ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 20 ความลับช่างมีมากมายนัก
ยี่สิบ
ความลับช่างมีมากมายนัก
หลังจากกินไข่ลวกใส่ข้าวสาลีคั่วเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็นำหม้อ ถ้วย และตะเกียบไปล้างที่ลำธาร
จากการสังเกตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เธอได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่า ตอนที่มารดาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังมีชีวิตอยู่ นางขอเพียงให้เขาตั้งใจเล่าเรียน เรื่องงานในเรือนที่จะให้เขาทำนั้นมีน้อย เขาจึงมุมานะเล่าเรียนเป็นอย่างมาก คนในหมู่บ้านต่างพูดกันว่าในอนาคตเขาอาจสอบผ่านเป็นขุนนางก็ได้ แต่คิดไม่ถึงว่ามารดาของเขาจะจากไปเสียก่อน ตั้งแต่ซุนซิ่งฮวาแต่งงานกับเสวี่ยหย่งฝู นางก็ขายน้องสาวของเขาออกไป ให้เขาหยุดเรียน ซ้ำยังถูกบิดาละเลย นิสัยเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
หากซุนซิ่งฮวายังกระทำการโหดเหี้ยมกับเขาต่อไป เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องกลายเป็นคนเลือดเย็นอำมหิตเป็นแน่
เสวี่ยเจียเยว่คิดพลางถอนหายใจ ต้นกล้าที่เคยได้รับการบ่มเพาะมาอย่างดีกลับถูกซุนซิ่งฮวาทำลายไม่เหลือซาก แต่เธอยังรู้สึกสบายใจ เพราะในที่สุดตนก็สามารถแก้ไขความสัมพันธ์กับเสวี่ยหยวนจิ้งได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนอำมหิต
แม้ว่าในใจจะครุ่นคิดเรื่องต่างๆ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ล้างภาชนะด้วยความคล่องแคล่ว
แม่เลี้ยงในภพที่จากมาใช้เธอทำงานบ้านทั้งวี่ทั้งวัน พอข้ามภพมาที่นี่ ซุนซิ่งฮวาก็ไม่ยอมให้เธอได้พักผ่อน ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการล้างถ้วยชามเธอจึงชำนาญเป็นอย่างมาก
เมื่อล้างทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอลุกขึ้นหมุนตัวกลับก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เธอ มือถือกิ่งไม้และไพล่ไปด้านหลัง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกิ่งไม้ที่เธอเก็บมาใช้เป็นไม้เท้าก่อนหน้านี้
เสวี่ยเจียเยว่ยกยิ้มมุมปากและไม่เอ่ยคำใด
เธอรู้ได้ว่าความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นห่วง เพราะการขึ้นเขามีอันตรายอยู่รอบด้าน อาจต้องพบเจอกับสัตว์ป่า เขาคงไม่วางใจหากปล่อยให้เธอมาล้างภาชนะต่างๆ ที่ลำธารเพียงคนเดียว จึงเดินตามมาโดยอยู่ให้ห่างจากเธอพอสมควร
‘คนผู้นี้นี่จริงๆ เลย ทั้งที่ในใจเป็นห่วงแท้ๆ แต่ยังแกล้งทำหน้าเย็นชาราวกับว่าพอเห็นหน้ากันก็รำคาญ ไม่อยากสนทนาด้วยอย่างไรอย่างนั้น’
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่หมุนตัวกลับมา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และถือกิ่งไม้เดินกลับไปที่เดิม
หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว ทั้งสองตรวจดูให้แน่ใจว่าไฟดับสนิท จากนั้นก็สะพายกระบุงของตนเดินขึ้นเขาต่อไป
ระหว่างเดินเสวี่ยหยวนจิ้งยื่นกิ่งไม้คืนให้เสวี่ยเจียเยว่เงียบๆ ก่อนจะเก็บกิ่งไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง และใช้เขี่ยใบไม้ที่หนาทึบออกจากพื้นดิน ขณะเดียวกันก็มองขึ้นไปบนต้นไม้ด้วย
