ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 181 จบบริบูรณ์ (1)
หนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ด
จบบริบูรณ์ (1)
แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะกังวลใจ แต่เพื่อไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัว หลังจากกลับถึงเรือนเขาจึงไม่ได้พูดเรื่องนั้นให้อีกฝ่ายฟัง กล่าวเพียงว่าเจียงฉงอวี้ให้กำเนิดเด็กชาย แม่ลูกปลอดภัยดี
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจกับเจียงฉงอวี้มาก จากนั้นเธอปรึกษากับเสวี่ยหยวนจิ้งว่าจะส่งอะไรไปรับขวัญเด็กคนนั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งนึกถึงคำพูดที่เขาเคยเดิมพันกับตันหงอี้ในตอนนั้น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ข้าจะซื้อจี้ทองแดงอายุยืนกับกำไลทองแดงคู่หนึ่งมาด้วย”
นี่นับว่าเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามาก แต่เสวี่ยเจียเยว่กับเจียงฉงอวี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาจึงยินดีมอบให้
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าท้องฟ้ามืดลง จึงให้ฉ่ายผิงยกกับข้าวไปวางไว้บนโต๊ะ
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งตั้งครรภ์ เธอกินอะไรไม่ได้เลย ทั้งวันจึงดูเศร้าหมอง บางครั้งก็อาเจียน แต่ตอนนี้ความอยากอาหารของเธอดีขึ้นมาก มื้อหนึ่งกินข้าวสองถ้วยยังไม่พอ ผ่านไปสักพักเธอก็หิวอีก อยากกินขนมหรือไม่ก็ผลไม้
เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นภรรยาผอมลงมากจึงได้แต่บอกให้อีกฝ่ายกิน ทั้งยังบอกให้ฉ่ายผิงซื้อปลาที่สดใหม่ ไก่ และเป็ดกลับมาทุกวัน ขนมกับผลไม้ก็อย่าให้ขาด แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่กินมากขนาดนั้นแล้ว
พอเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากเพิ่มข้าวอีกถ้วย เขาก็หยิบถ้วยมาพลางเอ่ยห้าม “กินข้าวเย็นเยอะๆ มันจะไม่ย่อยเอาได้นะ กินแค่ถ้วยเดียวก็พอแล้ว”
ไม่ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพูดอะไร เขาก็ยังคงไม่ขยับตัว ก่อนจะเรียกฉ่ายผิงมาเก็บอาหารทั้งหมดออกไป สั่งให้กวนเหยียนไปจุดตะเกียงในลานเรือน และคิดจะประคองภรรยาไปเดินเล่นในลาน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร กินมากเด็กจะตัวโต เมื่อถึงตอนคลอด หากเด็กตัวโตแล้วต้องคลอดลำบากแน่ การเดินบ่อยๆ ก็มีประโยชน์ต่อการคลอด
ไม่รู้ว่าวันนี้เขาเห็นอะไรในเรือนตระกูลตัน ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งต้องกังวลมากแน่ๆ
เสวี่ยเจียเยว่คิดดังนั้นจึงยอมให้เขาสวมเสื้อคลุมให้อย่างว่าง่าย จากนั้นทั้งสองคนก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก
แสงจันทร์ในคืนนี้สว่างไสวมาก เมื่อแสงนั้นตกกระทบพื้นก็เหมือนกับน้ำค้างแข็ง สว่างไสวไปทุกที่จนแทบไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียงเลย
หญิงสาวบอกเสวี่ยหยวนจิ้งให้ไปดับตะเกียงในลานเรือน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินเล่นภายใต้แสงจันทร์พลางพูดคุยกัน
“อีกไม่กี่เดือนลูกของเราก็จะออกมาแล้ว สมาชิกในครอบครัวจะมีพ่อ แม่ และลูก จากนั้นสี่หรือห้าปี ลูกของเราโตขึ้น ถ้าในเวลากลางคืนพวกเราออกมาเดินเล่นเช่นนี้ นางจะต้องทำตามแน่ ไหนเลยจะเงียบสงบเช่นนี้
“รอให้ผ่านไปสักสิบปี ยี่สิบปี แม้ว่าลูกของเราจะโตขึ้นและฉลาดเฉลียว ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราอีก แต่พวกเขาก็จะมีลูก และลูกของพวกเขาจะเป็นหลานของพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องรบกวนเราอย่างแน่นอน เราสองคนออกมาเดินเล่นกันตามลำพังในยามค่ำคืนน้อยครั้งนัก ดังนั้นต่อไปพวกเรามาเดินเล่นเวลานี้บ่อยๆ ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินภรรยากล่าวเช่นนี้ ก็เหมือนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นทั้งชีวิตของเขากับเสวี่ยเจียเยว่และครุ่นคิดตาม ชีวิตที่แสนอบอุ่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เขาต้องการความสงบสุข อยากให้ชีวิตนี้มีคนหรือสิ่งของที่เขารัก อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น มีความสุขในแบบธรรมดาในบั้นปลายชีวิต
แต่เสวี่ยเจียเยว่ต้องอยู่เคียงข้างเขา หากไม่มีแม่นางผู้นี้อยู่ข้างๆ เขาก็คงไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องการคลอดบุตรของเจียงฉงอวี้ในวันนี้ เขาก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จึงจับมือของเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้แน่น
ชายหนุ่มมองหน้าท้องของภรรยาที่นูนขึ้นมาด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ไม่รู้ว่าคาดหวังหรือกล่าวโทษในตัวเด็ก เขาจึงคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องพบกับความเจ็บปวดราวกับร่างจะฉีกตอนคลอดลูก…
มือเย็นๆ แต่อ่อนนุ่มข้างหนึ่งจับมือของเขาวางลงบนท้องของอีกฝ่าย พอเสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยิ้มให้เขา
“ท่านพี่ เมื่อครู่นี้เขาเตะข้าอีกแล้ว ท่านลองจับดูสิ”
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะสวมเสื้อผ้าหนาๆ แต่เวลานี้เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนจะสัมผัสได้ว่าเจ้าตัวน้อยในท้องหญิงสาวกำลังเคลื่อนไหว อีกฝ่ายกำลังเตะฝ่ามือของเขา ราวกับว่ากำลังตำหนิเขาที่กลายเป็นบิดาใจคอโหดเหี้ยม
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าหัวใจของเขาอ่อนเหลวราวกับหยดน้ำ
เขาถอนหายใจเบาๆ พลางเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเสวี่ยเจียเยว่ และกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม จากนั้นจึงก้มหน้าลงจูบศีรษะของหญิงสาวแล้วกระซิบ
“พวกเราจะเลี้ยงลูกคนนี้ให้ดี”
เสวี่ยเจียเยว่ส่งเสียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งต้องไปเห็นเหตุการณ์คนทำคลอดมา ทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วงเธอ หลังจากกลับมาถึงเรือนจึงไม่ยิ้ม
ทว่าแม้เธอจะกลัว หญิงสาวก็ไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นกังวล ยิ่งไม่อยากให้เขาเกลียดลูกของตน ดังนั้นเมื่อครู่ที่ลูกในท้องขยับ เธอจึงจงใจดึงมือสามีมาวางไว้บนท้องของตัวเอง
โชคดีที่ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน เมื่อเป็นเช่นนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงสบายใจ
ผ่านไปสองวัน เมื่อลูกของเจียงฉงอวี้ผ่านพิธีสีซาน[1] เสวี่ยเจียเยว่ก็นำจี้ทองแดงกับกำไลทองแดงที่เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อมาไปเยี่ยมนาง
แม่นมอุ้มลูกชายของเจียงฉงอวี้ออกมาให้เธอดู เด็กถูกห่ออยู่ในถุงผ้าไหมสีแดงขนาดใหญ่ เขากำลังหลับตาปี๋ แม้ว่าตาจะปิดอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นดียิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินคนอื่นชี้ไปที่เด็กและพูดกับคนข้างๆ ว่าเด็กคนนี้มีลักษณะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ของเขา ในเวลานั้นเธอตั้งใจมองอย่างมาก แต่ตอนนี้ก็บอกไม่ได้ว่าเด็กคนนี้เหมือนใคร ไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเหมือนตันหงอี้หรือเจียงฉงอวี้
และเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขนาดนั้น แทบบอกไม่ได้ว่าเหมือนใครกัน เธอจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใบหน้าของใต้เท้าตันหล่อเหลา ส่วนใบหน้าของเจ้าก็งดงาม เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นจะต้องหน้าตาดีมากแน่ๆ”
คนเป็นมารดาจะมีความสุขเมื่อได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกของตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
เจียงฉงอวี้เอนกายพิงหัวเตียง สั่งให้สาวใช้นำเก้าอี้มาให้เสวี่ยเจียเยว่นั่ง จากนั้นจึงพูดคุยกับอีกฝ่าย
“ในเวลานั้นข้าคิดว่าคงไม่รอดแล้ว จึงขอร้องหมอให้ช่วยชีวิตลูกของข้า สาวใช้และแม่นมต่างร้องไห้อยู่ข้างๆ บอกให้ข้าอดทนไว้ ต่อมาหมอก็เข้ามาและให้กินยาที่ช่วยเร่งการคลอด ข้ารู้สึกสับสนมึนงง ไม่รู้ว่ากินยาไปมากเท่าไร ต่อมาข้าก็รู้สึกผ่อนคลาย และได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ข้าคลอดลูกออกมาแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่ฟังด้วยรอยยิ้ม บางครั้งก็เอ่ยตอบสองสามประโยค แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อนั้นกำแน่น ฝ่ามือก็เปียกชื้น
ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ความจริงแล้วในใจก็กลัวตอนทำคลอด และตอนนี้เจียงฉงอวี้ยังบอกอีกว่าให้กำเนิดบุตรนั้นอันตรายขนาดไหน…
แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเจียงฉงอวี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย นางรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่หลังจากนั้น เธออยากพูดเรื่องนี้กับใครสักคน แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากได้ยินคำพูดเหล่านี้สักเท่าไร
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ ก็เห็นว่าแสงในห้องสว่างไสวขึ้น มีคนเลิกม่านผ้าโปร่งที่ประตูนั่นเอง จากนั้นเธอได้ยินเสียงสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยคำว่า ‘คุณชาย’
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองก็เห็นตันหงอี้เดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวสบตากับอีกฝ่ายพอดีและชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยทักทายเขา
“ท่านกลับมาแล้วหรือ”
ตันหงอี้ตะลึงงัน… เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ในห้องนี้ พูดกับเขาราวกับเป็นการไถ่ถามในชีวิตประจำวัน เหมือนหญิงสาวเป็นภรรยาที่กำลังรอให้เขากลับเรือน
แต่เขารู้ว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้…
เมื่อหัวใจรู้สึกเจ็บปวด เสียงของเขาจึงแหบแห้ง “อือ ข้ากลับมาแล้ว”
เจียงฉงอวี้นั่งฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ถึงได้รู้สึกแปลกๆ ในใจ นางนั่งตัวตรงและเรียกสามีด้วยรอยยิ้ม
ตันหงอี้ส่งเสียงตอบรับ ทว่าสายตาของเขาเอาแต่มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่และกล่าวขึ้น
“เมื่อครู่ข้าบังเอิญพบสหายเสวี่ยระหว่างทางจึงเดินกลับมาด้วยกัน หากเขากลับเรือนไปแล้วไม่เจอเจ้า ต้องกังวลใจมากเป็นแน่ ข้าจะให้คนไปส่ง”
คำกล่าวนี้หมายถึงให้เสวี่ยเจียเยว่กลับไป
เจียงฉงอวี้คิดว่าการทำเช่นนั้นไร้มารยาทเกินไปแล้ว จึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเสวี่ยน่าจะรู้ว่าฮูหยินเสวี่ยอยู่กับข้าที่นี่ ไม่มีทางเป็นกังวลแน่ หรือจะให้ข้าส่งสาวใช้ไปแจ้งใต้เท้าเสวี่ยก่อนว่าฮูหยินของเขาอยู่ที่นี่”
ความคิดแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในหัวใจเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว นางคิดว่าตนคงคิดมากไปเอง
แต่ตันหงอี้ยังยืนกราน “ตอนที่ข้ากลับมา ข้าเห็นว่าท้องฟ้ามืดครึ้ม ทั้งยังมีลมพัด อีกเดี๋ยวหิมะคงตก เจ้ารีบกลับไปเร็วๆ หน่อยก็ดี”
เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว เสวี่ยเจียเยว่จะอยู่ต่อให้สบายใจได้อย่างไร เดิมทีเธอก็อยากจะกลับแล้ว หญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวกับเจียงฉงอวี้ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่วันหลัง”
จากนั้นเธอมองไปที่ตันหงอี้อีกครั้งและพูดกับเขา “ข้าขอตัวกลับก่อน”
ตันหงอี้พยักหน้า สายตามองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ “ข้าจะไปส่งเจ้า”
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องการให้เขาไปส่ง แต่เหมือนเขารู้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงหมุนตัวเดินออกไปข้างนอกก่อนแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จนปัญญา ทำได้เพียงยิ้มให้เจียงฉงอวี้ จากนั้นฉ่ายผิงก็ประคองแขนเธอเดินออกไปข้างนอก
หญิงสาวเห็นตันหงอี้ยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากัน
ที่แท้หิมะก็ตกลงมาแล้ว…
ตันหงอี้สั่งให้สาวใช้ไปหยิบร่ม ส่วนตนก็เดินไปที่ระเบียงทางเดิน หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับไปมองเสวี่ยเจียเยว่ และส่งสัญญาณให้หญิงสาวเดินตามมา
เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องไปส่ง อยากให้เขากลับไป ตันหงอี้จึงไม่ให้โอกาสเสวี่ยเจียเยว่ได้พูดคำนั้น
เสวี่ยเจียเยว่จนปัญญาจริงๆ จึงได้แต่เกาะแขนฉ่ายผิงเดินไปยังระเบียงทางเดิน
ตอนนี้ท้องของเธอโตแล้ว จึงไม่อาจเดินเร็วๆ ได้ ทำได้เพียงเดินช้าๆ ส่วนตันหงอี้ก็ไม่รีบร้อน เขาชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย
ท้องฟ้ามืดครึ้ม หิมะตกลงมาจากฟากฟ้าเหนือศีรษะ ใบไม้ในลานเรือนเสียดสีกัน ลมหนาวพัดมาทีไรก็รู้สึกเย็นไปถึงกระดูกทุกที แต่ตันหงอี้ยังนิ่งสงบและใจเย็น
[1] หนึ่งในพิธีกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากของคนจีนในสมัย ในวันที่สามหลังจากเด็กทารกคลอดออกมา คนในครอบครัวจะต้องอาบน้ำให้เด็ก และเชิญญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมพิธี