ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 42 ช่วงเวลาที่แสนอบอุ่น
สี่สิบสอง
ช่วงเวลาที่แสนอบอุ่น
ในแววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับมีรอยยิ้มเปล่งประกาย เมื่อกล่าวออกมาน้ำเสียงของเขาก็ดูอ่อนโยนกว่าปกติ ซึ่งหาได้ยากนัก
“ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นคนพูดเก่ง แต่วันนี้เจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง”
ไม่ใช่เพียงตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ต่อราคากับเถ้าแก่ร้านขายตำราเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการคำนวณราคา และบอกยายหานว่าจะจัดการกับเต้าหู้ที่เหลือได้อย่างไรด้วยท่าทางจริงจังและนิ่งสงบ วันนี้อีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับแม่นางน้อยอีกบ้าง
ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา
เมื่อมีคนเอ่ยชม เธอย่อมมีความสุขไม่น้อย จึงเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง พร้อมกับเอียงศีรษะและมองเขาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นี่จะนับว่าเก่งกาจอะไรกันเจ้าคะ ชีวิตในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล
ท่านพี่จะได้เห็นด้านที่เก่งกาจของข้ายิ่งกว่านี้อีกแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าประโยคที่ว่า ‘ชีวิตในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล’ ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งพอใจไม่ใช่น้อย ชั่วขณะนั้นรอยยิ้มในแววตาของเขายิ่งเปล่งประกายมากขึ้น
ในเมื่อธุระที่ต้องทำก็ล้วนทำเสร็จแล้ว ทั้งสองคนจึงตั้งใจจะเดินไปยังจุดนัดพบกับยายหาน ระหว่างทางพวกเขาได้เดินผ่านสำนักหยาเหมิน26
แม้ว่าที่นี่จะเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ทว่ามีสำนักหยาเหมินเช่นเดียวกัน ว่ากันว่ามีการส่งเจ้าหน้าที่มาประจำการเพื่อดูแลหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง
เมื่อถึงหน้าประตูทางเข้าสำนักหยาเหมิน เสวี่ยหยวนจิ้งก็หยุดกะทันหัน จากนั้นเขาบอกเสวี่ยเจียเยว่เหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่ก็
ไม่เชิง
“แผ่นดินในใต้หล้านี้ ไม่มีที่ใดไม่ใช่ของฮ่องเต้ ผู้ที่เชิญมาเป็นผู้นำท้องที่ต่างๆ ไม่มีผู้ใดไม่ใช่ขุนนางของพระองค์ พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านล้วนมีทะเบียนสำมะโนครัวกันทั้งนั้น หากผู้ใดคิดหนีออกมาโดยไม่มีทะเบียน-สำมะโนครัว คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ให้พักพิง และเป็นคนจรจัดหรือหัวขโมยในสายตาคนอื่น หากถูกราชสำนักจับได้ โทษสถานหนักคือประหาร โทษสถานเบาคือถูกเนรเทศ”
เขากล่าวจบก็เหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาล้ำลึก
เสวี่ยเจียเยว่เพียงบ่นในใจ เดิมทีเธอคิดจะหาโอกาสหนีไปเงียบๆ ทว่าตอนนี้กลับเป็นไปไม่ได้แล้ว
เธอไม่สามารถซ่อนตัวไปตลอดชีวิตได้ ไม่สามารถมีชีวิตที่ไม่ได้พบกับแสงสว่างได้ ไหนจะต้องคอยกังวลว่าจะถูกจับทั้งวันทั้งคืนหรือไม่
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “ถ้าคนคนหนึ่งอยากไปในที่ห่างไกลจะทำอย่างไร พกทะเบียนสำมะโนครัวติดตัวตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ”
ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม หากไปสถานที่อื่นแล้ว เพียงสร้างทะเบียน-สำมะโนครัวอีกฉบับ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรกระมัง
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หากอยากไปที่ไกลๆ ก็ต้องมีหลักฐานการออกนอกหมู่บ้าน ซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไม่อย่างนั้น แม้เจ้าจะอยากเข้าพักโรงเตี๊ยม เขาก็คงไม่กล้ารับเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านขึ้นมาได้ ตอนที่ซางยางปฏิรูประบบการเมืองในแคว้นฉิน แต่สุดท้ายก็ถูกต่อต้านโดยผู้มีอำนาจ เขาหลบหนีไป ระหว่างที่เร่งรีบหนีไปจากเมืองเสียนหยาง ตอนนั้นเขาอยากหาที่พักค้างคืน แต่ชาวนากลับไม่กล้าให้เขาอยู่ค้างที่บ้าน เพราะเขาไม่มีหลักฐานการออกนอกเมือง เวลาต่อมาเขาถูกทหารแคว้นฉินจับตัวไป สุดท้ายก็ถูกประหารด้วยทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง
เธอเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้ง พบว่าสีหน้าของเขายังคงราบเรียบ แต่ราวกับว่าเขามีแผนการอะไรในใจอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นเธอก็เข้าใจ…
เมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มคงเข้าใจว่าเธอต้องการหาทางหนีไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง และกังวลว่าจะหนีไปคนเดียว เขาจึงใช้คำพูดร้ายแรงเช่นนี้มาหยุดยั้งเธอ
เขาช่างพยายามจริงๆ
หลังจากคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าตนควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ การสอบคัดเลือกขุนนางนั้นจำเป็นต้องใช้ทะเบียนสำมะโนครัวหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่นางน้อยถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าเขาก็ตอบคำถาม “ใช่”
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน
มิน่าล่ะ เธอคิดอยู่ตั้งหลายครั้งหลายครา เสวี่ยหยวนจิ้งอายุสิบสี่ปี เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มแล้ว ไม่เหมือนกับเธอที่อยู่ในร่างเด็กอายุแปดขวบ เป็นเพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่ง หากเขาอยากหนีออกจากเรือน จะไปเมื่อไรก็ย่อมได้ เหตุใดยังต้องทนแบกรับอารมณ์โมโหของซุนซิ่งฮวาทุกวัน
เมื่อเข้าใจแล้ว เธอก็อยากจะสบถออกมาดังๆ มารดามันเถอะ เพื่อนร่วมห้องของเธอชอบเขียนนิยายแนวจินตนาการเหนือจริงไม่ใช่หรือ เหตุใดโลกเหนือความเป็นจริงถึงได้มีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนี้
เธออดท้อแท้ใจไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้าลง รู้สึกห่อเหี่ยวจนใบหน้ากลมๆ เล็กๆ แทบจะเป็นผลมะระอยู่แล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของเสวี่ยเจียเยว่ก็อดหัวเราะเบาๆ มิได้ จากนั้นเขาเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วางใจเถอะ พวกเราจะไม่อยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิตแน่นอน ข้าจะพาเจ้าออกมาให้ได้”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดมานั้นเป็นความจริง เพราะในอนาคตเขาจะได้เป็นขุนนาง จะอยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงไปตลอดชีวิตได้อย่างไร อีกอย่าง… ตามที่เขาพูด นั่นหมายความว่าเธออย่าได้คิดหนีไปคนเดียว ทำได้เพียงอยู่ข้างกายเขาอย่างว่าง่ายเท่านั้น
กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง ก่อนจะเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปด้วยความอึดอัดใจและไม่มีความสุข
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงซุ้มประตูเมือง ก็พบว่ายายหานกำลังจับเชือกลากล่อรอพวกเขาแล้ว
พอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ ยายหานรีบเรียกพวกเขาทันที จากนั้นก็เอ่ยถามว่าไปทำอะไรสองสามประโยค ก่อนจะบอกให้ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถลากล่อแล้วตามขึ้นไป เมื่อเชือกในมือนางถูกยกขึ้น เท้าทั้งสี่ของล่อตัวนั้นก็ห้อตะบึงไปเบื้องหน้า
ระหว่างทางยายหานบอกให้เสวี่ยเจียเยว่ดูของที่นางซื้อมา มีผ้าหยาบสำหรับทำรองเท้าสามฉื่อ ทั้งยังมีผ้าสีครามอีกหนึ่งพับ นางจะนำไปทำรองเท้าผ้าหนึ่งคู่ และตัดชุดอีกหนึ่งชุด
