ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 39 ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย
สามสิบเก้า
ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย
เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตาลงดูเฉียบคมดั่งคมมีด อีกทั้งยังล้ำลึกยากจะหยั่งถึง คิ้วได้รูปก็เลิกขึ้น
ยามที่เขาไม่แสดงความรู้สึกใดทางสีหน้า ผู้คนมักจะหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย กลับทำให้ความเย็นชามลายไปจนหมดสิ้น และทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ขณะนี้ดวงตาดำขลับของเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจับจ้องมาที่เสวี่ยเจียเยว่ โดยเขาไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว ราวกับเธอทำอะไรผิดมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อถูกเขาจับจ้องเช่นนี้เป็นเวลานาน เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่กล้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งนัก เธอจึงก้มหน้าลงมองถ้วยในมือของตน
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกังวาน คงเป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งวางช้อนลงในถ้วย ตามด้วยเสียงเอ่ยเนิบนาบใสกว่าเสียงถ้วยกับช้อนกระทบกันเมื่อครู่
“พรุ่งนี้ข้าจะไปช่วยท่านยายหานขายเต้าหู้ในเมืองพร้อมเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่โบกมือปฏิเสธทันที “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พรุ่งนี้มีข้าช่วยท่านยายหานคนเดียวก็พอแล้ว ท่านพี่อยู่ที่เรือนตั้งใจอ่านตำราดีกว่าเจ้าค่ะ”
เธอคิดว่าเดือนสองของปีหน้าคงมีการสอบคัดเลือกขุนนางระดับเซี่ยนชื่อแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งขยันหมั่นเพียรอ่านตำราในช่วงที่ผ่านมาเช่นนี้ เขาจะต้องเข้าร่วมการสอบอย่างแน่นอน หากเขาสอบผ่านระดับนี้ รวมทั้งผ่านระดับฝู่ชื่อและย่วนชื่อในเดือนสี่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็จะกลายเป็นบัณฑิตขั้นต้น ต่อไปเขาจะได้เดินอยู่บนเส้นทางของขุนนางอย่างเป็นทางการ เธอไม่อยากให้เขาเสียเวลาในยามนี้
หากบอกว่าเธอเห็นแก่ตัวก็คงไม่ผิดนัก เพราะช่วงนี้ท่าทีของเสวี่ยหยวนจิ้งดีขึ้นมาก เขาไม่เพียงไม่โกรธแค้นเธอ แต่ยังบอกว่าจะดูแลเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ อีกด้วย ถ้าเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางและประสบความสำเร็จในที่สุด ไม่ว่าอย่างไรชีวิตของเธอก็ต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงของอีกฝ่าย ในใจของเขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากออกไปจากเรือนหลังนี้ เมื่อครู่เขาจึงบอกว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองไปช่วยยายหานขายเต้าหู้ด้วย แต่แม่นางน้อยกลับปฏิเสธข้อเสนอของเขา
คิ้วได้รูปของเสวี่ยหยวนจิ้งขมวดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เอาตามนี้ พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าจะเข้าเมืองไปกับท่านยายหาน”
ทำเช่นนี้แทบไม่มีช่องว่างให้ปฏิเสธ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเขายืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก พรุ่งนี้เธอเพียงอยากไปดูโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น ไม่มีความคิดเป็นอื่น
ขอเพียงได้เห็นวัฒนธรรมภายนอกกับตา เธอก็จะวางแผนเส้นทางในอนาคตได้อย่างถูกต้อง
ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าในโลกใบนี้ เรื่องไหนทำได้ เรื่องไหนทำไม่ได้
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็กลับเรือน เสวี่ยเจียเยว่จึงถือจานเต้าหู้สองแผ่นนั้นไปให้ซุนซิ่งฮวาดู และบอกว่าวันพรุ่งนี้เธอจะเข้าเมืองไปขายเต้าหู้กับยายหาน
เนื่องจากก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งยืนกรานว่าจะไปกับเธอให้ได้ เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยคำโป้ปด “ท่านยายหานบอกว่านางไม่มีความรู้ อีกทั้งยังคิดเลขไม่เป็น เลยอยากให้ท่านพี่ไปกับข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ซุนซิ่งฮวาได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้เต้าหู้มาแค่สองแผ่น แต่พรุ่งนี้กลับจะเอาพวกเจ้าสองคนไปช่วยขาย จะหาเรื่องถูกๆ เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีก”
ความหมายในประโยคนั้นคือ นางดูถูกเต้าหู้สองแผ่นของยายหานว่าน้อยนัก
เสวี่ยเจียเยว่ทำได้เพียงก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใด เพราะรู้ว่าซุนซิ่งฮวาพูดเพื่อความสบายใจของตัวเองเท่านั้น แต่ในที่สุดสตรีผู้นี้จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
แม้ว่าชาวบ้านในชนบทจะปลูกผักทุกชนิด แต่ตลอดทั้งปีก็มีโอกาสที่จะได้กินเต้าหู้ไม่บ่อยนัก สำหรับพวกเขาแล้วเต้าหู้นับว่าเป็นของดีที่หาได้ยาก และตอนนี้เป็นช่วงพักผ่อน จึงแทบไม่มีงานอะไรในทุ่งนาให้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งทำ แต่ถึงจะไม่มีงานพวกเขาอยู่ในเรือนก็ต้องกินข้าว ที่สำคัญวันนี้ได้เต้าหู้มาตั้งสองแผ่นแล้ว หากพรุ่งนี้ทั้งสองคนไปช่วยยายหานขายเต้าหู้ จะประหยัดข้าวในส่วนของพวกเขาไปได้ตั้งหนึ่งวัน ซุนซิ่งฮวาจะต้องพอใจอย่างแน่นอน
และเป็นจริงดังคาด หลังจากซุนซิ่งฮวาบ่นจุกจิกได้สองสามประโยค สุดท้ายก็ยอมตกลง แล้วสั่งเสวี่ยเจียเยว่ไปทำอาหาร
“เอาเต้าหู้ไปทอดหนึ่งแผ่น ส่วนแผ่นที่เหลือก็แช่ไว้ในน้ำ เอาไว้ให้ข้ากินพรุ่งนี้”
เสวี่ยเจียเยว่ขานรับหนึ่งเสียง และยกจานเต้าหู้เข้าไปในครัว โดยมีเสวี่ยหยวนจิ้งตามไปช่วยจุดไฟ
แม้จะบอกว่าทอดเต้าหู้ แต่เธอไม่กล้าใช้น้ำมันมาก เพราะซุนซิ่งฮวาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวทั้งยังฉลาด ในทุกวันนางจะทำเครื่องหมายเอาไว้บนขวดใส่น้ำมัน เพื่อดูว่าตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ผัดผักนั้นใช้น้ำมันไปเท่าไร หากรู้สึกว่าใช้เยอะเกินไป นางต้องด่าเป็นการใหญ่อย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่เทน้ำมันเทลงกระทะเพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางลงทอดในกระทะ เมื่อสุกได้ที่แล้วจึงตักใส่จาน นำกระเทียมสับละเอียดและพริกไทยหลายเม็ดลงไปผัดในกระทะ เมื่อได้กลิ่นหอมแล้วก็เทน้ำลงไปครึ่งถ้วย ก่อนจะเติมเกลือกับซีอิ๊วขาว และปิดฝาหม้อลง เมื่อน้ำซุปเดือดแล้วก็ตักราดลงบนเต้าหู้ที่ทอดเสร็จแล้ว พอถึงขั้นตอนนี้ก็นับว่าเป็นอันเสร็จสิ้น