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเขากำลังมองหาเห็ดกับเกาลัดป่าอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ตรงนี้ล้วนถูกชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงและหมู่บ้านรอบๆ มาหาของป่าก่อนแล้ว จะมีอะไรเหลือให้เก็บอีกเล่า
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อพวกเขาเดินไปอีกไม่ไกลก็เห็นสตรีวัยกลางคนสองคนกำลังเดินมาทางนี้ ด้านหลังมีลูกๆ ของพวกนางเดินตาม อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ในชนบทหากบุตรที่มีอายุมากเช่นนี้สามารถอยู่คนเดียวได้แล้ว
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กำลังสะพายกระบุงเดินมา สตรีหนึ่งในนั้นก็กล่าวกับพวกเขาด้วยความหวังดี “พวกเจ้าสองคนก็มาเก็บของป่าเหมือนกันหรือ แต่บริเวณนี้มีคนเก็บไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้เก็บแล้วละ ข้าว่าพวกเจ้าสองคนกลับไปจะดีกว่า”
เมื่อนางกล่าวจบก็ยื่นตะกร้าหวายที่ห้อยอยู่บนแขนให้พวกเขาดู ภายในตะกร้านั้นมีกีวีป่าอยู่เพียงเล็กน้อย
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่านางคือชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิง ตระกูลเดิมก็แซ่เสวี่ยเช่นกัน เธอจึงเอ่ยเรียกสตรีผู้นั้นว่า “ป้าเสวี่ย” ด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับพี่ชายอยากจะเดินเข้าไปดูในป่าลึกบนเขา อาจจะเก็บของป่ามาได้บ้างเจ้าค่ะ”
“ในป่าลึกอย่างนั้นหรือ” สตรีอีกคนมองพวกเขาด้วยความตกใจ “แค่พวกเจ้าสองคน ไม่มีผู้ใหญ่พาเข้าไปหรือ”
แม้ในยามปกติ เมื่อมีเวลาว่างจากงานในไร่นา ชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงและหมู่บ้านรอบๆ จะขึ้นเขามาเก็บของป่า เมื่อตากแห้งแล้วก็นำไปขายพอได้เงินมาใช้จ่ายในครอบครัว และจะมีสตรีที่พาบุตรขึ้นเขามาด้วย ทว่าพวกเขามักจะเดินหาแค่บริเวณเชิงเขา มีน้อยคนที่จะเดินขึ้นเขาสูงแล้วเข้าไปในป่าลึก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในนั้นมีสัตว์ป่าดุร้าย และดูเหมือนจะมีปีศาจด้วย มีชาวบ้านที่เคยเข้าไปแล้ววิ่งเตลิดออกมา บอกว่าตอนกลางคืนจะเห็นเงาดำบินอยู่เหนือต้นไม้ แค่ชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นแล้ว จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงปีศาจร้องโหยหวนน่าหวาดกลัว เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีก สามีของป้าหานก็ชอบล่าสัตว์เช่นเดียวกัน ยังไม่กล้าเข้าไปในป่าลึกเลย ได้แต่เดินหาของป่าอยู่ที่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น
แม้แต่ผู้ใหญ่ยังไม่กล้าเข้าไปในป่าลึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อายุยังน้อยอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่
ป้าเสวี่ยรีบกล่าว “พวกเจ้าสองคนจะเข้าไปได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องสนุก หากไม่ระวังอาจถึงแก่ชีวิตได้ รีบกลับไปเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่มิได้เอ่ยตอบอันใด เพียงแค่คลี่ยิ้มบางเท่านั้น เธอมีเหตุผลที่ไม่หวาดกลัวอยู่แล้ว
ประการแรก… เมื่อวานซุนซิ่งฮวาได้พูดขู่เอาไว้ว่า หากนางรู้ว่าพวกเขาแอบขี้เกียจไม่เดินเข้าไปในป่าลึกบนเขา พอกลับเรือนพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างหนัก ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นนางจะเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก ซึ่งไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่นอน เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากเจอเหตุการณ์เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
ประการที่สอง… ในเมื่อเธอรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคือพระเอกของเรื่องนี้ แม้ว่าจะเดินเข้าไปในป่าลึก ก็ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน ตราบใดที่เธอเดินตามเขาอย่างใกล้ชิด ก็ไม่มีสัตว์ร้ายหรืออะไรมาทำอันตรายเธอได้ อีกทั้งเสวี่ยหยวนจิ้งยังมีท่าทีเยือกเย็น เขาอาจมีแผนการบางอย่างในใจแล้วก็เป็นได้
ประการที่สาม… เธอไม่อยากอยู่กับเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาตลอดไป แต่ถ้าจะให้ออกไปเผชิญกับโลกภายนอกทำมาหากินเพียงคนเดียวก็กระไรอยู่ ต้องมีเงินติดไม้ติดมือไปด้วย ไม่แน่ว่าในป่าลึกอาจมีของล้ำค่าอย่างเช่นโสมร้อยปีกับเห็นหลินจือ หากเธอโชคดีเก็บของเหล่านั้นมาได้แล้วนำไปขาย ก็สามารถวางแผนเรื่องหนีออกจากที่นี่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ยังอยากจะลองดูสักตั้ง
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านป้าที่เป็นห่วง ข้ากับพี่ชายเพียงอยากจะลองเข้าไปดูเท่านั้น หากเห็นว่ามีอันตราย พวกเราจะรีบกลับแน่นอนเจ้าค่ะ”
จากนั้นเธอก็เอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งประสานมือคำนับป้าเสวี่ยกับสตรีอีกคน ก่อนจะก้าวเท้านำเสวี่ยเจียเยว่ไป
ทั้งสองเดินมาได้ไม่กี่ก้าว เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินป้าเสวี่ยสนทนากับสตรีอีกคน คำพูดของนางนั้นล้วนตำหนิซุนซิ่งฮวา… หลังจากแต่งเข้าเรือนตระกูลเสวี่ย ซุนซิ่งฮวาทำเช่นไรกับเสวี่ยหยวนจิ้งรวมทั้งลูกสาวแท้ๆ ของตน ล้วนอยู่ในสายตาของชาวบ้าน ดังนั้นป้าเสวี่ยจึงคาดเดาว่า ซุนซิ่งฮวาต้องบังคับเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในป่าลึกบนเขาอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นพวกเขาจะกล้าเข้าไปได้อย่างไร คนหนึ่งอายุสิบสี่ปี ส่วนอีกคนเพิ่งแปดขวบ นี่มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากไม่ระวังก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีอีกคนบอกว่าซุนซิ่งฮวาเป็นปีศาจ เป็นคนไม่มีหัวใจและโหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งยังตำหนิเสวี่ยหย่งฝูว่ามีภรรยาแล้วไม่แยแสลูกตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็ขายออกไปคนหนึ่ง ทั้งยังไม่ยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียนที่สำนักศึกษา ตอนนี้ยังจะกดขี่ให้ทำเช่นนี้อีกหรือ
ป้าเสวี่ยกระซิบกระซาบว่าซุนซิ่งฮวาอาจอยากให้ทั้งสองคนตายไปเลยก็เป็นได้ คนหนึ่งไม่ใช่ลูกในไส้ของนาง นางย่อมลงมือได้โดยไม่ลังเล ส่วนอีกคนแม้จะเป็นลูกของนาง ทว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเสวี่ยหย่งฝู ทั้งยังเป็นลูกสาว หากยังเห็นอยู่ในเรือนก็รังแต่จะรำคาญลูกตา ถ้าพวกเขาตายคงลดค่าใช้จ่ายในบ้านได้มาก แล้วชีวิตของสองสามีภรรยาจะไม่สบายขึ้นกว่าเดิมหรือ ต่อไปเมื่อซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูให้กำเนิดลูกด้วยกัน ครอบครัวก็จะมีความสุข
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ฟังคำพูดเหล่านั้น เธอก็เหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งไปด้วย
เธอไม่สนใจว่าซุนซิ่งฮวาจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงมากเพียงใด เพราะเคยถูกแม่เลี้ยงกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งบิดาแท้ๆ ยังไม่เหลียวแล เธอคิดว่าคนเช่นนี้ไม่สมควรเกิดมาเป็นคนด้วยซ้ำไป
เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็รู้ทันทีว่าเขาได้ยินคำสนทนาของสตรีทั้งสองคนเช่นกัน เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านพี่ ท่านแม่ก็ทำไม่ดีกับข้าเช่นกัน อันที่จริงแล้วท่านกับข้าก็หัวอกเดียวกัน แต่ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าต่อไปท่านแม่จะทำเช่นไรกับท่าน ข้าจะอยู่ข้างๆ ท่านเสมอ”
แม้จะเป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา ทว่าหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ทันที
ดวงตาสดใสคู่นั้นดูจริงใจยิ่งนัก สีหน้าก็จริงจังไม่น้อย เหมือนไม่ได้พูดโกหก แต่เป็นเพราะใจคิดเช่นนี้จึงได้พูดออกมา
แต่เพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้คิดเช่นนี้เล่า เมื่อก่อนมิใช่ชอบพูดจาถากถางเขาทุกวันหรอกหรือ ทั้งยังสร้างเรื่องไปฟ้องซุนซิ่งฮวาอีก ถึงขั้นรังแกน้องสาวของเขาทุกวิถีทาง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้ดีกับเขาเช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกสับสนในใจ ท่าทีของแม่นางน้อยผู้นี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ อีกทั้งร่างกายก็ดูเปลี่ยนไปเช่นกัน ทำให้เขาสงสัยอยู่หลายครั้งว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่เอ้อร์ยา…
เด็กหนุ่มไม่ได้เผยความรู้สึกที่อยู่ภายในใจออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาเรียบเฉยเท่านั้น จากนั้นก็เดินต่อโดยไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
เป็นอย่างที่ป้าเสวี่ยพูดก่อนหน้านี้ ระหว่างทางพวกเขาไม่พบของป่าแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเคยมาที่นี่ เพราะเขาดูชำนาญไม่น้อย บริเวณไหนมีต้นไม้ชนิดใดบ้าง หรือตรงไหนจะมีเห็ดป่า เขาล้วนรู้หมด
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปติดๆ ทำเช่นนี้ถึงจะดีที่สุด
แม้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ได้เดินต่อ กลับเลี้ยวไปทางซ้ายแล้วเดินไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็พบถ้ำแห่งหนึ่ง และเข้าใจทันทีว่าเขาคิดจะค้างคืนในถ้ำนี้
แม้ไม่รู้ว่าในป่าลึกที่ชาวบ้านเล่าลือกันนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ ทว่าเมื่อครู่นี้เธอคิดดูแล้ว ชาวบ้านมาเก็บของป่าบริเวณเชิงเขา โดยออกมาตอนเช้าแล้วกลับช่วงเย็น แต่วันนี้เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งออกมาตั้งแต่เช้าและเดินทางทั้งวัน เธอจึงสรุปได้ว่าตอนนี้พวกเขาคงเข้ามาในป่าลึกแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี แม้กระทั่งมีถ้ำอยู่ตรงไหนบ้าง เขาก็รู้เช่นกัน
เมื่อก่อนเขาต้องเคยเข้ามาในป่าลึกอย่างแน่นอน แต่เมื่อเธอนึกถึงประโยคที่เสวี่ยหย่งฝูพูดเมื่อวาน ดูเหมือนชายผู้นั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเธอไม่ได้เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งสักคำ ได้แต่เดินตามเขาเข้าไปในถ้ำเท่านั้น