ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 41 เข้าเมืองซื้อตำรา
สี่สิบเอ็ด
เข้าเมืองซื้อตำรา
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเด็กหนุ่มเอ่ยเช่นนั้น ก็หันไปมองเขาทันที แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงคิดในใจว่าไม่ได้ออกเรือนแล้วจะอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนดว่าผู้หญิงต้องออกเรือนเท่านั้น อีกอย่าง… ในยุคนี้การมีภรรยาสามอนุสี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาพอๆ กับการกินข้าวดื่มน้ำ แต่เธอไม่ชอบจึงไม่เคยคิดอยากแต่งงานด้วยซ้ำ อยู่คนเดียวดีกว่าเป็นไหนๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไร และสีหน้าก็ดูไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด จึงคิดว่าเมื่อครู่นี้แม่นางน้อยไม่ได้ฟังคำพูดประโยคนั้นของเขาเลย
เด็กหนุ่มแปลกใจไม่น้อย เพราะตามที่เขารู้มา สตรีในยุคนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากแต่งงานกับบุรุษดีๆ เถ้าแก่เนี้ยร้านขายของป่าผู้นั้น ทั้งชีวิตไม่ได้ออกเรือนย่อมไม่มีบุตร แล้วในโลกนี้มีกี่คนที่เป็นเหมือนเสวี่ยเจียเยว่บ้าง ไหนจะต้องเผชิญกับคำติฉินนินทาของผู้คน ถึงแม้ตอนนี้ยังคงมีชีวิตชีวา แต่ยามแก่เฒ่าจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือ ทว่าท่าทางของแม่นางน้อยในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับวิธีการของเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้น
เขาข่มกลั้นความตะลึงเอาไว้ สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
คนในเมืองนี้เดิมทีก็มีไม่มาก และไม่ใช่ว่าทุกคนจะซื้อเต้าหู้กิน ดังนั้นแม้จะผ่านช่วงสายมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังขายเต้าหู้ตะกร้าใหญ่และของอื่นๆ ไปได้ไม่ถึงครึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามยายหาน “ทุกครั้งที่ท่านมาขายเต้าหู้ในเมือง ท่านขายไปได้กี่ชิ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่แน่นอนเท่าไรนัก บางครั้งโชคดีคนซื้อมีมากเต้าหู้จึงเหลือน้อย แต่บางครั้งโชคไม่ดี เหลือเกินครึ่งกลับเรือนไปก็มี วันนี้ขายไปแล้วเกือบครึ่ง ก็ถือว่าไม่แย่เท่าไร” ยายหานเอ่ยตอบ
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าการทำเต้าหู้เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นยายหานก็อายุมากแล้ว จึงทำได้ไม่บ่อยนัก นางต้องทำเยอะเป็นพิเศษ และมักจะคิดว่าต้องขายเต้าหู้พวกนี้ให้หมด แต่ตอนนี้…
เธอมองเต้าหู้สีขาวราวหิมะและของที่ทำจากถั่วอื่นๆ ในตะกร้าหวาย ก่อนจะคิดหาทางออกได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ยายหานเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวตอนขับรถลากล่อกลับไป ค่อยตะโกนขายให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้ทางเดินก็ได้ พอถึงตอนนั้นก็คงจะขายได้บ้าง”
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับไม่คิดเช่นนั้น “ปกติคนขายเต้าหู้ในหนึ่งครั้งจะได้เท่าไรกันเชียว ขายได้สองสามแผ่นก็นับว่ามากแล้ว อีกทั้งปีนี้ลมแรง ท่านขับรถลากล่อไปร้องตะโกนขายให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ทางเดินไป นั่นเป็นการสิ้นเปลืองแรงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ท่านคิดจะทำเช่นนี้ทุกครั้งที่เข้ามาขายเต้าหู้ในเมืองหรือเจ้าคะ พอขายไม่ออกก็นำส่วนที่เหลือกลับไปวางทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์
“ท่านยายหาน ในเมืองแห่งนี้มีร้านอาหารหรือไม่เจ้าคะ หรือไม่ก็ครอบครัวใหญ่ ซึ่งจะมีคนที่คอยซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ หากลองไปดูเสียหน่อย จ่ายเงินเล็กน้อยแก่ชาวบ้านเพื่อให้เขาช่วยหาคนผู้นั้น เมื่อเจอแล้วก็สนทนากับพวกเขาเล็กน้อย บอกว่าเต้าหู้ของท่านขายราคาต่ำกว่าเจ้าอื่น จากนั้นเขาสามารถเสนอราคาเดิมให้แก่เจ้าของร้านได้หรือไม่ ทำเช่นนี้เขาก็จะได้เงินจากส่วนต่างของราคาที่ซื้อจากท่านไป แล้วมีเหตุอันใดที่เขาจะไม่ยอมเล่า ต่อไปท่านก็สามารถนำเต้าหู้ที่ทำเสร็จแล้วมาส่งขายให้เขาโดยตรงได้ ไม่ต้องมานั่งตากแดดตากลมที่นี่ ไม่ต้องลำบากตรากตรำไปตะโกนขาย ข้าคิดว่าวิธีนี้ดีไม่ใช่น้อย เหตุใดพวกเราไม่ลองไปถามเสียตอนนี้เลยเล่า”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันในทันที
เขาไม่ได้ตะลึงเพราะความฉลาดของเสวี่ยเจียเยว่ เพราะเรื่องนี้เคยมีคนทำมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ กลับคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ การพัฒนาของสมองช่างรวดเร็วยิ่งนัก…
ทว่าแม้จะคิดเช่นนี้ คนที่เหมือนน้ำเย็นเฉียบเช่นเขาก็ต้องขัดอีกฝ่ายบ้าง “เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอก คนในเมืองนี้เดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว คงมีเรือนร้อยกว่าหลังเท่านั้นกระมัง จะมีร้านอาหารสักกี่แห่ง และในวันปกติจะมีคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารสักกี่คน แม้ว่าจะมี พวกเขาจะกินมังสวิรัติแทนเนื้อเท่าไร ย่อมต้องกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์มากกว่า มีใครบ้างที่ไปร้านอาหารเพื่อกินเต้าหู้
“ส่วนครอบครัวใหญ่ พวกเขาก็เหมือนกับคนซื้อทั่วไป วันหนึ่งจะใช้เต้าหู้มากเท่าไร คนที่ซื้อวัตถุดิบทำอาหารก็ย่อมมีคนรู้จักส่งเต้าหู้ราคาต่ำให้เขาทุกวัน เจ้าให้ท่านยายหานไปถามคนเหล่านั้นในเวลานี้ ทั้งยังให้นางจ่ายเงินอีก แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไร”
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองดูก็คิดว่าคำพูดของเขามีเหตุผล จึงรู้สึกท้อแท้ไม่น้อย
“แล้วจะทำอย่างไรดี หรือว่าจะให้ท่านยายหานนำเต้าหู้ที่เหลือกลับไป แล้ววางทิ้งไว้ในเรือนโดยเปล่าประโยชน์เช่นนั้นหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองแม่นางน้อย สุดท้ายก็ทนเห็นท่าทางท้อแท้ของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าลองคิดดูให้ดี คนที่กินมังสวิรัติทุกวันคือใคร”
เสวี่ยเจียเยว่หรี่ตาลง คิ้วบางขมวดแน่น และมีสีหน้าจริงจัง
เด็กหนุ่มเห็นท่าทางของแม่นางน้อยแล้วอยากจะลูบศีรษะอีกฝ่ายทันที…
ทว่าจู่ๆ เขาก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่ปรบมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดออกแล้ว! พระกับแม่ชีในอารามอย่างไรเล่า และยังมีผู้แสวงบุญอีก คนที่อยู่ในอารามต้องกินเจตลอดทั้งวันไม่ใช่หรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงเผยรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่หันไปเรียกยายหาน “ท่านยายหาน เร็วเข้าเจ้าค่ะ พวกเรายกตะกร้าขึ้นรถลากล่อกันเถอะ และไปถามทุกอารามที่มีในเมืองตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งช่วยยกตะกร้าหวายขึ้นไปบนรถลากล่อ จากนั้นทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังอาราม
แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบท ทว่ากลับมีอารามถึงสองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นของแม่ชี ส่วนอีกแห่งหนึ่งเป็นของพระสงฆ์ มีผู้แสวงบุญจำนวนมากเข้ามากราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังอยู่กินข้าวกันที่อาราม
แม้ว่าในอารามจะมีคนคอยจัดหาเต้าหู้กับอาหารประเภทถั่วโดยเฉพาะ แต่ในทุกวันก็ต้องการเป็นจำนวนมาก อีกอย่าง… ราคาที่ยายหานขายนั้นต่ำกว่าเจ้าอื่นถึงสองส่วน จึงสามารถขายหมดได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งคนที่จัดหาวัตถุดิบยังบอกว่าหากนางขายราคานี้ตลอด ตราบใดที่ยังทำเต้าหู้กับของประเภทถั่ว ขอเพียงส่งมาขายที่อาราม พวกเขาจะรับซื้อทั้งหมด
ยายหานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก เป็นอย่างที่เสวี่ยเจียเยว่พูดจริงๆ ต่อไปนางก็ไม่ต้องไปนั่งตากลมตากแดดอยู่ริมทางเดินแล้ว และไม่ต้องลำบากตรากตรำไปขายตามเรือนของชาวบ้าน ขอเพียงทำเต้าหู้มาขายให้อารามก็พอแล้ว เมื่อก่อนในเดือนหนึ่งต้องทำเต้าหู้สามครั้ง และเข้าเมืองสามรอบ แต่ตอนนี้ในหนึ่งเดือนนางสามารถทำได้ห้าครั้งหรือมากกว่านั้น และคาดว่าคงขายหมดทุกครั้ง เมื่อคำนวณดูแล้วนางจะได้กำไรเท่าไรในหนึ่งเดือน…
เมื่อยายหานมีความสุข นางก็พาเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ไปกินอาหารกลางวันคือหมัวหมัวเฝิ่นทัง[22] คนละถ้วยที่เพิงริมทาง เมื่อกินเสร็จนางยังให้เงินพวกเขาคนละห้าอีแปะ
แม้ทั้งสองคนไม่ต้องการ แต่ยายหานยืนกรานอย่างหนักแน่น
“หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคน วันนี้ข้าคงต้องนำเต้าหู้กลับไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์แล้วกระมัง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะทำตามวิธีของพวกเจ้า คนที่หาซื้อวัตถุดิบในอารามจึงให้ข้าเอาเต้าหู้มาขายทุกเดือนและจะได้กำไรไม่รู้ตั้งเท่าไร ห้าอีแปะนี้ถือว่าข้าให้พวกเจ้าซื้อของกินเล่นก็แล้วกัน”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยขอบคุณยายหานและรับเงินมายายหานบอกว่าจะไปซื้อผ้าสีครามสักสองสามฉื่อ[23] เพื่อนำกลับไปตัดรองเท้า เสวี่ยเจียเยว่ก็อยากจะไปดูร้านขายของป่าของเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้น และอยากไปดูร้านขายตำราด้วย ไม่รู้ว่าตำราในยุคนี้ราคาเท่าไร หากซื้อให้เสวี่ย-หยวนจิ้งได้สักเล่มก็คงจะดีไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมไม่วางใจหากต้องปล่อยแม่นางน้อยไปคนเดียวจึงเดินไปด้วย หลังจากทำธุระเสร็จแล้วพวกเขาจะไปพบกับยายหานที่ซุ้มประตูเมือง
ระหว่างทางเสวี่ยหยวนจิ้งถามขึ้น “เหตุใดเจ้าต้องไปดูร้านขายของป่าร้านนั้นให้ได้ เจ้าอยากจะทำการค้าขายเหมือนเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นหรือ”
หากเป็นเมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเปิดเผยความคิดที่อยู่ในใจให้เสวี่ยหยวนจิ้งฟังอย่างแน่นอน ทว่าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ เธอก็เชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก จึงไม่มีทีท่าว่าจะปิดบังแต่อย่างใด
เธอตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว ท่านพี่ไม่อยากอยู่ในชนบทไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ ข้าเองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้ข้ายังคิดหาหนทางอื่นไม่ออก จึงอยากจะไปดูร้านขายของป่าแห่งนั้นก่อน หากต่อไปสามารถทำได้ ข้าก็จะทำการค้าขายแบบเดียวกับเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้น หาเงินด้วยตัวเองและใช้เงินตัวเอง หากไม่ถูกใครกดขี่อีก ชีวิตก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ”
เสวี่ยเจียเยว่อยากจะออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง หนีไปจากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา
เมื่อได้ฟังแม่นางน้อยพูดมาเช่นนั้น เด็กหนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากจะออกมาคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ใช้ชีวิตมีความสุขคนเดียว…
