ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 24 ผู้ใดอยู่ในป่าลึกบนเขาสูง
ยี่สิบสี่
ผู้ใดอยู่ในป่าลึกบนเขาสูง
วันต่อมาเสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นเพราะกลิ่นหอมของเกาลัด
เธอเบิกตากว้างและหันไปมองที่มาของกลิ่นหอมทันที และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่ไม่รู้ว่าตื่นตั้งแต่เมื่อไรกำลังนั่งหยิบกิ่งไม้ใส่เตาไฟ
เมื่อรับรู้ว่าเธอตื่นแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง แสงเปลวไฟอันอบอุ่นส่องกระทบใบหน้าเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้ง ทำให้เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนมาก อีกทั้งสายตาที่ทอดมองเธอในยามนี้ แม้จะเหมือนภาพลวงตา ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าความเย็นชาของเขาลดลงกว่าเมื่อก่อนมาก เรียกได้ว่าเป็นสีหน้าแห่งความอ่อนโยนเลยทีเดียว
เธอตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบอันใด เพียงปรายตามองอีกฝ่ายเท่านั้น
เวลาที่เสวี่ยเจียเยว่นอนหลับนั้นดูไร้เดียงสาไม่น้อย และตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะนอนตะแคง แก้มขวากดทับลงบนหญ้าแห้ง ทำให้มีรอยแดงของเลือดฝาด ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรอยของเส้นหญ้าแห้งปรากฏอยู่ด้วย อีกอย่าง… ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ตื่นดี ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นหรี่ลงจนแทบจะปิด…
เสวี่ยหยวนจิ้งถอนสายตากลับมา แล้วก้มหน้าลงจ้องมองไปที่ไฟในเตา จากนั้นเขาก็ใช้ไม้เขี่ยกิ่งไม้ที่ติดไฟไปมา ก่อนจะเขี่ยผลเกาลัดที่สุกได้ที่แล้วออกไปด้านข้างเพื่อรอให้มันหายร้อน
เสวี่ยเจียเยว่ไปล้างหน้าบ้วนปากที่ลำธาร เมื่อเธอกลับมา เกาลัดป่าก็หายร้อนไปบ้างแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงยื่นเกาลัดเกือบเต็มอุ้งมือให้เธอโดยไม่เอ่ยคำใด
เธอมองเขาด้วยสายตาแปลกใจระคนดีใจ “ให้ข้าหมดเลยหรือเจ้าคะ”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าเบาๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปรับเกาลัดทั้งหมดมา
ขณะที่เกาลัดอยู่บนฝ่ามือนั้นยังคงรู้สึกร้อนอยู่บ้าง เพราะเด็กหนุ่มเขี่ยออกจากเตาเพียงครู่เดียว แต่ถ้ากินเข้าไปจะไม่ร้อนจนลวกปาก โดยต้องแกะเปลือกเกาลัดออก จากนั้นก็เห็นเมล็ดสีเหลืองทองด้านใน
เสวี่ยเจียเยว่นำเมล็ดเกาลัดที่แกะเปลือกแล้วใส่เข้าปาก เมื่อเคี้ยวก็รู้สึกถึงความหอมอร่อยละมุนลิ้นเป็นอย่างมาก
เธอมีความสุขจนใบหน้าเป็นประกายและมีรอยยิ้ม ก่อนเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ท่านพี่ เกาลัดที่ท่านเผานี่อร่อยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับคำชมเชย ไม่ว่าใครก็ล้วนดีใจ แม้แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาไม่นึกรำคาญเสวี่ยเจียเยว่ กลับชอบคำพูดของอีกฝ่าย และชอบมองรอยยิ้มจนตาหยีราวพระจันทร์เสี้ยว…
หางตาเขาเหลือบเห็นแม่นางน้อยแกะเปลือกเกาลัดอีกลูก เมื่อทำเสร็จแล้วกลับไม่กินเอง แต่ส่งเมล็ดเกาลัดให้เขาพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน
“ท่านพี่ ข้าแกะให้ท่านเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งตะลึงงันเล็กน้อย เมื่อมองอีกฝ่ายให้ชัด ก็เห็นดวงตากลมโตสดใสคู่นั้นเต็มไปด้วยความสุข
เขาไม่ปฏิเสธและยื่นมือไปรับเมล็ดเกาลัดป่ามาทันที ก่อนจะใช้สองนิ้วคีบขึ้นมาแล้วนำเข้าปากเคี้ยวช้าๆ จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมละมุนลิ้น
น่าแปลก… เมื่อก่อนเขาก็เคยกินเมล็ดเกาลัด แต่ไม่รู้สึกว่ามันจะมีกลิ่นหอมหวานถึงเพียงนี้
ขณะนั้นแกงเห็ดในหม้อเดือดพอดี และมีไอน้ำลอยขึ้นมา
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ตื่น เสวี่ยหยวนจิ้งนำหม้อที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งมาตั้งบนเตา พอเห็นอีกฝ่ายตื่นแล้ว เขาก็นำเห็ดที่ล้างจนสะอาดใส่ลงไปในหม้อ ขณะนี้เมื่อแกงเห็ดในหม้อเดือด เขาจึงได้สติกลับมา จากนั้นก็หยิบหมั่นโถวสองลูกออกมาจากกระบุง ก่อนจะบิเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อแกงเห็ด
เมื่อต้มไปอีกครู่หนึ่ง เขาก็นำถ้วยมาตักน้ำแกงส่งให้อีกฝ่าย
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับมา ก่อนจะกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดน้อยเช่นเคย แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็รับรู้ได้ว่าตั้งแต่ขึ้นเขามาด้วยกัน ท่าทีที่เขามีต่อเธอเปลี่ยนไปมาก โดยทำดีกับเธอเงียบๆ เธอจึงไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจเขาอีกต่อไป ถึงอย่างไรก็เป็นเจตนาดีส่วนหนึ่งของเขา หากเธอทะนงตัว เกรงว่าหัวใจของเขาจะเย็นชามากกว่าเดิม และเมื่อถึงเวลานั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่ย่อมไม่รับเจตนาดีของเด็กหนุ่มมาเปล่าๆ เธอยื่นเมล็ดเกาลัดที่แกะเปลือกเสร็จแล้วให้เขาหลายเม็ด “ท่านพี่ ข้าให้ท่านเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเมล็ดเกาลัดสีเหลืองทองในมือเล็กโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด และไม่มีทีท่าว่าจะรับไป
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยพลางยิ้ม “ดีมาก็ดีกลับเจ้าค่ะ”
เมื่อวานเธอแบ่งข้าวสาลีคั่วให้เสวี่ยหยวนจิ้ง และนี่คือประโยคที่เขาเอ่ยตอนส่งถ้วยน้ำร้อนให้เธอเพื่อเป็นการตอบแทน ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงใช้คำเช่นเดียวกันตอบกลับไป
เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่เอ่ยคำใดออกมาสักคำ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่จางหายไป ทั้งยังปล่อยให้เขามองอยู่เช่นนั้น ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมเอื้อมมือไปรับเมล็ดเกาลัดแต่โดยดี ทว่าเขากลับไม่ได้เอามาทั้งหมด ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ที่เหลือเจ้าก็เก็บไว้กินเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่ขานรับคำหนึ่ง จากนั้นจึงเก็บเมล็ดเกาลัดที่เหลือคืนมา แล้วดื่มน้ำแกงเห็ดใส่หมั่นโถวในถ้วย
แม้ว่าหมั่นโถวจะทำมาสองวันแล้ว แต่เห็ดยังสดใหม่ เมื่อนำมาต้มด้วยกันก็ได้รสชาติดีมาก ทั้งยังได้กินเมล็ดเกาลัดที่ทั้งหอมและหวาน กระทั่งกินของเหล่านี้เสร็จ เสวี่ยหยวนจิ้งก็หยิบองุ่นป่าที่ล้างจนสะอาดแล้วหนึ่งพวงมากินกับแม่นางน้อย
องุ่นป่าสีม่วงเข้มไม่หวานเหมือนองุ่นที่เสวี่ยเจียเยว่เคยกินในภพที่จากมา แต่เปรี้ยวจี๊ดเป็นอย่างมาก จนดวงตาทั้งสองข้างของเธอเล็กหยี แต่เธอก็ยังดูมีความสุขมาก
ตั้งแต่ข้ามภพมา ถือว่ามื้อนี้เธอได้กินอิ่มท้องมากกว่าครั้งใด เมื่อมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่นั่งอยู่เบื้องหน้า เห็นเขาทำตาหยีเล็กน้อยเพราะความเปรี้ยวขององุ่นป่า เธอก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
ชีวิตคนเราผ่านอุปสรรคมามากมาย จึงต้องหาความสุขให้ตัวเอง ยิ้มและหัวเราะให้มากขึ้น
คนที่ชอบหัวเราะ ความโชคดีก็มักจะไม่ไปไหน
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เริ่มเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินเข้าไปในป่าลึกกว่าเดิม
ตามเจตนาเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น พวกเขาจะทิ้งของป่าที่เก็บมาได้เมื่อวานไว้ในถ้ำแห่งนี้ก่อน เมื่อกลับมาค่อยนำกลับเรือนด้วย เพราะถ้านำของเหล่านี้ไปด้วย พวกเขาคงเหนื่อยไม่น้อย
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะคิดว่าของเหล่านี้ก็มากพอแล้ว แต่ดูเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่พอใจเท่าไร หรือเขามีแผนอะไรในใจ ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขายังอยากจะเข้าไปในป่าลึกกว่านี้อีกเล่า กระนั้นเธอก็ไม่คิดจะเอ่ยคัดค้านใดๆ
ของป่าเหล่านี้ล้วนเป็นของซุนซิ่งฮวา ซึ่งความจริงแล้วก็ขายได้เงินมาไม่เท่าไร
ที่สำคัญ… เสวี่ยเจียเยว่ยังหาสิ่งที่เธอต้องการไม่พบ การเดินเข้าไปในป่าลึกกว่านี้อาจโชคดีได้ของล้ำค่า เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเสียเวลามากนัก
คิดได้ดังนั้นเธอก็เต็มใจที่จะออกเดินทางไปกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็สะพายกระบุงของตัวเอง และช่วยกันดันก้อนหินที่ใช้ปิดปากถ้ำออก
ยามนี้ยังเช้าตรู่ พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ก้อนเมฆเป็นสีดอกกุหลาบ และหมอกที่ลอยปกคลุมไปทั่วป่าก็ดูราวกับกลายเป็นสีดอกกุหลาบเช่นกัน
พวกเขาไม่ลืมดันก้อนหินปิดปากถ้ำเอาไว้อย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้พวกสัตว์ป่าเข้าไปกินหรือทำลายของที่วางอยู่ในถ้ำได้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังป่าลึกบนเขาอันกว้างใหญ่
น้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนใบหญ้ากับดอกหญ้าสีเหลืองที่แห้งเฉาตามสองข้างทางเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อมองออกไปก็เห็นภาพทิวทัศน์สีขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับหิมะก็มิปาน ดูงดงามยิ่งนัก
แต่หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว น้ำค้างแข็งเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำหยดลงสู่พื้นดิน
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ก่อนจะหันไปกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ วันนี้อากาศดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมอง เห็นแม่นางน้อยกำลังโน้มตัวลงเด็ดดอกไม้ข้างทางมาหนึ่งดอก
ในภูเขาหนึ่งปีมีสี่ฤดูกาล ย่อมมีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้ชื่อนับไม่ถ้วน แม้ถูกคนเหยียบย่ำไม่ชมชอบ แต่พวกมันยังคงเติบโตและร่วงโรยอย่างพึงพอใจ
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าอีกฝ่ายมักจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นมากมาย ต่อให้เขามองว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น แต่สำหรับแม่นางน้อยกลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่าจนน่าตื่นตาตื่นใจ