จากนั้นเธอนำผักกาดขาวลงไปผัดกับน้ำมันเล็กน้อย ขณะที่จะเดินไปหยิบจาน เสวี่ยหยวนจิ้งที่กำลังนั่งเติมฟางในเตาก็ลุกขึ้นมา และเดินไปหยิบถ้วยกับช้อนออกมาจากตู้ ก่อนจะเปิดฝาหม้อที่ตั้งอยู่ข้างๆ ออก แล้วตักข้าวต้มใส่ถ้วย
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าการที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเธอ เธอจึงยิ้มให้เขา ก่อนจะยกจานเต้าหู้ทอดกับผัดผักกาดขาวออกไปวางบนโต๊ะในห้องโถง และเรียกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา
…
ยามนี้ซุนซิ่งฮวากำลังนั่งเย็บรองเท้าผ้าฝ้ายให้ตัวเองอยู่ในห้องนอน พลางบ่นว่าเสวี่ยหย่งฝูไม่มีประโยชน์ ความหมายของนางคือรองเท้าที่ทำมาจากผ้าฝ้ายไม่ใช่ของดีนัก เมื่อเห็นสตรีเรือนอื่นได้สวมรองเท้าที่ดูสวยงาม ก็โทษตัวเองที่ตาบอดตั้งแต่แรก เชื่อคำแม่สื่อจนยอมแต่งงานกับเสวี่ยหย่งฝู ในทุกวันตั้งแต่เช้าจดเย็นต้องทนทุกข์ทรมานแบกรับความยากจนเช่นนี้
เสวี่ยหย่งฝูชินชากับคำด่าเช่นนี้ของนาง จึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงยกน้ำเต้าใส่สุราขึ้นมาสูดดมตลอดเวลา
ตอนที่มารดาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังมีชีวิตอยู่ นางไม่สนใจว่าเขาจะดื่มสุรามากเพียงใด และปล่อยให้เขาดื่มจนกว่าจะพอใจ แต่ตอนนี้ซุนซิ่งฮวากลับควบคุมเขาอย่างเข้มงวด ทุกครั้งที่เห็นเขาซื้อสุรา นางจะด่าเขาพร้อมกับทุบหม้อทุบจานในเรือน เสวี่ยหย่งฝูจึงเริ่มไม่กล้าดื่ม เมื่อทนไม่ไหวจริงๆ เขาก็ทำได้เพียงกอดน้ำเต้าใส่สุราไว้แนบอก ขอเพียงได้ดมกลิ่นที่ลอยขึ้นมาเล็กน้อยก็พอใจแล้ว
วันนี้ซุนซิ่งฮวาเล่นไพ่ใบไม้แพ้จนเสียเงินไปสามตำลึง และนางกำลังอารมณ์ไม่ดี พอเห็นเสวี่ยหย่งฝูเอาแต่กอดน้ำเต้าไม่พูดไม่จา ไฟโทสะก็ลุกโชน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
หลังจากโยนรองเท้าผ้าฝ้ายที่ยังเย็บไม่เสร็จลงบนเตียง นางเดินไปแย่งน้ำเต้าในมือเสวี่ยหย่งฝูพลางด่าไปด้วย “ทั้งวันเจ้าก็รู้จักแต่ดื่มสุรา เห็นเจ้าจะตายเพราะเรื่องดื่มสุรานี่ตั้งแต่เช้าจดเย็น”
ทั้งยังสั่งเขา “เอาน้ำเต้าใส่สุรามาให้ข้า ข้าจะเอามันไปทุบทิ้งให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ดูซิว่าต่อไปเจ้าจะดื่มสุราอย่างไร”
เสวี่ยหย่งฝูย่อมไม่มีทางส่งน้ำเต้าให้นาง เขาซ่อนมันไว้ด้านหลังทันที ขณะที่ทั้งสองกำลังแย่งชิงน้ำเต้ากันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเสวี่ยเจียเยว่เรียกออกไปกินข้าว
เสวี่ยหย่งฝูรีบยิ้มพลางเอ่ยเอาใจซุนซิ่งฮวา “เอ้อร์ยาเรียกพวกเราไปกินข้าวแล้ว เจ้าชอบกินเต้าหู้ทอดไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินว่ากินเต้าหู้ตอนยังร้อนๆ อยู่ถึงจะอร่อย รีบไปสิ พวกเราต้องกินตอนยังร้อนๆ”
ทั้งยังสัญญากับนางว่าต่อไปเขาจะประหยัดเงิน ให้นางได้กินเต้าหู้ทุกวัน และให้นางเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างในเรือน ซุนซิ่งฮวาจึงอารมณ์ดีขึ้น
นางถลึงตามองเสวี่ยหย่งฝูครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ามันชั่วช้าจริงๆ ต้องให้ข้าด่าเช่นนี้ก่อนเจ้าถึงจะยอมเชื่อฟัง”
เมื่อนางกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป
บนโต๊ะในห้องโถงมีอาหารพร้อมแล้ว แม้แต่ตะเกียบก็วางเอาไว้เป็นอย่างดี เพียงรอให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวามานั่งกินเท่านั้น
สองสามีภรรยานั่งลงแล้วมองเต้าหู้ทอดบนจาน พบว่าเต้าหู้ทุกชิ้นเป็นสีเหลืองทอง ด้านบนโรยด้วยใบกระเทียมสีเขียว ทั้งยังมีกระเทียมสับและพริกไทยอีกด้วย ทำให้มีกลิ่นหอมโชยขึ้นมา
เสวี่ยหย่งฝูเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเสวี่ยเจียเยว่ “ฝีมือการทำอาหารของเจ้านับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เต้าหู้ทอดจานนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าคิดว่าในครัวใหญ่ของโรงเตี๊ยมน่าจะมีอาหารเช่นนี้อยู่”
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเต้าหู้ทอดหนึ่งชิ้นเข้าปากอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นซุนซิ่งฮวาก็ถลึงตามองเขา ก่อนหยิบตะเกียบมาคีบเต้าหู้ทอดหนึ่งชิ้นเข้าปากเช่นกัน
ความแรงของไฟที่เหมาะสมทำให้เนื้อเต้าหู้สุกพอดี ด้านนอกกรุบกรอบ ส่วนด้านในนุ่มละมุน ยิ่งมีกลิ่นหอมของใบกระเทียม กระเทียมสับ และพริกไทย ยิ่งทำให้คนที่ได้กินนั้นวางตะเกียบไม่ลง
เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวากินโดยไม่สนว่าเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้กินหรือไม่ หากพวกเขาอยากจะกินเต้าหู้ทอด นางคงใช้สายตาดุจคมมีดข่มขู่ไม่ให้กินทันที
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งมีจิตใจที่ด้านชาต่อเรื่องเหล่านี้ไปเสียแล้ว ทั้งสองคนไม่กินเต้าหู้ทอดแม้แต่ชิ้นเดียว ได้แต่คีบผัดผักกาดขาวกินเท่านั้น
เวลาผ่านไปไม่นานเต้าหู้ทั้งจานก็ถูกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวากินจนหมดเกลี้ยง เสวี่ยหย่งฝูกินข้าวต้มไปสามถ้วย ซุนซิ่งฮวากินสองถ้วย ทว่าแม้ทั้งสองจะอิ่มแล้ว ยังเทน้ำซุปในจานเต้าหู้ทอดลงไปในถ้วย และคิดจะกินข้าวต้มกันอีก
ชีวิตของชาวนาโดยทั่วไปต้องประหยัดมัธยัสถ์ แต่ซุนซิ่งฮวายังเห็นแก่หน้าตาตัวเอง จึงนำเมล็ดผักกาดก้านขาวเกินกว่าครึ่งออกไปขายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อซื้อวัวมาหนึ่งตัว หวังให้คนในหมู่บ้านมองนางสูงขึ้น และคิดว่าฐานะครอบครัวของตนนั้นดีมาก ทว่าความจริงแล้วพวกเขายังยากจนยิ่งนัก ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมาเป็นเวลานาน วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่บ้านของพวกเขามีเต้าหู้กิน
เสวี่ยหย่งฝูลูบพุงป่องๆ ของตนพลางเอ่ยกับซุนซิ่งฮวา “เต้าหู้นี่ทั้งหอมทั้งนุ่ม ข้าแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย เข้าปากไปก็แทบจะลื่นลงคอ”