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยคำใด เพียงจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะถามว่าสายตาเช่นนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างกะทันหัน มองกิ่งหอมหมื่นลี้ที่ยื่นออกมานอกกำแพงเรือนข้างๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเนิบนาบ
“ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า ข้าก็จะหาเงินให้เจ้าใช้ ไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแกเจ้าอีก ข้าจะเป็นคนเลือกว่าที่สามีดีๆ ให้แก่เจ้า สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว มีลูกมีหลานคอยดูแล คงจะดีกว่าการที่เจ้าเป็นเหมือนเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้น ที่ทั้งชีวิตต้องอยู่คนเดียวไปจนตาย… ใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ทว่าแม้จะตกใจเพียงใด เธอก็อยากจะออกไปดูโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่ดี ไม่ใช่การแต่งงานกับใครสักคน แล้วใช้ชีวิตอยู่ในเรือนไปจนตาย ไม่แน่อาจต้องมองดูสามีของตนรับอนุเข้าเรือนก็เป็นได้
หลังจากผ่านไปไม่นาน เธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าต่อไปข้าจะเป็นอย่างไร และไม่ว่าต่อไปข้าจะไปอยู่ที่ไหน ข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านพี่เสมอ เรื่องนี้ข้าไม่มีวันลืมเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่า… ดูเหมือนคำพูดของเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่นางน้อยได้เลย อีกฝ่ายยังคงหนักแน่นในความคิดของตนเอง
เด็กหนุ่มมองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาลึกล้ำยากจะหยั่งถึงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ด้านหน้าก็คือร้านขายของป่า ไปกันเถอะ ข้าจะเดินเข้าไปกับเจ้า”
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพูดหรือคิดเช่นไร เด็กหนุ่มก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายไปจากเขาอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นน้องสาวของเขาแล้ว เขาต้องดูแลปกป้องแม่นางผู้นี้ไปตลอดชีวิต จะปล่อยให้ไปเดินอยู่บนเส้นทางที่คนทั้งใต้หล้าไม่เห็นด้วยได้อย่างไร จะไม่ลำบากไปทั้งชีวิตหรอกหรือ
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาราบเรียบ ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นด้วยกับคำพูดของตนแล้ว เธอจึงขานรับและเดินเข้าไปในร้านขายของป่าที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเด็กหนุ่ม
มีโต๊ะคิดเงินที่ทำมาจากไม้ ด้านข้างจัดวางของอย่างเห็ดหูหนูป่าตากแห้ง เมื่อเดินเข้าไปอีกก็มองเห็นของป่ามากมายวางกองอยู่หลังร้าน
เมื่อเถ้าแก่ที่กำลังยืนคิดเงินอยู่หลังโต๊ะเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็ชำเลืองมองครู่หนึ่ง หลังจากเห็นเสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวมแล้ว เขาไม่ได้ไปต้อนรับแต่อย่างใด เพียงเชิดคางให้ลูกจ้างที่กำลังใช้ไม้ขนไก่ปัดตู้อยู่ด้านข้าง
ลูกจ้างคนนั้นเข้าใจทันที เขาวางไม้ขนไก่ลง แล้วเดินไปเอ่ยถามเสวี่ย-หยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ “ท่านลูกค้าทั้งสองต้องการขายของป่าหรือว่าต้องการซื้อของป่าขอรับ”
ขณะเดียวกัน… สายตาของเขาก็มองพิจารณาคนทั้งสองตั้งแต่ศีรษะจดเท้าไปด้วย
แม้จะเห็นว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมนั้นเก่าและมีรอยปะชุน ดูก็รู้ว่าเป็นคนยากจน ทว่าเมื่อมองแววตาสดใสและเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปคู่นั้นของแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้า และรัศมีอันน่าเกรงขามบนตัวของเด็กหนุ่ม กลับรู้สึกว่าไม่เหมือนเด็กยากจนทั่วไป
ลูกจ้างในร้านอดลังเลใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าชาติกำเนิดของพวกเขาเป็นอย่างไร กระนั้นคนที่ทำการค้าขาย เมื่อพบเจอคนก็ต้องยิ้มแย้ม ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงมีรอยยิ้มกว้างตลอดเวลา
พอแม่นางน้อยหันมายิ้มให้ เขาก็รู้สึกราวกับเห็นดอกพุดตานกำลังผลิบานอย่างช้าๆ
“รบกวนพี่ชายท่านนี้แล้ว ข้ากับท่านพี่ของข้าขอเดินดูก่อนนะเจ้าคะ”
หลังจากลูกจ้างในร้านได้เห็นรอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่ ก็ถึงกับตะลึงงันไปในทันที สายตาของเขายังคงจับจ้องแม่นางน้อยตลอดเวลา
เขาไม่เคยเห็นใครยิ้มงดงามเช่นนี้มาก่อน…
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นชาที่มองมาจากด้านข้าง เขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จึงรีบเก็บสายตากลับมาทันที แล้วหันไปมองห่อเห็ดหอมแห้งที่เปิดอยู่บนชั้นวางของด้านข้าง
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เห็นอีกฝ่ายมองเสวี่ยเจียเยว่อีก ก็ถอนสายตากลับมา และอยู่ข้างๆ แม่นางน้อยพร้อมเดินดูของป่าในร้านไปเรื่อยๆ
ความจริงแล้วที่นี่ไม่มีอะไรสวยงามน่ามอง เหมือนกับของป่าทั่วไป เจ้าของร้านคงรับซื้อมาจากหมู่บ้านละแวกนี้ในราคาต่ำ จากนั้นก็แยกของดีกับของคุณภาพต่ำออกจากกัน แล้วค่อยส่งไปขายเมืองอื่น และรับกำไรส่วนต่าง หากอยากทำการค้าเช่นนี้ ประการแรกคือต้องมีเงินลงทุนก้อนใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่าในยามนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีเงินลงทุน ทั้งตัวมีเงินเพียงห้าอีแปะ ซึ่งเป็นเงินที่ยายหานเพิ่งให้มา…
รอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่พลันหายไป จากนั้นเธอก็เรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า แล้วเดินออกไปนอกร้านพร้อมกับอีกฝ่าย
หลังออกมาจากร้านขายของป่า เด็กหนุ่มคิดจะพาแม่นางน้อยไปดูที่อื่น แต่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเอ่ยถามเขาขึ้นมาก่อน
“ท่านพี่ มีร้านขายตำราในเมืองนี้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากไปดูเสียหน่อย”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นก็พลันหยุดชะงักทันที และหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย “เจ้าจะซื้อตำราหรือ”
เมื่อก่อนเอ้อร์ยาไม่มีความรู้ ข้อนี้อีกฝ่ายเองก็รู้ดี… หรือว่าตอนนี้แม่นางน้อยจะบอกความจริงว่าตนเองอ่านตำราออก ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่กังวลว่าเขาจะคิดมาก…
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ท่านยายหานให้เงินข้ามาห้าอีแปะ ข้าจึงอยากจะไปดูตำราเสียหน่อย หากเงินพอ ข้าอยากจะซื้อให้ท่านพี่สักเล่มสองเล่มเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งตะลึงงัน เป็นเวลานานกว่าเขาจะได้สติกลับมา และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ อบอุ่นยิ่งกว่าน้ำร้อนในฤดูหนาวเสียอีก
“ไม่เป็นไร” เขาปฏิเสธ “เงินที่ท่านยายหานให้ เจ้าก็เก็บไว้ใช้เถอะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเอามันมาซื้อตำราให้ข้า”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเขา “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาตามความจริงเถิด ท่านอยากเข้าสอบคัดเลือกขุนนางหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย
“ใช่” แม้เสียงจะแผ่วเบา ทว่ากลับแน่วแน่ยิ่งนัก
