ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 36 ศัตรูคู่แค้นที่มีร่วมกัน
สามสิบหก
ศัตรูคู่แค้นที่มีร่วมกัน
เสวี่ยหย่งฝูเพ่งมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความตกใจระคนสงสัยโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้น มุมปากพลันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ลูกชายหายตัวไปหลายวัน เป็นตายอย่างไรไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อจู่ๆ กลับมาอย่างปลอดภัย แต่นี่คือท่าทีของบิดาอย่างนั้นหรือ
กระนั้นสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังดูอ่อนโยน “ท่านพ่อขอรับ ข้าเป็นคน ไม่ใช่ผี หากท่านไม่เชื่อ…” เขาพูดจบก็ชี้นิ้วไปที่พื้น
พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า แสงสีส้มจางๆ สะท้อนเงาร่างของเขาอยู่บนบานประตู “ท่านพ่อโปรดดูขอรับ ข้ามีเงานะขอรับ”
หากเป็นผีจริงๆ ย่อมไม่มีเงาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขามีเงา…
เสวี่ยหย่งฝูมองเสวี่ยเจียเยว่ แม้ด้านหลังของลูกเลี้ยงจะไม่ชัดเจนเท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเงา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ความหวาดกลัวในใจของเขาพลันสลายไปจนหมดสิ้น หลังจากตั้งสติได้แล้วจึงก้าวไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ยถาม
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ หลายวันมานี้เจ้ากับน้องสาวไปอยู่ที่ไหน เหตุใดเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้”
เมื่อครู่ซุนซิ่งฮวาได้ยินคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นกัน นางจึงหันไปมองด้านหลังของเขากับเสวี่ยเจียเยว่อย่างรวดเร็ว และเห็นเงาของพวกเขาจริงๆ
หลังจากรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผี ซุนซิ่งฮวารู้สึกไร้เรี่ยวแรงทันที แทบจะนั่งลงกับพื้นในทันใด แต่เมื่อคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่ทำให้นางตกใจจนมีสภาพเช่นนั้น ก็อับอายจนอดโมโหไม่ได้
นางกวาดตามองไปรอบๆ เรือน เห็นไม้กวาดด้ามหนึ่งวางอยู่ที่มุมผนัง ด้ามทำจากไม้ไผ่ที่ใช้งานมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นสีเหลือง จึงเดินไปคว้าขึ้นมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างจับแขนเสวี่ยเจียเยว่ไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายวิ่งหนีได้ จากนั้นนางก็ใช้ด้ามไม้กวาดฟาดลงไปพลางด่าไปด้วย
“เจ้าเด็กบ้า! เมื่อครู่เจ้ากล้าทำข้าตกใจหรือ”
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นซุนซิ่งฮวาไปคว้าไม้กวาดขึ้นมา เธอก็อยากจะวิ่งหนีไป ทว่าถูกซุนซิ่งฮวาจับแขนเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าเธอต้องถูกตีด้วยด้ามไม้กวาดแข็งๆ อย่างแน่นอน
แต่ไม่มีความเจ็บปวดอย่างที่เสวี่ยเจียเยว่คาดเอาไว้!
เธอรีบเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนบังเธออยู่
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงด้ามไม้กวาดกระทบเนื้ออย่างชัดเจน จึงรู้ว่าแรงที่ซุนซิ่งฮวาใช้นั้นไม่น้อยทีเดียว และเดิมทีมันควรจะกระทบกับตัวเธอ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับเข้ามารับแทน…
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่ทั้งซาบซึ้งและเสียใจ เธอคว้าแขนเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ยเรียก “ท่านพี่”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังเสียใจอยู่ดี ขอบตาเธอร้อนผ่าว และจับแขนเขาแน่นขึ้น
ทันใดนั้นเสวี่ยหย่งฝูก็เดินมาเอ่ยกับซุนซิ่งฮวา “พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย เจ้าควรจะดีใจไม่ใช่หรือ จะไปตีเอ้อร์ยาทำไมกัน”
เขาคิดจะแย่งไม้กวาดในมือซุนซิ่งฮวา ทว่าต้องชักมือกลับอย่างรวดเร็วเพราะถูกภรรยาถลึงตาใส่
หลังจากซุนซิ่งฮวาถลึงตาใส่สามีแล้ว นางก็หันมาจ้องเสวี่ยเจียเยว่ แล้วใช้ด้ามไม้กวาดชี้อีกฝ่ายพร้อมด่าเสียงดัง
“เจ้าเด็กบ้านี่ไม่รู้หนีไปไหนตั้งหลายวัน ทำให้ข้าต้องโดนชาวบ้านทั้งนินทาทั้งด่าประณามลับหลังไปตั้งเท่าไร แต่วันนี้จู่ๆ ก็กลับมา แล้วยังกล้าแกล้งเป็นผีมาหลอกให้ข้าตกใจกลัวอีก ข้าจะตีสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำเสียบ้าง”
ซุนซิ่งฮวาจะตีเสวี่ยเจียเยว่อีก แต่ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งยืนขวางจนมิด นางจึงยอมถอยเพราะไม่เหลือทางให้ได้ลงมือ
ถึงอย่างไรซุนซิ่งฮวาก็ไม่กล้าตีเสวี่ยหยวนจิ้ง
และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะมีอายุสิบสี่ปี พูดน้อยในเวลาปกติ แต่ในใจของซุนซิ่งฮวากลับหวาดกลัวเขา นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่เยือกเย็นของเขานั้น เป็นดั่งคมมีดที่พร้อมเชือดเฉือนผู้คนก็มิปาน
แม้จะตีไม่ได้ แต่ก็ต้องพูดออกมาสักประโยค เพราะเหตุนี้ซุนซิ่งฮวาจึงถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะอ้าปากด่าพวกเขา
“เมื่อก่อนพวกเจ้าราวกับตานกตาไก่ แทบจะมาบรรจบกันไม่ได้ แต่หลังจากขึ้นเขาเข้าป่าไปด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยอมถูกตีแทนนางด้วย พวกเจ้าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
หางตาของเสวี่ยเจียเยว่เห็นมือของเสวี่ยหยวนจิ้งกำแน่นอยู่ข้างลำตัว เส้นเลือดสีคล้ำเด่นชัดขึ้นบนหลังมือ ทำให้รู้ว่าในใจของเขากำลังโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ด้วยความกังวลว่าเขาจะทำร้ายซุนซิ่งฮวา เธอจึงรีบเอื้อมมือไปจับมือเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับซุนซิ่งฮวา
“ท่านแม่ ดูนี่สิเจ้าคะ ข้ากับท่านพี่ขึ้นเขาไปเก็บของป่ามาได้ตั้งมากเลยนะเจ้าคะ”
เธอไม่ห่วงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสู้ซุนซิ่งฮวาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็มีฐานะเป็นแม่เลี้ยงของเขา ต่อให้อีกฝ่ายกระทำการโหดร้ายอย่างไร ถ้าเขาลงมือก็ถือว่าอกตัญญูต่อบุพการี ข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องใหญ่ในสมัยนี้ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางขุนนางของเขาในอนาคต เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าไม่ดี จึงรีบจับมือเสวี่ยหยวนจิ้งเพื่อปลอบประโลม ขณะเดียวกันก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
