ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 17 กลับบ้านด้วยกัน
สิบเจ็ด
กลับบ้านด้วยกัน
เสวี่ยเจียเยว่ยืนตะลึงงัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยสายตาประหลาดใจ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้มองเธอ สายตาของเขากลับทอดมองไปข้างหน้า เหมือนกำลังมองสายฝนด้านนอก อีกทั้งสีหน้ายังดูราบเรียบยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเมื่อครู่ตนคงหูฝาดไป จึงอ้าปากเพื่อจะเอ่ยถาม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่เอื้อมมือไปหยิบแห้วจากมือเสวี่ยหยวนจิ้งมาครึ่งหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินเงียบๆ
แห้วกำลังแก่พอดี เมื่อกินเข้าไปจึงมีรสชาติหวานฉ่ำมาก เสวี่ยเจียเยว่กินไปพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มไปพลาง เธอพบว่าเขากำลังกินพร้อมกับหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยกขึ้นมาอ่าน
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าช่วงกลางวันเขาต้องทำงานหลายอย่าง แทบไม่มีเวลาได้อ่านตำราเลย ทว่าแม้ตอนกลางคืนจะมีเวลา ซุนซิ่งฮวาก็ไม่ยอมให้เขาจุดตะเกียง โดยบอกว่าสิ้นเปลืองน้ำมันตะเกียง นางเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไหนเลยจะยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งจุดตะเกียงอ่านตำรา ถึงขั้นบอกให้อ่านโดยอาศัยแสงจันทร์ แสงหิ่งห้อย และแสงสะท้อนจากหิมะ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน หากทำเช่นนี้ติดต่อกันหลายคืน ตาจะไม่บอดเอาหรือ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขยันหมั่นเพียรอ่านตำราโดยไม่ย่อท้อ ด้วยการนำมาอ่านในช่วงที่ออกมาเลี้ยงวัว
เสวี่ยเจียเยว่ชื่นชมความขยันหมั่นเพียรของเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในใจ และไม่คิดจะไปรบกวนเขา หลังจากกินแห้วในมือเสร็จแล้ว เธอก็ยืนพิงผนังมองสายฝนที่โปรยปรายอยู่ด้านนอก พลางคิดถึงเรื่องราวของตนเองอย่างเงียบๆ
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเหนื่อยล้าจากการอ่านตำราแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและบังเอิญเห็นคิ้วบางได้รูปของเสวี่ยเจียเยว่ขมวดเล็กน้อย สายตาทอดมองไปด้านนอก ราวกับมองหยาดฝนที่โปรยปราย ทว่ากลับดูหม่นหมองยิ่งนัก หากจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนกำลังใจลอย
ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่…
เสวี่ยหยวนจิ้งครุ่นคิดถึงเอ้อร์ยา นางเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักแม้ช่วงเวลาสั้นๆ หาได้ยากยิ่งที่จะเงียบงันเช่นในตอนนี้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าหลังจากน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงเป็นไข้ครั้งนั้น ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แม้ใบหน้าและรูปร่างยังคงเหมือนเดิม แต่กลับทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป…
ดวงตาของเอ้อร์ยาในอดีตดูหม่นหมองราวกับปลาตาย ทว่าดวงตาของแม่นางน้อยผู้นี้กลับเหมือนไข่มุกที่เปล่งประกายอ่อนโยน
ช่วงที่ผ่านมาไม่มีเหตุร้ายแรงอันใดเกิดขึ้น เหตุใดนิสัยของคนคนหนึ่งถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนเช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงคิดไม่ตก ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มเยาะตัวเอง แม้ว่าในใจเขาจะไม่โกรธแค้นแม่นางน้อยแล้ว แต่ก็นับญาติไม่ได้จริงๆ ไม่อาจเป็นห่วงจากใจจริง ไม่สามารถรักและทะนุถนอมได้ เหตุใดเขาจะต้องสืบหาสาเหตุความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายด้วยเล่า ขอเพียงคนร่างเล็กมิได้จงใจสร้างความลำบากให้เขา นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาแล้ว ทำไมต้องใส่ใจเรื่องของอีกฝ่ายด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราต่อไป
จนกระทั่งฝนซาลง เขาถึงได้เก็บตำรา ก่อนจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้กลับเรือน
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคำชวน เธอก็มองเขาด้วยสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่หลุดออกจากภวังค์ แต่ไม่นานเธอก็เริ่มได้สติ แล้วเอ่ยตอบรับก่อนจะโน้มตัวลงถอดรองเท้า
ทางเดินในหมู่บ้านล้วนเป็นดิน พอฝนตกก็กลายเป็นโคลนตม เสวี่ยเจียเยว่จึงต้องถอดรองเท้าเดิน เมื่อเธอถอดรองเท้าเสร็จแล้วหยัดกายขึ้นมา ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังถอดรองเท้าเช่นกัน
ผิวพรรณของเขาช่างขาวเนียนหมดจดจริงๆ เสวี่ยเจียเยว่เห็นเท้าทั้งสองข้างและน่องที่โผล่ออกมาจากขากางเกงของเขา ในใจของเธอก็อดอิจฉาไม่ได้ ผิวเขาขาวราวกับหิมะต้นฤดูก็มิปาน อีกทั้งเมื่อพินิจรูปร่างที่ยังดูเยาว์วัยในตอนนี้ ในอนาคตขาของเขาจะต้องยาวขึ้นอีกมากอย่างแน่นอน และไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องเหมือนที่นิยายได้บอกเอาไว้หรือไม่ อีกอย่าง… หากสตรีทั้งหลายในนิยายต่างก็ยอมจำนนต่อเขา นั่นแปลว่าเขาต้องมีความชำนาญในเรื่องรักไม่น้อยใช่หรือไม่
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจอยู่นั้น ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย และเสวี่ยหยวนจิ้งก็หันไปมองด้วยสายตาเย็นชาเช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนสะดุ้งโหยง คิดว่าเด็กหนุ่มที่รู้วิชาอ่านใจคน เข้าใจความคิดที่ชวนเขินอายของเธออย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้เขามีสีหน้าเย็นชา เธอจึงรีบเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจพลางเอ่ยเสียงหวาน
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งทำราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่จะเอ่ยตอบสักคำก็ไม่มี เขาหมุนตัวเดินออกจากศาลเจ้าโดยไม่สนใจเธอแม้แต่นิดเดียว
เธอถึงกับพูดไม่ออก…
เมื่อครู่ที่เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งทำดีกับเธอ แท้จริงล้วนเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างนั้นหรือ ไหนเลยเขาจะถูกเธอทำให้ใจอ่อนได้ เขายังเป็นคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เธอสบถในใจพลางเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไป
แม้ลมที่พัดต้องร่างกายจะทำให้หนาวเหน็บ แต่อากาศหลังฝนตกนั้นสดชื่น ท้องฟ้าเป็นสีคราม เมื่อมองแล้วจิตใจก็เบิกบานไม่น้อย
เสียอยู่อย่างเดียวคือโคลนตมบนทางเดินนั้นช่างน่ารำคาญเป็นอย่างมาก เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าในโคลนเหล่านี้จะมีบางอย่างติดเท้ามาด้วย จึงไม่กล้าลงน้ำหนักเท้ามากเท่าไร สุดท้ายเธอก็ย่ำบนรอยเท้าของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ประทับลงบนโคลน
ในเมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านไปโดยที่ยังดูสบายดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็หมายความว่าต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
เสวี่ยหยวนจิ้งหันกลับไป ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังจดจ่อกับการใช้เท้าย่ำลงไปบนรอยเท้าของเขา
เวลาก้าวเดินช่วงขาของเขาย่อมยาวกว่าเสวี่ยเจียเยว่ แม่นางน้อยจึงต้องถือตะกร้าหวายพลางพยายามเขย่งเท้าก้าวยาวๆ เพื่อให้เหยียบทับรอยเท้าของเขาที่ย่ำผ่านมาก่อนได้
เห็นได้ชัดว่าตะกร้าใบนั้นหนักไม่น้อย และยามที่อีกฝ่ายก้าวเดินร่างกายจะโงนเงนไปด้านข้างเสมอ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นเท้าเล็กขาวเนียนกำลังก้าวทับรอยเท้าเขา มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งก็โค้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปแย่งตะกร้ามาถือไว้เอง โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ เห็นเขาหันหลังให้เธอแล้วเดินไปข้างหน้า แผ่นหลังเหยียดตรงราวกับต้นสนที่ทะนงตัวไม่ยอมศิโรราบต่อพายุหิมะ
เธออดยิ้มมุมปากมิได้ จากนั้นก็เดินย่ำทับรอยเท้าของเสวี่ยหยวนจิ้งต่อไป
ฝนที่ตกในฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศหนาวเย็น แต่นับว่าเป็นฤดูกาลที่ดี เพราะท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง และแสงแดดที่แผดเผาในฤดูร้อนเริ่มอ่อนลง ตอนที่ชาวบ้านออกมายืนนอกเรือนในตอนเช้า ก็มีหยดน้ำค้างพร่างพราวอยู่บนใบหน้า แสงแดดยามเช้าตรู่เปล่งประกายราวกับสายรุ้ง
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง…
ขณะอยู่บนโต๊ะอาหารเช้า ซุนซิ่งฮวาบอกเสวี่ยหย่งฝูว่ามีคนไปล่าสัตว์บนภูเขาแล้วได้ไก่ป่ากับกระต่ายป่ามา จากนั้นก็พูดต่ออย่างกระตือรือร้น
“ข้าเห็นกับตาว่าใต้ชายคาตรงระเบียงเรือนของพี่โจวมีเนื้อแห้งแขวนเอาไว้เต็มไปหมด ทั้งยังมีหมูป่าตัวใหญ่อีกหนึ่งตัวด้วย พี่โจวกำลังล้างเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นๆ อยู่ข้างลำธาร นางบอกว่าต้องตากแดดในวันที่แสงดีๆ จากนั้นก็ใช้กิ่งสนในการตาก ในลานเรือนของนางยังมีกระด้งใบใหญ่วางเอาไว้อีกหลายใบ ในนั้นเต็มไปด้วยเห็ด และมีเกาลัดป่ากับลูกพลับด้วย นางบอกว่าเนื้อสัตว์ป่ากับพืชผักผลไม้ป่าเหล่านี้จะเก็บไว้กินส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็รอให้คนนอกหมู่บ้านเข้ามารับซื้อไป”
เสวี่ยหย่งฝูกำลังคีบผัดผักกาดเข้าปาก จากนั้นก็กัดหมั่นโถวที่ทำจากข้าวโพดคำหนึ่ง กินจนแก้มป่องออกมา และไม่ได้เอ่ยตอบอะไร
ซุนซิ่งฮวาเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะวางตะเกียบลง “กิน กิน กิน เจ้าก็รู้จักแต่กิน กับข้าวบนโต๊ะอาหารของคนอื่นคือไก่ดองกับเนื้อตากแห้ง เห็ดสดใหม่ พวกเรากลับได้กินแต่ผักพวกนี้ทุกวัน แม้แต่น้ำมันยังไม่กล้าใส่เยอะ เจ้าเป็นบุรุษอกสามศอกแท้ๆ วันๆ เจ้าให้เมียตัวเองกินแต่ของเช่นนี้หรือ ไม่อายบ้างหรืออย่างไร”
หากเป็นเมื่อก่อนเสวี่ยหย่งฝูยังกล้าเถียงซุนซิ่งฮวาอยู่บ้าง ทว่าช่วงนี้ยิ่งเขาพยายามควบคุมนางมากเท่าไร ซุนซิ่งฮวาก็จะยิ่งด่าเขามากกว่าเดิม เขาจึงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับนางอีก ได้แต่เอ่ยตอบเสียงดัง
“เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพ่อของพี่ใหญ่เสวี่ยเป็นนักล่าสัตว์ และพี่ใหญ่เสวี่ยก็เคยไปล่าสัตว์กับพ่อของเขา ปีไหนที่ว่างจากการทำนาเขาจะขึ้นไปหาของป่าบนเขา ข้าไม่เคยล่าสัตว์ แม้ว่าข้าจะขึ้นไปบนเขาก็คงหาของเหล่านั้นกลับมาไม่ได้”