“ตอนนี้ก็ถูกต้องแล้ว” เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเช่นกัน “ในเมื่อท่านอยากสอบคัดเลือกขุนนาง เช่นนั้นตำราเพียงไม่กี่เล่มในตอนนี้มันจะไปพอได้อย่างไร อีกอย่าง… ข้าเห็นว่าตำราของท่านเก่ามากแล้ว ท่านพี่ ท่านอ่านตำราเหล่านั้นมาหลายรอบแล้ว คงจะท่องจำเนื้อหาในทุกเล่มได้หมดแล้วกระมัง เดือนสองในปีหน้าก็ต้องเข้าสอบระดับเซี่ยนชื่อแล้ว จากนั้นก็เป็นการสอบฝู่ชื่อ และย่วนชื่อ ท่านพี่ ท่านควรจะอ่านตำราเล่มอื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าสิ่งที่แม่นางน้อยพูดมานั้นไม่ผิด ตำราเหล่านั้นล้วนเป็นมารดาที่เก็บหอมรอมริบซื้อมาให้เขาตอนนางยังมีชีวิตอยู่ ทุกเล่มเขาอ่านมาแล้วหลายรอบ สามารถท่องจำเนื้อหาในนั้นได้อย่างลื่นไหลดุจสายน้ำ เขาเองก็อยากจะซื้อตำราสักสองสามเล่ม ทว่ามีเงินไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น… ซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูยังให้เขาหยุดเรียนกลางคันอีกด้วย…
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับ จึงเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านพี่ ข้าหวังว่าท่านจะสามารถสอบผ่านได้เป็นขุนนาง หากท่านสอบผ่านแล้ว ชีวิตในวันข้างหน้าของท่านก็จะดียิ่งขึ้น และชีวิตข้าในฐานะน้องสาวของท่านก็จะดีเช่นกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เธอรู้จักนิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้งดีว่าเขาเป็นคนไม่ยอมติดหนี้บุญคุณผู้ใด ทว่าตอนนี้เธอรบเร้าด้วยเหตุผล เหตุใดเขาจะไม่ยอมเห็นด้วยเล่า
เป็นจริงดังคาด เสวี่ยหยวนจิ้งมองเธออยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยสายตาแน่วแน่
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปร้านขายตำรากันเถอะ”
เป็นดั่งคำที่แม่นางน้อยเอ่ยมา หากเขาสอบผ่านการคัดเลือกกระทั่งได้รับตำแหน่งขุนนาง ไม่ใช่เพียงตัวเขาเองเท่านั้น ชีวิตของเสวี่ยเจียเยว่จะดีขึ้นเช่นกัน เขาจึงต้องพยายามให้ถึงที่สุด
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนัก จากนั้นเธอเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง และดึงเขามุ่งไปด้านหน้า
ในภพที่จากมา ตอนที่เธออาศัยอยู่ในบ้านของตากับยาย ข้างบ้านก็มีพี่ชายน้องสาวคู่หนึ่ง พี่น้องคู่นั้นรักใคร่กลมเกลียว ในทุกวันตอนเช้าตรู่ พี่ชายที่เรียนชั้นมัธยมจะออกจากบ้านพร้อมกับน้องสาวที่เรียนชั้นประถม เสวี่ย-เจียเยว่มักจะเห็นน้องสาวคนนั้นกอดแขนพี่ชาย แล้วพี่น้องก็เดินไปตามทางพร้อมทั้งพูดคุยอย่างมีความสุขไปด้วย และในตอนนี้เธอก็มีพี่ชายเช่นนั้นอยู่หนึ่งคนเหมือนกัน
ในยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้ามองมือที่กอดแขนของตนเอาไว้ มุมปากของเขายกยิ้มอย่างอดไม่ได้
เด็กหนุ่มมีความสุขที่ได้เห็นเสวี่ยเจียเยว่เชื่อใจเขา และพึ่งพาอาศัยเขาเช่นนี้
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงร้านขายตำรา เมื่อเข้าไปในร้าน พวกเขาพบตำราวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าเมื่อถามถึงราคาแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าตำราใหม่เหล่านั้นแพงมาก เงินของพวกเขารวมกันสิบอีแปะยังไม่พอซื้อหนึ่งเล่ม จะซื้อได้ก็แค่กระดาษไม่กี่แผ่นเท่านั้น
ในขณะที่เธอกำลังท้อแท้ใจ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าชั้นตำราเก่า เด็กหนุ่มคงรู้ตั้งนานแล้วว่าเงินของพวกเขาไม่สามารถซื้อตำราใหม่ได้ แต่เขายังยอมเข้ามาในร้าน ถ้าอย่างนั้นเงินสิบอีแปะนี้ก็ย่อมซื้อตำราเก่าได้สักหนึ่งเล่ม
ไม่รู้เพราะเหตุใดเสวี่ยเจียเยว่ถึงได้รู้สึกเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งดูเหมือนจะเลือกตำราได้หนึ่งเล่มแล้ว เมื่อเสวี่ย-เจียเยว่มองอย่างละเอียด ก็พบว่าตำราเล่มนั้นคือ จั่วจ้วน[24] และเมื่อมองไปที่หน้าปก ก็พบว่าค่อนข้างเก่าและชำรุดอยู่ไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งถือตำราเล่มนั้นเดินออกไป และถามเถ้าแก่ว่าขายราคาเท่าไร
ในมือเถ้าแก่ถือพู่กันเขียนบัญชีอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาดู ก่อนจะเอ่ยตอบ “สิบสองอีแปะ”
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่ายังพอมีโอกาส เมื่อซื้อของก็ย่อมมีการต่อรองราคา ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นผู้ชำนาญในเรื่องนี้อีกด้วย ในภพที่จากมา เมื่อเพื่อนในหอพักจะออกไปซื้อเสื้อผ้า ก็ต้องลากเธอไปด้วยทุกครั้ง เพราะอยากให้เธอช่วยต่อราคาให้
เวลานี้เธอจึงให้เหตุผลแก่เถ้าแก่ “นี่เป็นตำราที่หาซื้อได้ในท้องตลาด ไม่ได้เหลืออยู่เพียงเล่มเดียว และไม่ใช่ต้นฉบับที่ล้ำค่าอะไร เป็นเพียงสำเนาที่ถูกคัดลอกออกมาเท่านั้น ทั้งหน้าปกยังเก่าเสียขนาดนั้น คนทั่วไปย่อมไม่มีทางซื้อมันอย่างแน่นอน วางเอาไว้ให้ฝุ่นเกาะอยู่ที่นี่โดยเปล่าประโยชน์ มิสู้ขายมันให้แก่พวกเราจะดีกว่า”
จากนั้นเธอก็เอ่ยเสียงหวานอีกสองสามประโยค ในที่สุดเถ้าแก่ก็โบกมือไปมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ
“ได้ๆ สิบอีแปะ ตำราเล่มนี้ พวกเจ้าก็เอาไปเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่ดีใจเป็นอย่างมาก รีบหยิบเงินสิบอีแปะที่ยายหานให้ก่อนหน้านี้ออกมา ซึ่งเงินห้าอีแปะของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น เขามอบให้เธอเก็บเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากยื่นเงินให้เถ้าแก่แล้ว เธอยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “เถ้าแก่เช่นท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ ต่อไปกิจการร้านตำราของท่านจะต้องขายดิบขายดีอย่างแน่นอน เรื่องเงินทองไหลมาเทมานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
เมื่อเถ้าแก่ได้รับคำอวยพรดีๆ เช่นนี้ เขาก็ยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ และเมื่อเขามีความสุข ก็มอบตำราหานเฟยจื่อ[25] ที่ทั้งเก่าและขาดให้พวกเขาอีกเล่มหนึ่งด้วย
เป็นดั่งคำที่ลูกค้าเอ่ยมา ตำราเก่าๆ เช่นนี้ อยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเป็นที่ให้ฝุ่นเกาะเปล่าๆ ไม่มีใครซื้อมันอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่สู้เป็นคนมีน้ำใจไปเสียเลยจะดีกว่า ถึงอย่างไรเขาก็มีความสุขเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่นางน้อยผู้นี้
เสวี่ยเจียเยว่รับตำราเล่มนั้นมาด้วยสองมือ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ด้วยรอยยิ้ม
แม้จะออกมาจากร้านขายตำราแล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ยังไม่หายไป
ตอนที่ได้รู้ราคาตำราใหม่ ในใจของเธอรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเงินสิบอีแปะจะสามารถซื้อตำราได้ถึงสองเล่ม แม้ว่ามันจะเก่าและชำรุดไปมาก ด้านหลังปกตัวหนังสือหายไปแล้ว ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้ดี สำหรับคนที่ชอบอ่าน ต่อให้เป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ขาดและไม่สมบูรณ์ ขอเพียงมีตัวหนังสือก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขา
เมื่อสังเกตเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจับจ้องมา เธอก็หันไปหาเขาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่มองข้าเช่นนี้ทำไมเจ้าคะ”
[22] คือ ซุปเสฉวน
[23] ฉื่อ คือหน่วยวัดในยุคจีนโบราณ โดยที่ 1 ฉื่อ เท่ากับ 3.34 เซนติเมตร
[24] จั่วจ้วน เป็นบันทึกประวัติศาสตร์จีนสมัยชุนชิวจ้านกว๋อ
[25] หานเฟยจื่อ คือหนังสือที่เสนอหลักการใช้กฎหมายปกครองบ้านเมือง