โชคดีที่ซุนซิ่งฮวาถูกเธอเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ของป่าได้สำเร็จ แม้จะยังบ่นไม่หยุด แต่ก็เดินมาดูว่าในกระบุงมีอะไรบ้าง
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ท่านวางกระบุงลงก่อนเจ้าค่ะ”
กระบุงใหญ่นั้นเสวี่ยหยวนจิ้งสะพายบนหลัง ส่วนกระบุงใบเล็กเขาถือไว้ เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็วางกระบุงใบเล็กลงพื้น ก่อนปลดกระบุงใบใหญ่วางตามลงไป จากนั้นเขาจับมือแม่นางน้อย แล้วทั้งสองก็ถอยหลังไปสองก้าว
มือเสวี่ยเจียเยว่เย็นเฉียบอย่างเห็นได้ชัด เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลว่าเขาจะเดือดดาลจนทำอะไรบุ่มบ่าม ในใจของเขาจึงเย็นลงทันที และใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือเล็กเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกคันยุบยิบบนหลังมือข้างนั้น จึงเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และเห็นว่าเขากำลังหรี่ตามองเธออยู่เช่นกัน
เธอส่งยิ้มสดใสดั่งแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิให้เด็กหนุ่ม เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นหัวใจก็พลันอบอุ่นและอ่อนโยนทันที
ชั่วขณะนั้นเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ในสนามรบด้วยกัน และแน่นอนว่ามีความเห็นใจกันเพราะได้พบเจอกับคนชั่วช้า
ส่วนซุนซิ่งฮวารื้อดูของป่าในกระบุงสองใบด้วยความดีใจ พลางเรียกเสวี่ยหย่งฝูมาดูด้วย
ของป่าในกระบุงนั้นมีอยู่มาก ทั้งผลไม้สด ผลไม้แห้ง รวมทั้งเห็ดหลากหลายชนิด ซุนซิ่งฮวายิ่งรื้อดูความดีใจก็ยิ่งทวีคูณ นางชี้ไปที่ของในกระบุงและกล่าวกับเสวี่ยหย่งฝู
“องุ่นป่านี่เอาไปตากแห้งได้ ส่วนลูกพลับพวกนี้ก็ตากทำเป็นลูกพลับแห้ง พอตากผลไม้พวกนี้เสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็นำเห็ดมานึ่งแล้วนำไปตาก เก็บไว้กินในฤดูหนาวได้”
นางขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แต่พวกนี้ล้วนเป็นผักผลไม้ทั้งนั้น หากยิงกระต่าย ไก่ป่า หมูป่า เนื้อสัตว์ป่ามาได้จะดีกว่านี้ ล้างให้สะอาดแล้วหมักเกลือ ก็จะได้กินเนื้อสัตว์ทั้งฤดูหนาวเชียว”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งยิงสัตว์ป่าเหล่านั้นไม่ได้ แต่ตอนนี้… ถ้าจะให้เขาทำ เธอก็รู้สึกว่าช่างง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
ช่วงเช้าของเมื่อวาน ก่อนลาจากสองปู่หลานตระกูลหลี่ เธอเห็นผู้เฒ่าหลี่มอบกริชให้เสวี่ยหยวนจิ้งเล่มหนึ่ง และตอนพลบค่ำก่อนที่เขาจะนำไก่ป่าไปล้างทำความสะอาด แม้จะไม่ให้เธอเข้าใกล้ แต่เธอก็เห็นเขาดึงกริชออกมาพร้อมกับแสงเยือกเย็นวาบผ่าน ทั้งยังเห็นตอนที่เขาเฉือนส่วนสกปรกของไก่ป่าออกไปโดยไม่ได้ออกแรงแม้แต่นิดเดียว กริชเล่มนั้นไม่เพียงสามารถตัดเหล็กได้ดั่งตัดโคลน แต่ยังแหลมคมไม่มีกริชเล่มใดเปรียบได้ กระทั่งตอนเช้าของวันนี้ เธอก็เห็นเขาเดินตามเลียงผาตัวหนึ่งอย่างว่องไว ในขณะที่กริชเล่มนั้นวาบผ่าน เลียงผาตัวนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที…
อาหารมื้อกลางวันของพวกเขาคือเนื้อเลียงผาย่าง เมื่อกินเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เฉือนเนื้อเลียงผาตัวนั้นกลับมาสองชิ้น ส่วนที่เหลือเขาก็ทิ้งไป ตอนที่พวกเขาหยุดพักก่อนจะถึงเชิงเขา เด็กหนุ่มก็นำเนื้อเลียงผาสองชิ้นนั้นมาย่าง และทั้งสองก็กินจนอิ่มหนำสำราญ
เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยอมทิ้งเนื้อเลียงผา ไม่นำกลับมาให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้กิน ส่วนของป่าที่อยู่ในกระบุง ก็เพียงนำกลับมาพอเป็นพิธีเท่านั้น
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเสวี่ยหย่งฝูเอ่ยขึ้น
“เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าพวกเขาควรขุดโสมร้อยปีมาสักต้นจะดีกว่าเล่า เจ้าต้องรู้นะว่าคนในหมู่บ้านที่ขึ้นเขาไปเก็บของป่าในช่วงนี้ได้อะไรกลับมาบ้าง ของป่ารอบๆ เชิงเขาล้วนถูกชาวบ้านเก็บไปหมดแล้ว พวกเขาสองคนสามารถเก็บของเหล่านี้มาได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
ซุนซิ่งฮวารู้ว่าคำพูดของสามีเป็นความจริง เมื่อวานนางได้ยินคนในหมู่บ้านคนหนึ่งพูดกับคนจากหมู่บ้านข้างๆ ว่าเขาต้องทะเลาะต่อยตีกันด้วยเหตุที่ว่าใครเป็นคนเห็นต้นพลับก่อน ทั้งยังได้ยินว่ามีลูกพลับไม่ถึงห้าลูกด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนั้นซุนซิ่งฮวาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงก้มหน้าหยิบผลไม้ที่อยู่ในกระบุงออกมา ในใจก็นึกไปว่าอีกสองวันจะต้องส่งผลไม้บางส่วนไปให้มารดาของนางกิน
แม้ซุนซิ่งฮวาจะแอบบ่นในใจว่ามารดายกของต่างๆ ให้พี่ชายกับน้องชายนางเท่านั้น ทว่าถึงอย่างไรท่านก็คือมารดา อีกทั้งตอนนางกลับไปอยู่ที่เรือนสองวันเพื่อฉลองอายุครบห้าสิบปีของมารดา อีกฝ่ายก็เล่าทั้งน้ำตาว่าลูกสะใภ้ทั้งสองคนรังแกตนเช่นไรบ้าง ขณะที่ซุนซิ่งฮวานั่งฟัง ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลต่อความไม่เป็นธรรม อยากจะม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วไปสั่งสอนพี่น้องของตนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถูกมารดาดึงไว้ไม่ยอมให้ไป จากนั้นนางก็รู้สึกว่าความน้อยใจที่เคยมีต่อมารดาหายไปแล้ว กลับเปลี่ยนเป็นใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น
เสวี่ยหย่งฝูพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งสองสามประโยค ซึ่งเด็กหนุ่มตอบกลับด้วยประโยคอันเรียบง่าย จากนั้นเขาก็เดินไปยืนตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่และยิ้มจนตาหยี
เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่ยังรู้สึกดีกับคำพูดห้ามปรามไม่กี่ประโยคของเสวี่ยหย่งฝู เพราะเขากล้าเอ่ยต่อหน้าซุนซิ่งฮวา นับว่าเป็นคนที่มีเหตุผลไม่น้อย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเขาใช้สายตาเช่นนั้นมองมา เธอกลับไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
หลังจากเรียกเขาว่า “ท่านพ่อ” ด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้ว เธอก็เบนสายตาไปมองตะแกรงไม้ไผ่ที่แขวนอยู่บนผนัง ไม่คิดจะหันกลับมามองเสวี่ยหย่งฝูอีก
เสวี่ยหย่งฝูเห็นแววตาของเสวี่ยเจียเยว่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์ยาอยู่ในป่าตั้งหลายวัน เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าใบหน้าของเจ้ามีเนื้อมากขึ้น ทั้งยังขาวเนียนอีกด้วย ดูมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ”
เขากล่าวจบก็คิดจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่