แม้ว่ายามนี้เสวี่ยเจียเยว่จะดูไม่มีความสุขเท่าไรนัก แต่เธอก็พยายามพูดกับยายหานด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยหยวนจิ้งกระหยิ่มยิ้มย่อง มองใบหน้าของแม่นางน้อยอยู่ด้านข้าง เข้าใจสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมีท่าทางท้อแท้เช่นนี้ แต่ก็ไร้หนทางอื่น ความจริงแล้วเขาอยากบอกเรื่องนี้แก่เสวี่ยเจียเยว่มาตลอด และตอนนี้ก็สามารถทำลายความคิดอยากหนีไปคนเดียวของอีกฝ่ายได้ในที่สุด
ส่วนอนาคตนั้น เขาหันไปมองต้นไม้ที่เรียงรายไร้จุดสิ้นสุดใต้ขอบฟ้า ห่านป่าโบยบินเป็นฝูง พลางคิดในใจว่าเขาจะทำให้ชีวิตของตัวเองกับเสวี่ย-เจียเยว่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ระยะทางระหว่างเมืองเล็กๆ กับหมู่บ้านซิ่วเฟิงนั้นไกลพอสมควร การนั่งอยู่บนรถลากล่อเป็นเวลานานทำให้รู้สึกเมื่อยอยู่บ้าง ดังนั้นยายหานจึงหยุดพักระหว่างทาง
เวลาบ่ายแก่ๆ พระอาทิตย์เหมือนไข่แดงลอยเคว้งอยู่บนท้องฟ้า แสงแดดที่สาดส่องลงมาไม่เรียกว่าอบอุ่น แต่ร้อนเสียมากกว่า เสวี่ยเจียเยว่กับยายหานไปหาที่หลบแดด ทั้งสองสนทนากันเจื้อยแจ้ว ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปรอบๆ บริเวณนั้น ไม่นานแผ่นหลังของเขาก็หายลับไปหลังแนวต้นไม้ เป็นเวลานานยังไม่เห็นเขากลับมา
เสวี่ยเจียเยว่ร้อนใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่จะตะโกนเรียกเขานั้น จู่ๆ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากพุ่มไม้ อีกทั้งยังหิ้วกระต่ายตัวอ้วนกลับมาด้วย
เมื่อยายหานเห็นเขาหิ้วกระต่ายมาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าไปเอากระต่ายมาจากไหน”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบ “เมื่อครู่นี้ข้าเดินไปหาผลไม้ป่า จู่ๆ ก็เห็นกระต่ายตัวนี้กำลังบ้าคลั่ง วิ่งเข้าชนต้นไม้อย่างจัง หัวของมันกระแทกและตายในทันที ข้าจึงเก็บมันกลับมาด้วยขอรับ”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘ท่านพี่ ท่านเอ่ยคำโป้ปดได้หน้าตาเฉยขนาดนี้เชียวหรือ ก็เห็นอยู่ว่าหัวของกระต่ายตัวนั้นยังอยู่ดี แทบไม่มีบาดแผลกระแทกต้นไม้เลยสักนิด ท่านกำลังรังแกท่านยายหานที่ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้จักสำนวนที่ว่าเฝ้าโคนไม้รอกระต่าย27 อยู่กระมัง’
ทว่ายายหานกลับไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย นางแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งสามารถใช้วรยุทธ์ได้ การจับกระต่ายเพียงตัวเดียวนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าการพลิกมือ นางคงนึกเพียงว่ากระต่ายมันวิ่งเร็ว คนธรรมดาจะไปวิ่งไล่ตามทันได้อย่างไร
ยายหานอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ แล้วหันไปเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากระต่ายตัวนี้ช่างโง่เง่าจริงๆ มีตากลมโตอยู่สองข้างแท้ๆ แม้แต่ต้นไม้ตรงหน้าก็มองไม่เห็น ซ้ำยังเอาหัวไปกระแทกกับมันอีก ตายก็ยังตายแบบโง่ๆ”
เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเอ่ยคล้อยตามอย่างกระอักกระอ่วน “ใช่เจ้าค่ะ ช่างตายแบบโง่ๆ จริงๆ”
เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังราบเรียบเช่นเดิม ราวกับว่ากระต่ายตัวนั้นควบคุมตัวเองไม่ได้จนพุ่งเข้าชนต้นไม้จริงๆ ทำให้เขาโชคดีเก็บมาได้อย่างไรอย่างนั้น
กระทั่งเด็กหนุ่มหันกลับมามองเธอด้วยสายตานิ่งสงบ มุมปากของเสวี่ยเจียเยว่ก็กระตุก ก่อนจะก้มหน้ามองต้นหญ้าแห้งสีเหลืองข้างทางโดยไม่พูดไม่จา
เธอรู้สึกเลื่อมใสเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนควรจะเอ่ยอะไร