เหมือนกับตอนนี้ แม่นางน้อยยื่นดอกไม้ในมือขวาของตนมาตรงหน้าเขา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ท่านดูนี่สิ ดอกไม้นี้สวยหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตามองดอกไม้ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง ดอกไม้ป่าชนิดนี้มีห้ากลีบ สีฟ้าอ่อน เกสรเป็นสีเหลืองอ่อนและเล็กมาก ไม่เพียงพบได้ในป่าลึกบนภูเขาแห่งนี้ แต่บริเวณข้างๆ ทุ่งนาก็มีเช่นเดียวกัน เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ จึงไม่รู้สึกว่ามันพิเศษตรงไหน
แต่ตอนนี้เขากลับพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยตอบเสียงต่ำ “สวยดี”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มที่ดูสดใสอยู่บนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น เธอยื่นดอกไม้ให้เขาแล้วยิ้มพลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นดอกไม้นี้ข้าขอมอบให้ท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรับมาอย่างเงียบๆ ในใจก็คิดไปถึงขวดดินเผาสีเทาอ่อนที่วางอยู่ในห้องของแม่นางน้อย ในขวดใบนั้นก็มีดอกไม้ธรรมดาๆ เสียบอยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะชอบดอกไม้มาก
พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดสาดส่องลงมาในป่าเขา ทำให้หมอกที่แผ่คลุมค่อยๆ สลายไป เสียงนกร้องดังทั่วป่า และขณะนี้ทั้งสองก็เดินมาไกลพอสมควรแล้ว
ระหว่างทางพวกเขาเก็บถั่วเหอเถาป่า[1]กับของป่าชนิดอื่นๆ ได้มาก เสวี่ยเจียเยว่เดินไปพลางเด็ดผลไม้มากิน ตอนที่หยุดพักก็กินเข้าไปอีกมาก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งจับปูในซอกหินข้างลำธารได้สองตัว
ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อวานเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้กล้ากินหมั่นโถวสองลูกนั้นในมื้อเดียว ที่แท้เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในป่าแห่งนี้จะมีของกินอุดมสมบูรณ์ เมื่อได้กินของอร่อยมากขนาดนี้ พอหันกลับไปมองหมั่นโถวธัญพืชที่เย็นชืดเหล่านั้น เธอก็ไม่อยากจะกินมันอีกต่อไป
หลังจากหยุดพักได้ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็เดินต่อ
เสวี่ยเจียเยว่สังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง และมั่นใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องเคยมาที่นี่อย่างแน่นอน เพราะทุกการก้าวเดินของเขานั้นดูมีเป้าหมายอย่างชัดเจน
เขากำลังจะพาเธอไปที่ใด และที่นั่นจะมีอะไรกันแน่
เสวี่ยเจียเยว่นึกสงสัย แต่เธอไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพียงเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น บางครั้งบางคราวเมื่อเธอเห็นอะไรน่าสนุกก็พูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
ทั้งสองคนเดินไปได้ระยะหนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่ก็ยกมือขวาชี้ไปด้านข้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ราบมีภูเขาโอบล้อม
แสงแดดสาดส่องลงมาทำให้มองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดในที่ราบแห่งนั้น
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเรือนที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคาสองสามหลัง ลานไม่กว้างนัก และมีรั้วไม้ไผ่ล้อมเรือนเหล่านั้นเอาไว้ บนรั้วไม้ไผ่มีของป่าตากอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีคนกำลังพลิกของเหล่านั้น แผ่นหลังของคนผู้นั้นดูบอบบาง…
เป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย
[1] ถั่วเหอเถาป่า หมายถึง ถั่ววอลนัตที่เกิดขึ้นในป่า