท่านั้นไม่พอ เจ้ายังมีหน้าไปไล่ตามแม่นางน้อยที่แม้แต่ใบหน้าก็มองไม่ชัดไปทั่ววัดต้าเซียงกั๋ว จนวิ่งไปถึงหลังวัด ทำเจ้าอาวาสตื่นตกใจ พูดถึงไหนไม่อายไปถึงนั่นหรือ เจ้าก็รู้ว่าวัดต้าเซียงกั๋วคือวัดของราชวงศ์ เจ้าอาวาสเปรียบเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ได้รับราชโองการจากฮ่องเต้โดยตรงให้มาประจำที่วัด แต่เจ้าก็ยังกล้าทำตัวโอหังอวดดีอยู่ที่นั่นเชียวหรือ หากขุนนางคนอื่นๆ รู้เข้าจนกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วถวายฎีกา ข้าคงถูกเจ้าทำขายหน้าจนไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งโมโห จากนั้นก็ตะคอกต่อ “จะก้มหน้าเช่นนั้นไปทำไมกัน เหตุใดไม่ถือโอกาสนี้มุดลงดินไปเลยเล่า เช่นนั้นก็ไม่ต้องก้มหน้าอีกแล้ว”
เซี่ยเทียนเฉิงตัวสั่นเทา เป็นเวลานานกว่าจะเอ่ยขึ้น “ลูก… ลูกผิดไปแล้ว ลูก… ลูกไม่ทำอีกแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้วขอรับ”
เซี่ยซิ่งเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า เมื่อก่อนไม่ว่าครั้งใดที่เจ้าทำผิดก็เอ่ยคำนี้กับข้าใช่หรือไม่ อาศัยแค่การที่ท่านย่าของเจ้าโปรดปรานเจ้า แล้วเจ้าก็คิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้างั้นหรือ วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามา ก็เพราะมีเรื่องอยากจะบอก ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องขังตัวเองร่ำเรียนอยู่ในจวน จะออกไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว หากข้าเห็นว่าเจ้าออกไปก่อปัญหานอกจวนโดยพลการ ข้าจะสั่งให้คนลากตัวเจ้าไปโบยให้ตาย ต่อให้เจ้าเป็นลูกชายข้า ข้าก็ไม่สนใจ”
เซี่ยเทียนเฉิงได้แต่ตอบรับ เซี่ยซิ่งเหยียนจึงโบกมือไล่อย่างรำคาญ
“เจ้าออกไปเถอะ”
เซี่ยเทียนเฉิงโค้งคำนับบิดา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อบ่าวรับใช้คนสนิทที่รออยู่ด้านนอกเห็นชายหนุ่มเดินออกมา ก็รีบเดินไปเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “คุณชาย นายท่านเรียกหาท่านด้วยเหตุอันใดขอรับ เหตุใดสีหน้าของท่านดูไม่ดีเลย”
เซี่ยเทียนเฉิงนั่งลงบนเก้าอี้คนงาม[1] บนระเบียงทางเดินยาว จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าสงสัยมานานแล้ว เหตุใดเรื่องที่ข้าทำนอกจวนถึงได้มาเข้าหูของท่านพ่อได้ วันนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าที่แท้ก็มีบ่าวรับใช้ที่เป็นหนอนบ่อนไส้”
ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดต้าเซียงกั๋วเมื่อวานนี้ บิดาของเขาจะรู้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร
บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที จึงโน้มตัวเข้าใกล้ผู้เป็นนายแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แล้วคุณชายอยากจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนหรือไม่ขอรับ หากหาตัวคนผู้นั้นเจอแล้ว คุณชายคิดจะทำอย่างไรให้เขาออกไปขอรับ”
“ตรวจก้นเจ้าสิ” เซี่ยเทียนเฉิงถลึงตามองบ่าวรับใช้ “ไม่ว่าจะเป็นความฉลาด ความโหดร้าย เจ้าสู้ท่านพ่อข้าได้เช่นนั้นหรือ เขาคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จอมวางแผนเชียวนะ เจ้ากับข้าร่วมมือกันยังเล่นงานเขาไม่ได้เลย ถึงแม้จะหาคนคนนั้นเจอแล้วจะอย่างไร ถ้าไล่เขาออกไป ท่านพ่อข้าก็หาหนอนบ่อนไส้มาอยู่ข้างกายข้าอีกอยู่ดี”