จากนั้นเขาหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปเต้าหู้ที่เราได้กินนี่ก็เพราะเจ้าเป็นคนทำ เอ้อร์ยา นับวันเจ้ายิ่งมีความสามารถ ท่านยายหานไม่ใช่คนที่ใครจะไปมาหาสู่ได้ง่ายๆ ผู้ใหญ่กับเด็กในหมู่บ้านน้อยนักจะเข้าตานาง แต่ตอนนี้นางกลับให้เจ้าช่วยทำเต้าหู้และจะให้ไปช่วยขาย ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากนัก ต่อไปหากเจ้าไม่มีอะไรทำ ก็ไปช่วยท่านยายหานบ่อยๆ นางมักจะทำเต้าหู้เข้าไปขายในเมือง ได้เต้าหู้สักแผ่นสองแผ่นมากินทุกครั้ง ก็ถือว่าให้เป็นของเซ่นไหว้ในเรือนพวกเราแล้วกัน”
ซุนซิ่งฮวาไม่สบอารมณ์ยิ่งนักเมื่อเห็นเสวี่ยหย่งฝูดีกับเสวี่ยเจียเยว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ลูกสาวนางหายป่วยในครั้งนั้น แล้วจู่ๆ ก็รักความสะอาดขึ้นมา หรือแม้จะมีรอยชุนบนเสื้อผ้ามากเพียงใดก็ต้องซักให้สะอาด ส่วนใบหน้าต้องล้างให้สะอาดสะอ้าน เส้นผมต้องใช้สบู่สระ
ชาวบ้านหลายคนบอกว่าเอ้อร์ยามีหน้าตางดงามหมดจด ทั้งยังถากถางนางว่าเป็นอีกาแก่ แต่กลับให้กำเนิดหงส์ คนเหล่านั้นล้วนถามนางพร้อมกับหัวเราะเยาะว่าเอ้อร์ยาเป็นลูกสาวแท้ๆ ของนางหรือไม่ คงไม่ใช่เก็บมาเลี้ยงกระมัง ไม่อย่างนั้นสภาพของนางเช่นนี้จะสามารถให้กำเนิดลูกสาวหน้าตางดงามเช่นเอ้อร์ยาได้อย่างไร
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็โมโหยิ่งนัก อยากเอาเล็บข่วนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ให้เป็นแผลไปเสีย คำพูดของชาวบ้านและการกระทำของเสวี่ยหย่งฝูทำให้นางอ่อนไหวเป็นอย่างมาก สามีของนางพูดดีกับเสวี่ยเจียเยว่ ทั้งยังมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่พ่อเลี้ยงควรทำกับลูกเลี้ยงหรือ
ตั้งแต่นางแต่งงานเข้ามา ซุนซิ่งฮวาก็ได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าเสวี่ยหย่งฝูเป็นบุรุษที่ขาดสตรีในยามค่ำคืนไม่ได้ หลังจากภรรยาคนแรกของเขาตายไป ในระยะเวลาสองเดือนตอนที่นางยังไม่ได้แต่งเข้ามา ก็ได้ยินว่าเขากับแม่ม่ายแซ่จ้าวซึ่งอยู่เรือนข้างๆ มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ
สามีชาวฮั่นของแม่ม่ายจ้าวตายไปตั้งแต่สามปีก่อน ในเรือนมีลูกชายอายุหกขวบ หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาก็เคยได้พบนาง นางมีใบหน้ารูปไข่ แต่งหน้าประแป้งจนขาวราวหิมะ ริมฝีปากยังแดงฉาน ตอนที่พูดคุยกับผู้คนก็มักจะยิ้มไม่หยุด สตรีในหมู่บ้านไม่ชอบนางสักคน
ทว่าบุรุษในหมู่บ้านล้วนชอบนางกันทั้งนั้น เดิมทีนางเป็นม่ายสามีตาย ลูกกำพร้าบิดา ชีวิตต้องมีอุปสรรคมากมายถึงจะถูก แต่แม่ม่ายจ้าวกลับมีชีวิตที่ดี ได้กินเนื้อทุกมื้อ ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นค่าค้างคืนที่บุรุษเหล่านั้นให้นาง
ซุนซิ่งฮวาไม่ชอบแม่ม่ายจ้าวจริงๆ หลังจากแต่งเข้ามา คิดไม่ถึงว่าครั้งหนึ่งนางจะเคยทะเลาะกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้ และตั้งแต่สองครอบครัวทะเลาะกันครั้งนั้น แม้ว่าเรือนจะอยู่ใกล้กัน แต่ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีกเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ซุนซิ่งฮวาก็ไม่สบายใจทุกที และยิ่งเห็นเสวี่ยหย่งฝูพูดเช่นนั้นกับเสวี่ยเจียเยว่ นางยิ่งหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี จึงใช้ตะเกียบเคาะหลังมือเขาอย่างแรงพลางด่า
“ข้าวมันอุดปากเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร ถึงต้องกินเต้าหู้บ่อยๆ กินเต้าหู้อะไร จะกินเต้าหู้ของใคร อยากกินเต้าหู้ก็เอาเงินไปแลกมา เจ้านี่หน้าไม่อายจริงๆ เลย ตัวเองไม่มีปัญญาซื้อเต้าหู้ ยังกล้าพูดไม่หยุดอยู่ตรงนี้อีก”
เมื่อด่าเสวี่ยหย่งฝูเสร็จ นางก็หันมาด่าเสวี่ยเจียเยว่ “ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไร หน้านี่จะขาวกว่าก้นของเจ้าแล้ว บนตัวยังมีกลิ่นหอมอีก อายุแค่นี้รู้จักแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนกับแม่ม่ายจ้าวไม่มีผิด เจ้าอยากยั่วยวนใจผู้ใดหรือ ถึงได้ลุกขึ้นมาทำตัวเช่นนี้ รอให้เจ้าโตกว่านี้ดีหรือไม่ ไม่แน่อาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ เจ้าฟังให้ดี แม่ของเจ้าเป็นคนรักษาชื่อเสียง ไม่อาจทนรับเรื่องเสียเกียรติได้ หากต่อไปเจ้าทำเรื่องอัปยศให้แก่ครอบครัว แม้ว่าเจ้าจะเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า ข้าก็จะตีเจ้าให้ตายกับมือ และทำเหมือนไม่เคยให้กำเนิดคนอย่างเจ้าตั้งแต่แรก เพื่อล้างสิ่งสกปรกออกไปจากชีวิตข้า”
คำด่าเช่นนี้ถือว่ารุนแรงสำหรับแม่นางน้อยอายุเพียงแปดขวบ… เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็โมโหจนมือทั้งสองข้างสั่นเทา ชั่วขณะนั้นเธออยากจะพุ่งไปตบซุนซิ่งฮวาเสียให้ได้
ทว่าเมื่อคิดดูให้ถี่ถ้วน สุดท้ายเธอก็ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
เธอสู้ซุนซิ่งฮวาไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น แม้หมู่บ้านซิ่วเฟิงจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็มีศาลบรรพบุรุษ ถึงอย่างไรตอนนี้ซุนซิ่งฮวาก็คือมารดาของเธอ หากเธอลงไม้ลงมือ ไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะนำเรื่องวุ่นวายนี้ไปฟ้องหัวหน้าหมู่บ้าน และตามกฎของหมู่บ้าน จุดจบของเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีใครออกมาพูดช่วยเธอสักคน ถึงอย่างไรกฎของหมู่บ้านก็กำหนดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ไม่มีใครอยากจะขัดแย้งกับหัวหน้าหมู่บ้านและกฎของหมู่บ้านเพื่อเธอคนเดียวอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่เพียงก้มหน้าก้มตาและไม่พูดอะไร ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดแย่ๆ ของซุนซิ่งฮวา
เมื่อซุนซิ่งฮวาเห็นเช่นนั้น ก็นึกว่าเสวี่ยเจียเยว่ถูกนางด่าจนหวาดกลัว นางจึงยิ่งพอใจไม่น้อย
นางกำลังจะด่าอีกสองประโยค แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
“มีแม่คนไหนบ้างที่กล่าวเหยียดหยามลูกสาวของตนเช่นนี้ อีกอย่าง… นางอายุแค่แปดขวบ จะเข้าใจเรื่องแต่งหน้าแต่งตัวยั่วยวนอะไรนั่นได้อย่างไร นางเพียงรักความสะอาดก็เท่านั้น มันผิดด้วยหรือ เหตุใดถึงกับต้องใช้คำระคายหูเช่นนี้ด่านาง”