“ล่าสัตว์ไม่เป็น เก็บเห็ด เก็บเกาลัด เก็บลูกพลับก็ทำไม่เป็นเลยอย่างนั้นหรือ” ซุนซิ่งฮวาเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายไม่น้อย “ใครๆ ต่างบอกว่าอยู่ใกล้ภูเขาก็หากินกับภูเขา แต่ดูเจ้าสิ ตั้งแต่ต้นปีจนท้ายปีก็เอาแต่ทำงานในที่นาเพียงเล็กน้อยนั่น จะไม่ตายเพราะความยากจนเอาหรือ เจ้าควรไปเก็บของป่ามาตากแห้ง รอให้คนนอกหมู่บ้านมารับซื้อ ให้ข้าได้เย็บชุดใหม่สักตัว เดินไปไหนมาไหนคนอื่นจะได้มองข้าสูงขึ้นมาบ้าง คนเป็นสามีอย่างเจ้าก็จะมีหน้ามีตากับเขาด้วย”
เสวี่ยหย่งฝูไตร่ตรองครู่หนึ่ง “เก็บเกาลัดกับลูกพลับป่าก็ยังดี ข้ายังพอทำได้ ส่วนเรื่องเห็ดนั้นข้าแยกไม่ออกว่าอันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้ แต่ว่า…”
เขาปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง “ตอนที่แม่ของเจ้ายังอยู่ หากวันไหนที่ว่างจากการทำนา นางก็จะพาเจ้าขึ้นเขาไปเก็บเห็ดเอามาตากแห้งแล้วขายเป็นเงิน เห็ดพวกนั้นเจ้ายังจำได้ใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตาลงจนบิดามองสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน ได้ยินเพียงเสียงเอ่ยตอบแผ่วเบา
“นี่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” ซุนซิ่งฮวามองเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเสวี่ยหย่งฝูและเอ่ยออกมา “ตอนนี้งานในไร่นาก็ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าให้เขาไปเก็บของป่ากลับมาตากแห้งเพื่อขายแลกเงิน”
ทั้งยังชี้ไปที่เสวี่ยเจียเยว่ “ส่วนเจ้าก็ไปกับพี่เจ้าด้วย”
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าซุนซิ่งฮวามักจะหางานให้เธอทำอยู่แล้ว จึงได้แต่ก้มหน้ากินข้าว พยายามลดการมีตัวตนลง เพื่อไม่ให้ไฟแห่งความร้ายกาจของซุนซิ่งฮวาลุกลามมาถึงตน คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายมันก็ยังมาถึงตัวเธออยู่ดี
เธอไม่อยากไปแม้แต่น้อย จึงเอ่ยถามซุนซิ่งฮวา “ข้าก็ต้องไปด้วยหรือ ข้ายังเด็ก ทำเรื่องพวกนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ขึ้นเขาไปเกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงท่านพี่เปล่าๆ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองเธออย่างเย็นชา ทว่าไม่ได้เอ่ยคำใด
“ยังเด็กอะไรกัน” น้ำเสียงของซุนซิ่งฮวาเบื่อหน่ายยิ่งนัก “พอผ่านปีนี้ไปเจ้าก็เก้าขวบ ข้าอยากจะขายเจ้าให้บ้านอื่นเลี้ยงดูเป็นลูกสะใภ้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เรื่องอะไรเจ้าก็ไม่อยากทำอย่างนั้นหรือ ให้ขึ้นเขาไปเก็บของป่าเจ้ายังหาข้ออ้างมาปฏิเสธอีก”
เมื่อนางกล่าวจบก็ยื่นมือไปหยิบหมั่นโถวที่เหลือครึ่งลูกในมือของเสวี่ยเจียเยว่ “เก็บของป่าไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกิน ปล่อยให้หิวไปอย่างนั้นแหละ”
เสวี่ยเจียเยว่โมโหเป็นอย่างมาก อยากจะขว้างถ้วยผัดผักกาดใส่หน้าซุนซิ่งฮวานัก เธอพยายามข่มกลั้นอารมณ์เป็นเวลานานกว่าจะใจเย็นลง
เสวี่ยหย่งฝูเอ่ยขึ้นบ้าง “ของป่าบริเวณเชิงเขาคงถูกคนอื่นเก็บไปหมดแล้ว หากอยากได้อะไรกลับมา ก็คงทำได้เพียงเดินเข้าป่าลึกขึ้น”
“ต้องเดินเข้าป่าลึกบนเขาก็ทำสิ” ซุนซิ่งฮวารีบเอ่ยต่อทันที “วันมะรืนนี้จะเป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของแม่ข้า พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านเกิดไปอวยพรนาง เจ้าในฐานะลูกเขยจะไม่ไปแสดงความเคารพนางที่เป็นผู้อาวุโสหน่อยหรือ อีกอย่าง… ข้าไม่ได้พบหน้าแม่ของข้ามานานแล้ว อยากจะอยู่พูดคุยกับนางที่เรือนสักสองวัน พอถึงวันที่พวกเราไปแล้ว พวกเขาสองคนอยู่ที่เรือนจะให้ทำอะไร ไปเก็บของป่ามาขายแลกเงินน่ะดีแล้ว”