ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 31 รักษาอาการข้อเท้าแพลง
สามสิบเอ็ด
รักษาอาการข้อเท้าแพลง
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘ทำไมฉันจะต้องไม่ชอบเล่า นั่นมันชื่อเดิมของฉันเชียวนะ และคุณก็ตั้งชื่อนี้ให้’
เธออยากหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน “ไม่… ไม่เจ้าค่ะ ข้าชอบชื่อนี้มากเจ้าค่ะ”
นึกไม่ถึงว่าต่อจากนี้ไป เธอจะได้ใช้ชื่อแซ่เดิมของตนต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง
“เช่นนั้นก็ดี” เสวี่ยหยวนจิ้งพูดอย่างกระชับได้ใจความ จากนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก และแบกเสวี่ยเจียเยว่เดินต่อไป
ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาตลอดทาง ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงเรือนตระกูลหลี่
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งก้าวผ่านประตูลานเรือน แสงสีขาวนวลราวท้องปลาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และทิวทัศน์รอบๆ ถูกปกคลุมด้วยแสงสลัวทำให้ดูลึกลับไม่น้อย
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าหลี่กับหลี่หานเซี่ยวยังไม่นอน ทั้งสองคนนั่งรออยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง หลี่หานเซี่ยวก็วิ่งมาถามอย่างร้อนรน
“พี่จิ้ง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ด้วยความเป็นห่วงเสวี่ยหยวนจิ้ง และดีใจที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย หลี่หานเซี่ยวจึงเพิ่งเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่อยู่บนหลังเด็กหนุ่ม สีหน้าของนางพลันตะลึงในทันที จากนั้นก็เอ่ยถาม “เอ้อร์ยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบสั้นๆ “นางเท้าแพลง”
เมื่อหลี่หานเซี่ยวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ยิ่งตะลึงมากขึ้น นางนึกถึงตอนที่ตนข้อเท้าแพลงเมื่อหนึ่งปีก่อน เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้เอ่ยว่าจะแบกนางขึ้นหลัง แม้แต่พยุงนางเขาก็ยังไม่ยอม เพียงแค่ทำเก้าอี้อย่างเรียบง่ายและลากนางไปเท่านั้น ทว่าตอนนี้…
หลี่หานเซี่ยวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นอย่างอดกลั้นไม่ได้ “อ้อ เช่นนั้นเท้าของน้องเอ้อร์ยาคงเจ็บหนักเลยใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงวางเสวี่ยเจียเยว่ลงนั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
หลี่หานเซี่ยวอ้าปากคล้ายอยากจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่ได้ยินผู้เฒ่าหลี่เอ่ยเรียกนางเสียก่อน
“เซี่ยวเอ๋อร์ ในห้องของปู่มียาสลายเลือดคั่งอยู่ขวดหนึ่ง เจ้าไปนำมาให้ศิษย์พี่ของเจ้าที”
เมื่อเห็นหลี่หานเซี่ยวไม่ขยับเขยื้อน เขาก็เอ่ยเร่งนางอีกรอบ “รีบไปเร็วเข้า”
หลี่หานเซี่ยวถึงได้ขานรับ และเดินจากไปด้วยความรู้สึกไม่ยินยอมเท่าไรนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งประสานมือคำนับผู้เฒ่าหลี่อย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบยาให้ศิษย์ และขอบคุณแทนน้องสาวของศิษย์ด้วยขอรับ”
เสวี่ยเจียเยว่เองก็รีบเอ่ยปากขอบคุณผู้เฒ่าหลี่เช่นเดียวกัน
ผู้เฒ่าหลี่โบกไม้โบกมือให้พวกเขาเป็นเชิงไม่ต้องเกรงใจ อีกทั้งยังกล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่อย่างสนิทสนมและอ่อนโยน
“เจ้าเป็นน้องสาวของจิ้งเอ๋อร์ ก็เหมือนน้องสาวของเซี่ยวเอ๋อร์ เซี่ยวเอ๋อร์คือหลานสาวของข้า เจ้ายังจะเกรงใจชายชราอย่างข้าไปทำไมกันเล่า รีบรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าให้หายดี นั่นถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
เขาถามเสวี่ยเจียเยว่ว่าเข้าป่าลึกไปทำอะไร เหตุใดถึงได้หลงทางและข้อเท้าแพลงเช่นนี้ แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งไปเจอแม่นางน้อยได้อย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนตอบทุกคำถามแทน เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องเอ่ยตอบแม้แต่คำเดียว
ขณะนั้นหลี่หานเซี่ยวก็นำยาเข้ามา เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณนาง จากนั้นก็ขอบคุณผู้เฒ่าหลี่อีกครั้ง
หลี่หานเซี่ยวอาสาจะทายาให้เสวี่ยเจียเยว่ ทว่าถูกเสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่รบกวนศิษย์น้องจะดีกว่า ข้าจะทายาให้นางเอง”
จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความเกรงใจ “น้องสาวข้าเป็นคนอ่อนแอยิ่งนัก ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ข้าเกรงว่านางจะร้องโอดครวญขึ้นมากลางดึกจนรบกวนศิษย์น้อง เพราะฉะนั้นสองวันนี้ก็ให้นางนอนที่ห้องของข้าจะดีกว่า ข้าจะดูแลนางเอง”
เด็กหนุ่มพูดจบก็ขอตัวลาผู้เฒ่าหลี่กับหลี่หานเซี่ยว ก่อนจะแบกเสวี่ยเจียเยว่ไปที่ห้องพักของตน
หลี่หานเซี่ยวมองพวกเขาเดินจากไปก็รู้สึกไม่สบายใจ นางอดหันไปบ่นกับผู้เฒ่าหลี่มิได้
“ท่านปู่ ตอนที่ข้าเท้าแพลง พี่จิ้งไม่เคยเอ่ยปากว่าจะแบกข้า แม้แต่จะพยุงข้าก็ยังไม่ยอม แต่ท่านดูเขาตอนนี้สิ เอ้อร์ยาผู้นั้นเพียงเท้าแพลงเท่านั้นไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องให้นางขี่หลังด้วย ทั้งจะทายาให้นางด้วยตัวเองอีก มิหนำซ้ำยังได้นอนห้องเดียวกับเขาด้วย”
ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยปลอบประโลมนาง “ดูเจ้าสิ เป็นเด็กขี้โมโหไปเสียแล้ว เจ้าจะไปเปรียบเทียบกับเอ้อร์ยาได้อย่างไร ตอนนั้นเจ้ากับจิ้งเอ๋อร์เพิ่งเจอกันครั้งแรก เขาไม่พยุงเจ้า ไม่แบกเจ้าขึ้นหลังก็เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าแล้ว เจ้าเป็นเด็กสาว จึงไม่เหมาะที่จะแตะเนื้อต้องตัวกับบุรุษแปลกหน้า แต่เอ้อร์ยาเป็นน้องสาวของเขา พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เมื่อน้องสาวได้รับบาดเจ็บ ในฐานะพี่ชายเขาต้องกังวลไม่น้อย การแบกนางกลับมา ทายาให้นาง นอนห้องเดียวกันเพื่อความสะดวก นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ หรือเจ้ายังคิดอีกว่าพวกเขาจะนอนเตียงเดียวกัน ปู่เชื่อว่าจิ้งเอ๋อร์ย่อมมีคุณธรรมอย่างแน่นอน เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าหลี่หานเซี่ยว ความเจ็บปวดก็ปะทุขึ้นในหัวใจของชายชรา ก่อนจะเอ่ยกับนาง
“เอาละ เจ้าเองก็รอจิ้งเอ๋อร์มาทั้งคืน ในเมื่อเขากลับมาอย่างปลอดภัย เจ้าก็ควรวางใจได้แล้ว รีบกลับไปนอนพักสักนิดตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างจะดีกว่า”
หลี่หานเซี่ยวได้ยินดังนั้นก็ไม่เอ่ยคำใดอีก และหมุนตัวเดินไปยังห้องของตนด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
หลังจากนางนั่งอยู่ในห้องครู่ใหญ่ ก็ไม่สามารถข่มใจตนให้สงบลงได้ จึงเดินไปยังห้องที่เสวี่ยหยวนจิ้งพักอยู่
ประตูกับหน้าต่างล้วนปิดเอาไว้ แต่ยังสามารถมองเห็นแสงสว่างในห้องได้อย่างชัดเจน หลี่หานเซี่ยวจึงยกมือขึ้นเคาะประตู
ผ่านไปไม่นานก็มีคนเดินมาเปิดประตู คนผู้นั้นก็คือเสวี่ยหยวนจิ้ง
แสงอาทิตย์อ่อนๆ ตกกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาและขาวเนียนของเขา ทำให้ดูสง่างามยิ่งกว่าเดิม ราวกับต้นไผ่สีเขียวมรกตที่ปรากฏขึ้นบนเทือกเขาสูง โดยตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่ก็มิปาน
เด็กหนุ่มรูปงามเช่นนี้มักจะทำให้หัวใจของคนมองสั่นไหวได้อย่างง่ายดาย ขณะที่คิดเช่นนั้นหัวใจของหลี่หานเซี่ยวก็พลันเต้นระรัวขึ้นมา ใบหน้าของนางร้อนผ่าวทันที
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ศิษย์น้องเองหรือ มีเรื่องอันใดหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวสั้นๆ ได้ใจความเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าเขาลดความเยือกเย็นลงอีกเล็กน้อย จะยิ่งทำให้ผู้คนหลงใหลในตัวเขามากขึ้น
หลี่หานเซี่ยวรู้สึกว่าพวงแก้มทั้งสองข้างของตนยิ่งร้อนผ่าวขึ้น กระทั่งคำพูดของนางยังตะกุกตะกัก
“พี่… พี่จิ้ง ข้า… ข้าอยากจะมาดู… มาดูอาการบาดเจ็บของน้องเอ้อร์ยาเจ้าค่ะ”
“ลำบากศิษย์น้องอีกแล้ว แต่อาการบาดเจ็บของน้องสาวข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ศิษย์น้องกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด ทำให้หลี่หานเซี่ยวไม่รู้ว่านางควรจะเอ่ยคำใดต่อ อีกทั้งยังเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนขวางประตูเอาไว้ ราวกับไม่ต้องการให้นางเข้าไปด้านใน
ความจริงแล้วหลี่หานเซี่ยวไม่ได้อยากจะมาดูอาการบาดเจ็บของเสวี่ยเจียเยว่ นางเพียงอยากอยู่กับเด็กหนุ่มให้มากที่สุด หลายวันที่ผ่านมา แม้นางจะอยู่ฟังผู้เฒ่าหลี่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เด็กหนุ่มพูดคุยกับนางน้อยนัก แม้นางจะเป็นฝ่ายพูดกับเขา เขาก็ตอบกลับมาสั้นๆ เท่านั้น
หลี่หานเซี่ยวเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปีเท่านั้น ยังเขินอายกับเรื่องเช่นนี้อยู่มาก ในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยมาเช่นนี้ นางก็ไม่อาจดื้อรั้นจะเข้าไปด้านในให้ได้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มพลางเอ่ย
“อ้อ เช่นนี้เองหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าค่อยมาเยี่ยมน้องเอ้อร์ยาอีกครั้งก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
นางกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ครั้นเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นนางจากไปแล้ว จึงเอื้อมมือไปปิดประตู เมื่อหันกลับมาสายตาก็สบประสานกับดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่พอดี
“เหตุใดท่านจึงไม่ให้แม่นางหลี่เข้ามาเล่า” เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าการที่เธออยู่ในห้องกับเสวี่ยหยวนจิ้งตามลำพังนั้นน่าอึดอัดนัก และปรารถนาให้หลี่หานเซี่ยวเข้ามา แต่ดูเสวี่ยหยวนจิ้งทำสิ ไล่เด็กสาวไปอย่างไม่ไยดีสักนิด
หลี่หานเซี่ยวเป็นหนึ่งในนางเอกทั้งสิบสองคนเชียวนะ ทั้งยังปรากฏตัวเป็นคนแรกด้วย แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้จักดูแลเอาใจใส่นางเลย หากเขาเป็นเช่นนี้ต่อไป นางเอกทั้งสิบสองคนจะถูกใจในตัวเขาหรือไม่ และจะยังดื้อรั้นพุ่งเข้าหาเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟทั้งที่รู้ว่าถูกเขาหลอกใช้หรือเปล่า
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่อย่างเย็นชา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นางไม่ได้ตั้งใจมาดูอาการเจ้าหรอก”
ประโยคนั้นแย่ยิ่งกว่าการบอกว่า ‘ไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนอื่นห่วงใยเจ้า’
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งด้วยความตะลึง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหลี่หานเซี่ยวเพียงแสร้งว่าอยากมาดูอาการเธอ แต่ความจริงคืออยากอยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งต่างหาก ทว่าเธอก็อดคิดในใจด้วยความหงุดหงิดไม่ได้
‘เสวี่ยหยวนจิ้ง… จะไว้หน้ากันสักนิดไม่ได้หรืออย่างไร’
เสวี่ยเจียเยว่เพียงหลุบตาลงและไม่เอ่ยคำใด ราวกับแมวน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงหมอบลง ยกหางขึ้นมา และหูเล็กอันนุ่มนิ่มทั้งสองข้างกระดิกเบาๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อดยิ้มบางมิได้
จากนั้นเขาม้วนแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก ก่อนจะเดินไปยืนข้างโต๊ะแล้วหยิบผ้ามาจุ่มน้ำในถังไม้
น้ำเย็นในถังไม้ใบนี้เขาเพิ่งนำมาจากห้องครัว และตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว เมื่อมือสัมผัสกับน้ำในถัง จึงรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่หลายส่วน
เขาบิดผ้าจนหมาดแล้วเดินมานั่งลงตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ย “มันจะเย็นสักหน่อย เจ้าอดทนไว้นะ”
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบอะไร พลันรู้สึกเย็นวาบที่ข้อเท้าทันที
ข้อเท้าที่ปวดระบม เมื่อมีผ้าเย็นๆ ทาบทับลงมา ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายยิ่งนัก แต่การที่เสวี่ยหยวนจิ้งคุกเข่าใช้ผ้าประคบข้อเท้าเธอเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ไม่สบายใจเลยจริงๆ
ตอนแรกเธอคิดว่าเด็กหนุ่มเป็นเสือดาวที่ดุร้ายตัวหนึ่ง ทุกวันเธอเอาแต่คิดว่าจะเอาใจเขาอย่างไรดี เขาถึงจะไม่กิน ไม่ทำร้ายเธอ แต่วันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมา เสือดาวตัวนั้นกลับเริ่มทำดีกับเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็อดหวาดกลัวไม่ได้อยู่ดี
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่ก็กล่าวด้วยความเกรงใจ “ท่านพี่ รบกวนท่านนำถังไม้มาวางไว้ตรงนี้ให้ข้าที ให้ข้าบิดผ้าแล้วประคบด้วยตัวเองก็ได้เจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองอีกฝ่าย แล้วกล่าวเสียงเข้มดุ “เหตุใดเจ้าอยากจะบิดผ้าประคบด้วยตัวเอง จะโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างนั้นหรือ อยากบาดเจ็บมากขึ้นและอยู่ที่นี่ไปอีกนานหรืออย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่พูดไม่ออก จู่ๆ เธอก็คิดถึงเสวี่ยหยวนจิ้งที่เคยพบเมื่อหลายเดือนก่อน คนที่พูดคุยกับเธอไม่ถึงสิบประโยคผู้นั้น