ตั้งแต่ซุนซิ่งฮวาแต่งงานเข้ามา เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยเรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ แม้แต่ครั้งเดียว เรื่องนี้ยังติดอยู่ในใจของนางตลอดมา เมื่อได้ยินคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่ ในใจของนางพลันลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ และลุกขึ้นชี้นิ้วไปที่จมูกของเด็กหนุ่มพลางด่า
“เจ้าเองก็รู้ว่านางคือลูกที่ข้าให้กำเนิด เช่นนั้นข้าจะด่าหรือตีนางอย่างไรมันก็เรื่องของข้า จำเป็นต้องให้เจ้ามาออกหน้าพูดแทนนางด้วยหรือ”
นางพูดด้วยความเดือดดาลต่อ “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดกับใครอยู่หรือ ไม่เรียกแม่สักคำ แม้แต่ชื่อก็ไม่มี ข้าจะบอกเจ้าตามตรงนะ ถือว่าข้ายังเมตตาต่อเจ้า ในเมื่อข้าแต่งงานกับพ่อของเจ้า ไม่ว่าจะไปพูดที่ไหน ข้าก็คือแม่เลี้ยงของเจ้า เจ้าควรเรียกข้าว่าแม่ แต่ดูเจ้าสิ ข้าแต่งงานมาก็ใกล้จะหนึ่งปีแล้ว ไม่เรียกแม่สักคำ ตั้งแต่ข้าเข้ามาเจ้าพูดกับข้ากี่ประโยค สองมือของข้ายังนับได้ พ่อของเจ้ามักจะบอกว่าเจ้าเป็นคนมีความรู้ แต่ในความเห็นของข้า เจ้าไม่ได้มีความรู้อะไรเลย เรียนไปก็เสียเวลาเปล่า ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ กล้าดีอย่างไรมาพูดกับข้าเช่นนี้ หากข้านำเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าคิดว่าคนในหมู่บ้านยังจะคิดว่าเจ้าเป็นคนมีความรู้อยู่หรือไม่ คนเรียนอะไร แม้แต่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ยังไม่รู้สักนิด”
นางกล่าวจบก็โยนตะเกียบลงบนโต๊ะ และคิดจะออกจากเรือนไปพบหัวหน้าหมู่บ้าน
เสวี่ยหย่งฝูรีบยื่นมือไปจับแขนนางเอาไว้พลางเอ่ยเกลี้ยกล่อม “เรื่องไม่ดีในเรือนอย่าแพร่งพรายออกไปข้างนอกเลย หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูหัวหน้าหมู่บ้าน จะวุ่นวายจนคนในหมู่บ้านรู้กันหมด เจ้ามีหน้ามีตา ข้าเองก็มีหน้ามีตาเหมือนกันไม่ใช่หรือ” เขาอยากจะดึงนางให้นั่งลง
ซุนซิ่งฮวารู้ดีว่าหากพูดถึงต้นเหตุของเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เป็นเพราะนางด่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่กี่ประโยค ถ้านำเรื่องเสวี่ยหยวนจิ้งไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องที่นางด่าเสวี่ยเจียเยว่ก็จะแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน
ทั้งยังรู้ว่าชาวบ้านซิ่วเฟิงด่าประณามลับหลังว่า นางขายน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง และเรื่องการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อเด็กหนุ่มนั้น แม้แต่ลูกสาวของตน นางก็ยังทำเช่นเดียวกัน หากพูดออกไปจะไม่เท่ากับว่าทำให้คนเหล่านั้นด่าลับหลังนางเพิ่มขึ้นอีกหรือ อีกอย่าง… ในใจของนางก็ไม่อยากให้เรื่องนี้วุ่นวายจริงๆ เพียงอยากจะหยุดความโอหังในตัวเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น
เมื่อคิดแล้วนางก็นั่งลงทันที และพูดกับเสวี่ยหย่งฝู “ในเมื่อเจ้าไม่อยากขายหน้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้เรื่องนี้วุ่นวายออกไปข้างนอก แต่ว่า…”
นางเชิดหน้าใส่เสวี่ยหยวนจิ้ง “ให้เขาขอโทษข้า และต้องคุกเข่าเรียกข้าว่าแม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นทันที สายตาเย็นชาดุจคมมีดตรงเข้าไปทิ่มแทงซุนซิ่งฮวา
เมื่อซุนซิ่งฮวาถูกเขาใช้สายตาเช่นนี้จับจ้อง แม้ว่าในใจจะรู้สึกหวาดกลัว แต่นางก็ยังแกล้งทำเป็นไม่กลัว อีกทั้งยังแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ทำไม เจ้าคุกเข่าให้ข้าไม่ได้หรือ เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยคุกเข่าให้แม่ที่ตายไปแล้วของเจ้าหรืออย่างไร ตอนนี้ข้าเป็นแม่เลี้ยงของเจ้า แม้ว่าในใจเจ้าจะยอมรับหรือไม่ แต่ต่อหน้าคนอื่นเจ้าก็คือลูกชายของข้า เหตุใดเจ้าจึงคุกเข่าให้ข้าไม่ได้”
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากจะรับคำพูดของซุนซิ่งฮวาแล้วจบเรื่องไป แต่นึกไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดแทนเธอ และคิดไม่ถึงว่าซุนซิ่งฮวาจะใช้โอกาสจากเรื่องวุ่นวายมาทำเช่นนี้
แม้ว่าความเป็นจริงเสวี่ยหยวนจิ้งควรเรียกซุนซิ่งฮวาว่าแม่ และในยุคนี้การคุกเข่าให้แม่เลี้ยงก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่เขาเป็นคนทะนงตัว อีกทั้งในใจเขายังเกลียดชังซุนซิ่งฮวาเหลือแสน เรื่องคุกเข่าให้นางจะเป็นไปได้อย่างไร
ด้วยกลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพุ่งไปลงมือจนเกิดเรื่องใหญ่ เสวี่ยเจียเยว่จึงรีบจับมือเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะหันไปพูดกับซุนซิ่งฮวา “ท่านแม่ ท่านพี่เขา…”
เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกซุนซิ่งฮวาเอ่ยแทรกขึ้น
“คนอื่นเลี้ยงลูกสาวให้ช่วยเหลือแม่ แต่ดูข้าสิ เลี้ยงลูกสาวเพื่อให้ไปช่วยเหลือคนอื่น เจ้าหุบปากไปเลย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าควรพูด”
เสวี่ยหย่งฝูเห็นสถานการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่จึงพูดกับซุนซิ่งฮวา “ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จะวุ่นวายขนาดนี้ไปเพื่ออะไร เฮ้อ… เจ้าไม่จำเป็นต้องอารมณ์ร้อนขนาดนี้ก็ได้กระมัง จิ้งเอ๋อร์เป็นคนมีความรู้ มีนิสัยทะนงตัวตั้งแต่เด็ก เขายังไม่เคยคุกเข่าให้ข้าเลย เจ้าจะบังคับเขาเพื่ออะไรกัน”
“เจ้าหุบปาก!” ซุนซิ่งฮวาหันกลับมาด่าเสวี่ยหย่งฝู “เจ้าเป็นพ่อ แต่กลับกลัวลูกชายตัวเองเช่นนั้นหรือ ข้าไม่กลัว วันนี้ข้าพูดไปแล้ว เขาจะต้องคุกเข่าเรียกข้าว่าแม่ และเอ่ยคำขอโทษข้า ต่อไปข้าก็จะทำกับเขาเหมือนลูกชายของตัวเอง แล้วครอบครัวเราก็จะดีขึ้น ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ พรุ่งนี้ข้าจะเก็บของกลับบ้านเกิดของข้า แต่งก็เหมือนไม่แต่ง เหตุใดข้าต้องทนอยู่ในเรือนของเจ้าด้วย”
เสวี่ยหย่งฝูเกลี้ยกล่อมภรรยาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เป็นผล จึงหันมามองเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยโน้มน้าว “แม่เลี้ยงก็คือแม่ เจ้าเรียกนางว่าแม่นับเป็นเรื่องที่สมควร เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ควรไปพูดเช่นนั้นกับนาง เรื่องนี้เจ้าก็ทำไม่ถูก ตอนนี้เจ้าต้องคุกเข่าเรียกนางว่าแม่และขอโทษนาง นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่สมควรทำ”