เมื่อเขากล่าวจบก็ยิ่งโกรธมากขึ้น และลุกพรวดพราดขึ้นมาเตะเสาด้านข้างอย่างแรง
เสาใต้ชายคานี้ทำจากไม้แดงจึงมีความแข็งแรงยิ่งนัก การที่เขาเตะเช่นนั้นมันก็ไม่ได้รับความเสียหายใดแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นนิ้วเท้าของเขาเองที่เจ็บแปลบขึ้นมาทันที
เซี่ยเทียนเฉิงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด พลางคิดในใจว่าสุดท้ายสตรีที่เขาพบเมื่อวานก็หายไป เดิมทีเขาอยากจะส่งคนออกไปตามหา เพราะไม่มีทางเชื่อว่าจะตามหาไม่พบ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้บิดาจะสั่งห้ามเขาออกจากประตูจวนแม้เพียงก้าวเดียว เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะตามหาแม่นางผู้นั้นพบได้อย่างไร
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ว่าไร้หนทางอื่น ทำได้เพียงเดินกลับเรือนของตนไปด้วยความเดือดดาล เขาคิดจะรออีกสักพักเพื่อให้บิดาคลายความโกรธลงบ้าง แล้วค่อยให้ท่านย่าไปขอร้องให้บิดาอนุญาตให้เขาออกจากจวนได้ และครั้งหน้าที่เขาออกจากจวน ก็จะไม่พาบ่าวรับใช้ติดตามไปมากนัก พาไปเพียงบ่าวรับใช้ข้างกาย ทำเช่นนี้ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดบิดาไม่มีทางรู้แน่นอน
เมื่อเซี่ยเทียนเฉิงจากไป เซี่ยซิ่งเหยียนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินข้าว เขาสั่งให้คนมาผลัดเปลี่ยนชุดให้ เพื่อเตรียมตัวเข้าวังไปให้คนเห็นหน้าค่าตาในหอสมุดหลวง
เขาไม่เพียงเป็นขุนนางอาวุโสในเน่ยเก๋อเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวหน้ากรมฮู่ปู้[2] อีกด้วย ดังนั้นชุดจึงเป็นสีแดง บนอกเสื้อและด้านหลังปักเป็นรูปไก่ฟ้า เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็เดินออกไปจากจวน
เกี้ยวรออยู่ข้างประตูใหญ่ตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อเขาเข้าไปนั่งข้างใน คนหามก็ยกเกี้ยวขึ้นทันทีและมุ่งหน้าไปทางวังหลวง
คนหามเกี้ยวทั้งสี่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ตัวเกี้ยวสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เซี่ยซิ่งเหยียนนั่งหลับตาทำจิตใจให้สงบอยู่ในเกี้ยว และครุ่นคิดถึงเรื่องของเฉินเหวินฮั่น
เฉินเหวินฮั่นคือลูกศิษย์ของเขา เป็นคนฉลาดและซื่อสัตย์ต่อเขามาก ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ใจกว้าง หลายปีที่ผ่านมานี้บุรุษผู้นั้นนำสิ่งของมามอบให้เขา ครั้งนี้เฉินเหวินฮั่นเข้ามารายงานตัวที่เมืองหลวง เขาก็สามารถจัดการให้อีกฝ่ายอยู่ในกรมพิธีการได้
สองปีที่ผ่านมานี้อวี๋ซิ่งเสวียจากกรมพิธีการมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับเขามากขึ้น ในขณะที่ฮ่องเต้ยังคงสุขสำราญกับการดื่มสุราทั้งวันโดยไม่สนใจบ้านเมือง ปล่อยให้พวกเขาชิงดีชิงเด่นกันต่อไป กระทั่งมีบางครั้งที่เขาตำหนิอวี๋ซิ่งเสวียต่อหน้าฮ่องเต้ แต่พระองค์ก็เอาแต่หัวเราะเพียงเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะตำหนิอวี๋ซิ่งเสวียมากแค่ไหน ขอให้อีกฝ่ายเคารพเขาที่เป็นพี่ชายของฮองเฮาเท่าไร แต่ตอนนี้อวี๋ซิ่งเสวียก็ยังได้นั่งตำแหน่งสูงในกรมพิธีการ ไม่มีทีท่าว่าจะถูกลดตำแหน่งเลย
บางครั้งเซี่ยซิ่งเหยียนก็เคยสงสัยว่าฮ่องเต้เอาแต่เมาสุราทั้งวันโดยไม่ถามเรื่องบ้านเมือง และเพียงแค่นั่งอยู่บนเขาดูเสือต่อสู้กันจริงหรือไม่ แต่คนที่เขาส่งเข้าไปเป็นหูเป็นตาในวังก็ยืนยันว่า ฮ่องเต้เอาแต่เมาสุราทั้งวันและไม่ทำอันใดจริงๆ ไม่เหมือนคนที่เสแสร้งสักนิด
เขาลองคิดดูอีกที… ฮองเฮาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา องค์รัชทายาทก็เป็นหลานชาย ตราบใดที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากวันใดที่ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ราชวงศ์นี้อย่างไรเสียก็ขึ้นอยู่กับตระกูลเซี่ย เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่อวี๋ซิ่งเสวียเลย ไม่ว่าใครก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา
เซี่ยซิ่งเหยียนคิดเช่นนี้ไปตลอดทาง จนกระทั่งเกี้ยวผ่านเข้าไปในประตูวังหลวง
เขาคือขุนนางที่มีตำแหน่งสูงและเป็นพี่ชายของฮองเฮา ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาตให้เขานั่งเกี้ยวที่พระองค์ประทับเข้าประตูวังหลวง ทำให้เขามีสง่าราศียิ่งนัก
หลังจากเข้ามาในหอสมุดหลวง เขานั่งลงบนโต๊ะหนังสือของตน จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนฎีกาหนึ่งฉบับ แล้วมอบให้ขันทีในวังนำไปถวายฮ่องเต้หย่งหนิง
ผ่านไปเป็นเวลานานก็มีขันทีเดินเข้ามา และบอกว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า
เซี่ยซิ่งเหยียนเดินตามขันทีไปที่ห้องทรงพระอักษร ระหว่างทางได้พบเฉินเหวินฮั่นที่กำลังตามขันทีเข้ามาในวังหลวงพอดี
เมื่อเห็นเซี่ยซิ่งเหยียน เฉินเหวินฮั่นก็รีบเข้ามาคารวะ “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยซิ่งเหยียนพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ฮ่องเต้เรียกเจ้าเข้าวังอย่างนั้นหรือ”
เฉินเหวินฮั่นพยักหน้า สีหน้าของเขามีความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย “ขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยกำลังนั่งเล่นอยู่ในจวน จู่ๆ ก็มีขันทีเข้ามาบอกว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ข้าน้อย… ข้าน้อยหวาดกลัวอยู่ลึกๆ ใต้เท้าเซี่ยรู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าน้อยเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด”
เฉินเหวินฮั่นเคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อยู่หนึ่งครา ตอนที่เขาได้รับตำแหน่งนายอำเภอและถูกส่งตัวไปประจำการที่เมืองอื่น ตอนนั้นพระองค์ยังคงเป็นฮ่องเต้ที่มีความมุ่งมั่นทำเพื่อบ้านเมือง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงนายอำเภอ พระองค์ก็ยังทรงอยากพบเขาและตรัสถามเล็กน้อย หลายปีที่ผ่านมานี้เฉินเหวินฮั่นก็ประจำการอยู่นอกเมืองหลวงมาโดยตลอด จึงไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีก เมื่อจู่ๆ พระองค์ก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
เซี่ยซิ่งเหยียนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงทำได้เพียงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าวางใจเถอะ เป็นเรื่องดีแน่นอน”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงทำตัวไร้มารยาทในวัดต้าเซียงกั๋วเมื่อวานนี้ เซี่ยซิ่งเหยียนก็รู้ว่าหลังจากที่เฉินอ๋าวเหมยกลับไปนางต้องร้องไห้และฟ้องเรื่องนี้แก่เฉินเหวินฮั่นอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่กลัวบุรุษผู้นี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากจะดึงอีกฝ่ายมาเป็นพวกเพื่อเสริมกำลังให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจะเพิกเฉยต่อเรื่องเมื่อวานไม่ได้
หลังจากพูดคุยไม่กี่ประโยค เขาก็เอ่ยติดตลกเรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงทำกับเฉินอ๋าวเหมยเมื่อวานนี้ และบอกว่าบุตรชายของตนรู้ว่าเฉินอ๋าวเหมยคือลูกสาวของเฉินเหวินฮั่น จึงอยากจะพูดคุยกับนางสักสองสามประโยค เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
เฉินเหวินฮั่นได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนกินอึ่งโน้ย แม้จะขมเพียงใดก็พูดไม่ออกสักคำ[3] เพราะหลังจากที่เฉินอ๋าวเหมยกลับไปเมื่อวาน ก็ฟ้องเรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงลวนลามนางต่อหน้าผู้คนในวัดต้าเซียงกั๋วให้เขาฟังทั้งน้ำตา
หากเป็นคนอื่นเขาไม่มีทางให้อภัยง่ายๆ เด็ดขาด แต่คุณชายผู้นั้นเป็นบุตรชายของเซี่ยซิ่งเหยียน ไม่ว่าอย่างไรในภายภาคหน้าเขาก็ยังต้องพึ่งพาบุรุษผู้นี้ แล้วเขาจะทำอันใดได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือปลอบใจเฉินอ๋าวเหมยว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น หากปล่อยไปได้ก็ปล่อยไปเสีย ทว่าตอนนี้เขากลับได้ยินเซี่ยซิ่งเหยียนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเอง และบอกว่าเซี่ยเทียนเฉิงเพียงต้องการพูดคุยกับนางเพราะอยากจะสนิทสนมด้วยเท่านั้น เขาจึงต้องเห็นด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังบอกอีกว่าวันหน้าจะให้ภรรยาของตนพาเฉินอ๋าวเหมยมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเซี่ยที่จวนตระกูลเซี่ย
ทั้งสองพูดคุยกันตลอดทาง ไม่นานก็เดินมาถึงห้องทรงพระอักษร แต่ทันทีที่ก้าวเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ก่อนจะเห็นการต่อสู้อย่างดุเดือดของไก่ชนสองตัวบนพรมขนสัตว์ผืนหนาลวดลายสวยงาม และฮ่องเต้ประทับอยู่บนตั่งตัวยาวข้างหน้าต่าง มีเสียงปรบมือชอบใจดังขึ้นเป็นระยะ
เฉินเหวินฮั่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแอบชำเลืองมองเซี่ยซิ่งเหยียน และเห็นสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังเป็นปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะเดินเข้าไปอีก เขาจึงได้แต่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
[1] ม้านั่งตัวยาว ทำจากไม้ทั้งชิ้น ด้านหลังมีพนักพิงที่มีลักษณะโค้งยื่นออกไปคล้ายกับคอของห่านเพื่อให้สะดวกสบายต่อการนั่ง
[2] หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสำมะโนครัวเรือน รวมถึงเก็บภาษีและบริหารรายจ่ายของแผ่นดิน
[3] หมายความว่ามีความทุกข์ใจแต่ยากจะพูดได้