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้น “ท่านยายหาน กระต่ายตัวนี้ข้าให้ท่านขอรับ”
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเด็กหนุ่มกำลังยื่นกระต่ายให้ยายหาน ทว่าสตรีสูงวัยย่อมไม่มีทางรับไปอย่างแน่นอน นางรีบโบกมือปฏิเสธ
“จะรับได้อย่างไร กระต่ายตัวนี้เจ้าเก็บได้ เจ้าก็ควรนำกลับไปให้พ่อแม่ของเจ้า ให้พวกเขาย่างเนื้อกระต่ายให้เจ้ากับเอ้อร์ยากิน จะให้ข้าได้อย่างไร ข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ”
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงยืนกราน “แม้ว่าข้าจะนำกลับไป เนื้อกระต่ายย่างของพวกเขา ข้ากับเอ้อร์ยาก็คงไม่ได้กินสักชิ้น อีกอย่าง… วันนี้เข้ามาในเมือง ท่านยายหานเลี้ยงหมัวหมัวเฝิ่นทังข้ากับเอ้อร์ยา ทั้งยังให้เงินพวกข้าสองคนอีก กระต่ายตัวนี้ควรจะมอบให้ท่านเสียมากกว่า”
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจ เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ชอบการติดหนี้บุญคุณใครจริงๆ ยายหานเลี้ยงอาหารเขา ทั้งยังให้เงินเขาอีกห้าอีแปะ เขาจดจำไว้ในหัวใจตลอดเวลา กระต่ายตัวนี้เขาคงจับมาให้ยายหานโดยเฉพาะกระมัง
เธอเอ่ยขึ้นบ้าง “ท่านยายหาน ในเมื่อท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ กระต่ายตัวนี้ท่านก็รับไว้เถอะเจ้าค่ะ”
แม้ว่าหมู่บ้านซิ่วเฟิงมีภูเขาล้อมรอบ ทว่าการจะมีกระต่ายวิ่งมาสักตัวนั้นเป็นเรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จับมันได้ ยายหานอายุมากแล้ว จะวิ่งทันมันได้อย่างไร นางจึงได้กินเนื้อกระต่ายน้อยครั้ง เมื่อเห็นกระต่ายตัวอ้วนพีอยู่ตรงหน้า ใจจริงนั้นนางก็อยากจะรับไว้ ทว่าเกรงใจไม่น้อย เพราะแม้นางจะเลี้ยงอาหารพวกเขาและให้เงินคนละห้าอีแปะ แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ทั้งสองคนก็ช่วยเหลือนางไว้มาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางทำเต้าหู้ในครั้งหน้า ก็ไม่ต้องกังวลใจแล้วว่าจะนำไปวางทิ้งไว้ในเรือนอีกหรือไม่
เมื่อคิดเช่นนี้ ยายหานจึงเอ่ยออกมา “กระต่ายตัวนี้ข้ารับไว้ก็ได้ แต่มีข้อแม้ พวกเจ้าต้องอยู่กินข้าวเย็นกับข้า”
จากนั้นนางก็รับกระต่ายตัวนั้นมา โดยไม่รอให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ย-เจียเยว่เอ่ยอะไร แล้วพูดขึ้นอีก “ข้ารู้ว่าพ่อแม่ของพวกเจ้าเป็นคนแบบไหน พอพวกเจ้ากลับไป พวกเขาจะให้กินอะไร มิสู้ใช้โอกาสนี้กินข้าวเย็นที่เรือนข้าแล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นก็บอกไปตรงๆ ว่าข้าบังคับพวกเจ้าอยู่กินข้าวด้วย พวกเขาจะไม่ว่าอะไรแน่นอน”
เสวี่ยหยวนจิ้งลังเล ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับตัดสินใจตอบตกลง
“ได้เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้ากับท่านพี่ก็ไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่าน กินข้าวเย็นที่เรือนท่านให้เสร็จก่อนค่อยกลับเรือน”
ยายหานพูดถูก กินให้อิ่มดีกว่ากลับไปอดที่เรือน อีกทั้งช่วงนี้ร่างกายของเสวี่ยหยวนจิ้งสูงเร็วยิ่งนัก เมื่ออยู่ในวัยที่กำลังโต เขาจะไม่สามารถอดทนต่อความหิวได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มไม่เห็นด้วย เสวี่ยเจียเยว่ก็ยื่นมือไปกอดแขนเขาแล้วเขย่าเบาๆ จากนั้นเงยหน้าเอ่ยถาม
“ท่านพี่ ข้าอยากไปกินข้าวเย็นที่เรือนของท่านยายหาน ท่านไปกับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อไว้หน้าเขา และการที่อีกฝ่ายจะทำท่าทางน่ารักเช่นนี้ต่อหน้าเขาเป็นเรื่องที่ไม่ได้พบบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงใจอ่อนทันที มีเหตุผลอันใดที่จะไม่เห็นด้วยเล่า ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ และตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อือ”
ยายหานที่มองอยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองพี่น้องช่างรักใคร่กลมเกลียวกันจริงๆ เป็นเช่นนี้ก็ดี แต่ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะหลานจิ้ง พ่อของเจ้ามันคนไม่เอาไหน และแม่เลี้ยงของเจ้าก็ไม่เอาไหนยิ่งกว่า ไม่ว่านางจะทำอย่างไรกับเจ้า ถึงอย่างไรเอ้อร์ยาก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของนาง แต่เจ้าก็เห็นว่านางทำเช่นไรกับเอ้อร์ยาใช่หรือไม่ อย่างกับว่าเป็นศัตรูคู่แค้นอย่างไรอย่างนั้น ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า ตอนที่เอ้อร์ยาเกิดนั้น เมื่อก่อนแม่สามีของนางรังเกียจนางที่ให้กำเนิดลูกสาว จึงด่านางอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งได้ยินมาว่าหน้าตาของเอ้อร์ยาเหมือนกับแม่สามีอยู่หลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นางจะเอาความโกรธมาลงกับลูกสาวที่เกิดมาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ไม่ได้
“อีกอย่าง… แม่สามีของนางก็ตายไปหลายปีแล้ว ไม่แน่ตอนนี้อาจจะกลับมาเกิดใหม่แล้วก็เป็นได้ แต่นางยังไม่วางความเกลียดชังลง ด่าเอ้อร์ยาทั้งวัน ยายแก่อย่างข้าอยู่มาจนผมหงอกเต็มหัว ก็เพิ่งเคยเห็นแม่เช่นนี้เป็น
ครั้งแรก”
เมื่อกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย นางก็มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเห็นใจ แอบถอนหายใจให้แก่ชีวิตรันทดของเสวี่ยหยวนจิ้งกับน้องสาว
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เธออยากยิ้มแต่ก็ทำได้เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างเต็มที่ไม่ได้ หางตาของเธอร้อนผ่าวราวกับว่าน้ำตาจะไหลพรากออกมา
เสวี่ยหยวนจิ้งจับศีรษะเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ให้เอนมาพิงไหล่ของเขา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งชัดเจนและมั่นคง
“ลมมันแรง เจ้าหลบอยู่ข้างๆ ข้านี่แหละ”
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจว่าที่เขาทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของเธอ เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ก่อนจะรีบจัดการความรู้สึกเจ็บปวดของตนอย่างรวดเร็ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของเธอก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านยายหาน ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ พวกเรารีบกลับไปทำเนื้อกระต่ายเป็นอาหารกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
ยายหานตอบรับด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ จากนั้นทั้งสามคนก็ขึ้นไปบนรถลากล่อและเดินทางต่อ
เมื่อมาถึงเรือน ยายหานก็รีบไปจัดการกระต่ายตัวที่เสวี่ยหยวนจิ้งนำมาให้ในทันที จากนั้นก็ทำเนื้อกระต่ายทอดจานใหญ่ เต้าหู้กับฟองเต้าหู้ที่ทำเมื่อวานนางเหลือเอาไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้นำไปขายทั้งหมด จึงทำผัดเต้าหู้ใส่หอมซอยหนึ่งจาน ทั้งยังมีผัดฟองเต้าหู้ใส่พริกหยวกหนึ่งจาน และข้าวร้อนๆ อีกหนึ่งหม้อ
เนื้อกระต่ายจะใช้ซีอิ๊วขาวหมักก่อนสักพัก จากนั้นก็ใส่น้ำมันไช่จื่อลงไปในกระทะ ตั้งไฟรอให้ร้อน ขณะเดียวกันก็ใส่ขิงป่าที่ฝานเป็นแว่นลงไป พร้อมกับใส่กระเทียมลงไปด้วย แม้ว่ายุคนี้จะยังไม่มีพริกแดง แต่ก็ใส่พริกไทยเขียวลงไปค่อนข้างเยอะ และก่อนจะนำกระทะขึ้นจากเตา ก็โรยต้นหอมลงไปด้วยหนึ่งกำ เมื่อได้มองก็ทำให้อยากอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่กินข้าวถึงสองถ้วย เมื่อกินเสร็จเธอก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อย จึงอยากช่วยยายหานล้างถ้วยชามให้ได้ ทว่ากลับถูกเจ้าของเรือนแย่งถ้วยชามและตะเกียบไปจากมือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“จะให้เจ้าล้างถ้วยได้อย่างไรกัน อีกอย่าง… เนื้อกระต่ายทอดจานนี้ก็ใช้เพียงครึ่งเดียว ข้ายังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง คิดว่าจะเก็บไว้กินวันหลัง เจ้ากับพี่ชายไม่ต้องรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบข้า แต่เป็นยายแก่อย่างข้าต่างหากล่ะที่เอาเปรียบพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าที่มีแต่เต้าหู้ จะไปเอาเนื้อกระต่ายจากไหนมากิน”
เมื่อนางกล่าวจบ ทุกคนก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานครู่หนึ่ง เมื่อนั่งได้พักใหญ่ เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งจึงขอตัวลา ยายหานไปส่งพวกเขาที่หน้าประตูลานเรือน เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินจากไปไกลแล้วจึงปิดประตู ก่อนจะกลับเข้าเรือนมาจัดเก็บข้าวของต่างๆ และเตรียมเข้านอน
ชาวไร่ชาวนาจะเข้านอนเร็ว โดยทั่วไปพอฟ้ามืดก็เข้านอนทันที อีกทั้งวันนี้พวกเขากลับมาถึงเรือนค่อนข้างเย็นแล้ว จากนั้นยายหานทำอาหารอยู่พักใหญ่ ด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาได้กินข้าวเย็นนั้นจึงเป็นเวลาจุดตะเกียงแล้ว หลังจากพวกเขากินเสร็จ ก็นั่งพูดคุยกันครู่หนึ่ง ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งออกมาจากเรือน จึงพบว่าในหมู่บ้านเงียบสงัด แม้แต่แสงตะเกียงก็ไม่มี
แต่โชคดีที่มีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางม่านรัตติกาล แสงสีเงินสาดส่องลงมา ทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านได้ชัดเจน
ทางเดินในหมู่บ้านล้วนเป็นดิน มีหลายจุดที่ถูกเหยียบย่ำจนเป็นหลุมเป็นบ่อ การก้าวเดินของเสวี่ยเจียเยว่จึงค่อนข้างลำบาก อีกทั้งยังต้องเพ่งสายตามองทางเดิน ไม่อย่างนั้นหากตกหลุมเข้าจะเท้าแพลงเอาได้
ในขณะที่เธอกำลังดูทางอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าแขนขวาของตนถูกจับเอาไว้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ และพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังหันมามองเธอ
“ข้าจูงเจ้าเดินเอง” เสียงที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นมีความอบอุ่นและเอ็นดูอยู่หลายส่วน เหมือนกับแสงของพระจันทร์ที่สามารถส่องทะลุเข้าไปในหัวใจของผู้คนได้ “เพื่อไม่ให้เจ้าเท้าแพลงเหมือนคราวที่แล้ว”
เขาช่างเป็นคนปากแข็งเหมือนปากเป็ดจริงๆ… เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ทำดีกับเธอทุกครั้ง ทว่ากลับพูดอีกอย่าง มักจะมีเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเสมอ
เธอยิ้มและพยักหน้า “เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นท่านจูงมือข้าเดินก็แล้วกัน”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบเบาๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
ทั้งสองจูงมือกันเดินไปข้างหน้า ต้นไม้สองข้างทางที่มักจะพบได้บ่อยคือต้นจูหวย28 กับต้นอวี๋29 แต่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ใบไม้จึงร่วงหล่นไปหมดสิ้น
แสงจันทร์สาดส่องกระทบกิ่งก้านไร้ใบเหล่านั้น ทำให้เกิดเงาพาดผ่านบนพื้นดิน ยามที่ลมพัดผ่าน เงาของกิ่งไม้เหล่านั้นก็จะวูบไหวไปมา
เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองเงาเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็พูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปด้วย
ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาปิดปากเธอเอาไว้ ก่อนจะถูกลากเข้าไปหลบหลังต้นจูหวยอย่างรวดเร็ว!
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจเป็นอย่างมาก เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมา พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นจดปากเป็นเชิงบอกว่าอย่าส่งเสียง
เธอเข้าใจความหมายที่เขาอยากจะสื่อจึงพยักหน้า เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ปล่อยมือที่ปิดปากเธอออก
เด็กหนุ่มมิได้เอ่ยอธิบายเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางทำอะไรโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
หรือเป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าบริเวณนี้มีคนอยู่ และไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นพวกเขา จึงได้เอามือมาปิดปากแล้วลากเธอเข้ามาหลบอยู่หลังต้นไม้นี้ ทว่าด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลนั้นคือเรือนของพวกเขา และเธอกับเขาก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในหมู่บ้านนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่จึงสอดส่ายสายตาไปรอบด้าน
ด้านหน้าคือเรือนของพวกเขา ข้างกันเป็นเรือนแม่ม่ายจ้าว แม้ว่าลานของทั้งสองเรือนจะมีกำแพงดินกั้นกลาง แต่มันจะมีความสูงเท่าไรกันเชียว และตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นเงาตะคุ่มๆ กำลังปีนข้ามกำแพงเตี้ยๆ ของเรือนแม่ม่ายจ้าว
แสงจันทร์สว่างไสว อีกทั้งพวกเขาไม่ได้อยู่ไกลจากเรือนของแม่ม่ายจ้าวเท่าไรนัก เสวี่ยเจียเยว่มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือหัวหน้าหมู่บ้าน ขณะเดียวกันก็เป็นประมุขของครอบครัว…
ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านปีนกำแพงเรือนของแม่ม่ายจ้าวยามค่ำคืนเช่นนี้เพื่ออะไร
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสงสัย แต่ไม่นานความสงสัยนี้ก็พลันหายไป เมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยได้ยินสตรีในหมู่บ้านนินทาแม่ม่ายจ้าว และคำด่าของซุนซิ่งฮวาเมื่อวานนี้ เธอก็เข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ช่างเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ
เสวี่ยเจียเยว่คิดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยามค่ำคืนเห็นหัวหน้าหมู่บ้านแอบปีนเข้าเรือนคนอื่นทั้งที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่นี้เสวี่ยหยวนจิ้งหูตาว่องไวลากตัวเธอเข้ามาหลบหลังต้นไม้นี้ ไม่แน่เธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นความอึดอัดยังนับว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องใหญ่คือเขาจะปล่อยเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปง่ายๆ หรือ
ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงแห่งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านเท่ากับการดำรงอยู่ของสวรรค์ สามารถควบคุมท้องฟ้าได้ด้วยมือเดียว หากล่วงเกินเขา ก็คงมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไรนัก
เสวี่ยเจียเยว่คิดเรื่องนี้ในใจจนยุ่งเหยิง ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออันอบอุ่น เธอก้มหน้าลงมอง พบว่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังกุมมือเธออยู่
“ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พวกเรากลับเรือนกันเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่มองไปยังเรือนของแม่ม่ายจ้าว ก็พบว่าบนกำแพงนั้นไม่มีใครแล้ว มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้น หัวหน้าหมู่บ้านคงจะปีนเข้าไปในลานแล้วกระมัง
เธอตอบรับเสียงแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินต่อไป
แต่เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปผลักประตูลานเรือน ก็รู้ได้ว่าด้านในมีไม้ขัดเอาไว้ ทำให้ผลักเข้าไปไม่ได้ และในเรือนก็มืดตึ๊ดตื๋อ ไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงเลย