ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 46 เส้นทางอนาคต
สี่สิบหก
เส้นทางอนาคต
ร่างกายของเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหย่งฝูไม่เพียงมีขนาดแตกต่างกันเท่านั้น แต่เรี่ยวแรงยังต่างกันราวฟ้ากับเหว ฉะนั้นไม่ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพยายามดิ้นรนขัดขืนเพียงใด ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกรงเล็บปีศาจของเขาได้
ความเสียใจ ความเดือดดาล และความหวาดกลัวปะทุอยู่ในอก เธอร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง โดยไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความสิ้นหวัง เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าใครบางคนกำลังตบหน้าเธอเบาๆ ด้วยความกระวนกระวาย พร้อมกับเสียงร้องเรียกชื่อเธอ ทว่าเธอเอาแต่คิดว่าคนผู้นั้นคือเสวี่ยหย่งฝู จึงหลับตาแน่นและกรีดร้องเสียงดังกว่าเดิม มือกับเท้าก็ยังพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
พลันสัมผัสได้ว่าใครคนนั้นกำลังใช้มือเขย่าใบหน้าเธอ พลางใช้ขาข้างหนึ่งกดทับขาทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ เพื่อหยุดการดิ้นรนขัดขืน เสียงร้อนรนของคนผู้นั้นดังขึ้นข้างหูเธอ
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าลืมตาเดี๋ยวนี้ ข้าเอง ข้าท่านพี่ของเจ้า ข้าท่านพี่ของเจ้าเอง”
ท่านพี่? เสวี่ยหยวนจิ้ง? แต่ก่อนหน้านี้เสวี่ยหย่งฝูจงใจใช้เขาออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาถึงกลับมาที่นี่ได้
แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็สัมผัสได้ว่าการปฏิบัติของคนผู้นี้ต่างจากการกระทำของเสวี่ยหย่งฝูเมื่อครู่ เธอจึงลืมตาขึ้นในที่สุดพร้อมกับขนตาที่พลิ้วไหว
เมื่อมองผ่านหยาดน้ำตา ก็พบว่าเจ้าของสองมือที่เขย่าใบหน้าเธอคือเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ
“ท่านพี่?!” น้ำตาเธอยิ่งไหลพรากออกมาเป็นสาย
เธอดีใจจนไม่ทันได้เห็นแววตาเจ็บปวดของเสวี่ยหยวนจิ้งที่จับจ้องมา และหางตาของเขาก็คลอไปด้วยน้ำตา เมื่อเห็นน้ำตาของเสวี่ยเจียเยว่ไหลอาบใบหน้า เขาก็ห้ามน้ำตาของตนมิให้ไหลออกมา พลางปัดเส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาบนใบหน้าของเธอเบาๆ ขณะเดียวกันก็เอ่ยปลอบประโลมให้สงบลง
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร”
อันที่จริง เขาต่างหากที่ไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนจิตใจของตนเช่นไร
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะปลอบใจเสวี่ยเจียเยว่ และอยากแสดงความนิ่งสงบอย่างที่ตนเคยเป็นต่อหน้าอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้เสียงของเขากลับสั่นเครือ พร้อมหัวใจเต้นรัวกระชั้น
หลังจากปลอบประโลมจนเสวี่ยเจียเยว่สงบสติลง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงพยุงอีกฝ่ายออกไปจากห้อง
แม้ว่าเรื่องเลวร้ายจะได้รับการแก้ไข แต่เพราะเธอตกใจและหวาดกลัวเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรง แข้งขาอ่อนยวบ เมื่อก้าวลงบนพื้นก็ไม่สามารถพยุงร่างกายของตนให้มั่นคงได้ ทันทีที่เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น เขาก็อุ้มเธอขึ้นมา
คางอันงดงามของเด็กหนุ่มสัมผัสกับแก้มที่อาบไปด้วยน้ำตาของเสวี่ย-เจียเยว่เบาๆ ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายซบศีรษะลงบนแผงอกของเขา
เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นถี่กระชั้นของเด็กหนุ่มในขณะนี้ คงเป็นผลมาจากเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงทำให้เขาเกิดความตื่นตระหนกและเดือดดาล
ขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวออกไปจากห้อง เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปมองเสวี่ยหย่งฝูที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงราวกับหมูตายก็ไม่ปาน มีจอบเปื้อนเลือดวางอยู่บนพื้นเหมือนเพิ่งทุบตีผู้ใดมา
เมื่อเธอเห็นสภาพของเสวี่ยหย่งฝู ก็ชี้นิ้วไปพลางเอ่ยถาม “ท่านพี่ เขาจะไม่… จะไม่ตายใช่หรือไม่”
หากในตอนนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งเดือดดาลจนพลั้งมือสังหารเสวี่ยหย่งฝู เมื่อคนอื่นรู้เข้าแล้วนำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อหัวหน้าหมู่บ้าน เด็กหนุ่มคงไร้หนทางหนี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอกับเขาจะต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ทันที ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายเช่นนั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งหันหน้าไปมองเสวี่ยหย่งฝูที่นอนหมดสติอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา แต่เมื่อเขาหันกลับมามองเสวี่ยเจียเยว่ สายตาเย็นชานั้นพลันหายไปทันที ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วางใจเถอะ เขายังไม่ตายตอนนี้หรอก”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็วางใจ และปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มเธอออกไปจากห้อง
ประตูเรือนเปิดกว้าง กลอนประตูหักเป็นสองท่อน คงเป็นเพราะเสวี่ย-หยวนจิ้งผลักประตูเข้ามาไม่ได้ เขาจึงถีบอย่างแรง เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เรียนวรยุทธ์กับผู้เฒ่าหลี่ หากอยากจะเข้ามาในเรือนจริงๆ แค่ประตูเปราะบางเพียงสองบานจะไปขวางเขาได้อย่างไร
เมื่ออุ้มเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในเรือนของตนแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็วางร่างเล็กลงนั่งบนเตียง ก่อนจะหมุนตัวไปอีกทางเพื่อรินน้ำแล้วส่งให้อีกฝ่ายดื่ม
น้ำนี้ต้มหลังจากเธอทำอาหารเสร็จแล้ว ตอนนี้จึงไม่ร้อนมากเช่นตอนเอาออกมาจากเตาใหม่ๆ เมื่อได้ดื่มน้ำอุ่น เสวี่ยเจียเยว่ก็ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
เสื้อตัวเก่ามีรอยปะชุนที่เธอสวม ถูกเสวี่ยหย่งฝูดึงอย่างป่าเถื่อนเมื่อครู่ เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีขาวตัวเก่าที่มีรอยปะชุนเช่นเดียวกัน โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว เสื้อตัวในจึงหนากว่าปกติ ไม่อย่างนั้นหากเสื้อเปิดกว้างออกในขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังอุ้มเธอมาที่เรือนของเขา เธอคงรู้สึกอึดอัดใจมิใช่น้อย
เธอเบี่ยงตัวไปอีกด้าน และดึงเชือกเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นมาผูกให้เรียบร้อย เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น ใบหูทั้งสองข้างก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หลังจากได้สติกลับมา เขาจึงรีบหันหลังให้เธอ
เมื่อครู่เขาเองก็ร้อนใจและกังวล จนลืมตระหนักถึงข้อควรระวังในส่วนนี้
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ผูกเชือกเสื้อเรียบร้อย เธอก็เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ท่านมิใช่ไปเอาจอบคืนที่บ้านป้าโจว แล้วไปปลูกข้าวสาลีที่ทุ่งนาหรอกหรือ เหตุใดถึงได้กลับมากะทันหันเช่นนี้เล่า”
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ดีใจมิใช่น้อย หากเสวี่ยหยวนจิ้งไม่รีบกลับมา เกรงว่าตอนนี้เธอคง…
เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หัวใจของเธอพลันสั่นสะท้านขึ้นมาเพราะความหวาดกลัว ความเกลียดชังที่มีต่อเสวี่ยหย่งฝูก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ถ้าไม่รู้ว่าการฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต เธอคงกลับไปเอาจอบเฉาะศีรษะเขาแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงหันหลังให้เธออยู่เช่นนั้น ไม่ยอมหันกลับมา และเอ่ยขึ้นให้เธอคลายความสงสัย
“เขาให้ข้าไปเอาจอบและไปปลูกข้าวสาลี ข้าเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนที่ข้าเอาจอบคืนมาจากบ้านป้าโจวแล้ว ข้ากลับคิดถึงตอนที่เขาดื่มสุราจนเมาแล้วมักจะตบตีข้ากับน้องสาว หากท่านแม่มาเกลี้ยกล่อม เขาก็ตบท่านแม่เช่นกัน ข้ากังวลว่าเขาจะดื่มสุราจนเมาแล้วตบตีเจ้าก็เลยรีบกลับมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…”
ประโยคหลังนั้นเขาไม่ได้เอ่ยออกมาให้จบ
ขณะที่เขากำลังถือจอบกลับมาอย่างเร่งรีบ และกำลังจะก้าวเข้ามาในลานเรือน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แทบขาดใจของเสวี่ยเจียเยว่ อีกทั้งประตูสองบานของเรือนหลักยังปิดสนิท
กลางวันแสกๆ จะปิดประตูเรือนทำไม เมื่อนึกถึงวาจาและท่าทางที่เสวี่ยหย่งฝูมีต่อเสวี่ยเจียเยว่อย่างเปิดเผยเป็นบางครั้งบางคราในช่วงเวลาที่ผ่านมา เสวี่ยหยวนจิ้งก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เลือดในตัวพลันพลุ่งพล่านด้วยความเดือดดาล ไหนเลยจะคิดปิดซ่อนวรยุทธ์ของตนต่อหน้าผู้อื่นอีก เขาสาวเท้าไปที่หน้าเรือนอย่างรวดเร็ว ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งผลักประตูไม้ทั้งสองบานอย่างแรงจนมันเปิดออก จากนั้นภาพที่ปรากฏในห้องของบิดาซึ่งไม่ได้ปิดประตูก็แทบทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย
เสวี่ยหย่งฝูกำลังทับร่างของเสวี่ยเจียเยว่ และกระชากเสื้อของแม่นางน้อยอย่างรุนแรง!
เด็กหนุ่มเงื้อจอบในมือขึ้น ก่อนจะฟาดลงไปที่ท้ายทอยของบิดา
เสวี่ยหย่งฝูกำลังมึนเมาเพราะฤทธิ์สุรา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็ดิ้นรนขัดขืนอย่างเอาเป็นเอาตาย ในหัวของเขาคิดเพียงว่าจะทำอย่างไรกับลูกเลี้ยง ไม่ได้สนใจเสียงการเคลื่อนไหวรอบด้านแม้แต่นิดเดียว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเงื้อจอบฟาดเข้ากลางท้ายทอยของเขาได้อย่างแม่นยำ ก่อนที่ร่างจะทรุดลงไป
เด็กหนุ่มรีบทิ้งจอบแล้วโผเข้าไป ใช้แรงที่มีทั้งหมดผลักร่างของเสวี่ย-หย่งฝูออกไปจากตัวเสวี่ยเจียเยว่ เขาอยากรีบพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา ทว่าแม่นางน้อยกำลังตกใจสุดขีด ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นเขา ทั้งมือและเท้าตบถีบเขา พร้อมกับร้องไห้เสียงดังตลอดเวลา
เมื่อคิดถึงท่าทางตกใจสุดขีดของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่ หัวใจของเสวี่ย-หยวนจิ้งก็บีบแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออก ราวกับมีคนกำลังบีบมันอย่างรุนแรงก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด คำพูดประโยคหลังที่เสวี่ยหยวนจิ้งละเว้นเอาไว้นั้น เธอย่อมรู้ว่ามันคืออะไร
เธอเองก็ไม่อยากให้เรื่องในวันนี้เกิดขึ้น คิดในแง่ดีมาตลอดว่าตนเพียงคิดมากไปเอง แต่ตอนนี้เรื่องมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ มิหนำซ้ำเสวี่ยหยวนจิ้งยังใช้จอบตีศีรษะเสวี่ยหย่งฝูจนสลบไปอีก หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรกับเด็กหนุ่ม
เป็นไปได้ว่าเสวี่ยหย่งฝูอาจจะฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า เธอต้องวางแผนกับเสวี่ยหยวนจิ้งเสียตอนนี้
แต่จะมีแผนใดที่เป็นไปได้เล่า แม้ซุนซิ่งฮวาจะรู้เรื่องนี้ เกรงว่านางคงด่าว่าเธอทำตัวยั่วยวนเสวี่ยหย่งฝูทั้งวันจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น ส่วนเสวี่ยหย่งฝู อย่างมากนางก็ด่าเพียงไม่กี่ประโยคแล้วปล่อยผ่านไปเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ย “ท่านพี่ หันกลับมาได้แล้วเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสาร
แม้ว่าแม่นางน้อยจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ทว่าคราบน้ำตาบนใบหน้ายังคงอยู่ อีกทั้งดวงตาคู่นั้นยังบวมเป่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าข้างซ้ายปูดบวมและมีรอยฝ่ามือประทับอยู่อย่างชัดเจน คงจะเป็นเพราะเมื่อครู่ถูกเสวี่ย-หย่งฝูตบเข้า
เสวี่ยหยวนจิ้งเศร้าใจยิ่งนัก เหตุใดเสวี่ยหย่งฝูถึงต้องเป็นบิดาของเขา และเหตุใดต้องเป็นบิดาเช่นนี้ แม้แต่กับเด็กแปดขวบก็ยังมีความคิดต่ำทรามได้ เลวเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แม้จะถูกมีดนับพันเล่มแทงร่างก็ไม่เพียงพอ
เมื่อก่อนบิดามักจะตบตีพวกเขาสามแม่ลูกอยู่บ่อยครั้ง เขายังจำตอนที่มารดาจะจากไปได้อย่างชัดเจน นางเอ่ยกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“เด็กดี แม่เหนื่อยเหลือเกิน แม่คงดูแลพวกเจ้าต่อไปไม่ได้แล้ว แม่ต้องไปแล้ว ต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลตัวเจ้าและน้องสาวของเจ้าให้ดี หากมีโอกาสก็หนีไปจากเรือนหลังนี้ซะ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้น่าอยู่แล้ว”
ในตอนนั้นเขาผิดหวังกับบิดาเป็นอย่างมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าความตายเท่านั้นที่จะทำให้เขาหลุดพ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขามืดลงในทุกขณะ
เสวี่ยเจียเยว่กวักมือเรียกเขา “ท่านพี่ นั่งลงก่อนเจ้าค่ะ”
เด็กหนุ่มก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่อยู่หน้าเตียงนอนอย่างว่าง่าย
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพี่ เรื่องนี้พวกเราจะแก้ไขอย่างไรกันดี เมื่อครู่ท่านพี่ใช้จอบตีเขา หากเขาฟื้นขึ้นมา จะต้องมาเอาเรื่องท่านอย่างแน่นอน”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “หลายวันมานี้มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าดูหนักอกหนักใจทุกวัน”
เสวี่ยเจียเยว่เงียบงันทันที เด็กหนุ่มจับจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตากดดัน ในที่สุดเธอก็หลุบตาลงและเอ่ยตอบออกมา
“ท่านจำยายเฉียนที่มาเมื่อหลายวันก่อนได้หรือไม่ นางมาเพื่อเจรจาขอซื้อข้าไปเป็นภรรยาให้หลานชายของนาง ตอนนั้นซุนซิ่งฮวาพูดเพียงว่า ตราบใดที่พี่ใหญ่และสะใภ้ของนางให้เงินสิบตำลึง นางก็จะยอมเห็นด้วยทันที ที่นางกลับบ้านเกิดในวันนี้ ก็คงเป็นเพราะอยากจะไปหารือเรื่องนี้กระมัง”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้น หัวใจพลันสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ชั่วขณะนั้นรอบกายล้วนว่างเปล่า เมื่อเขาได้สติกลับมา ก็เอ่ยถามด้วยความโกรธเคือง “เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
จมูกของเสวี่ยเจียเยว่แสบขึ้นมา เสียงเธอก็ยิ่งสั่นเครือ “ท่านพี่ แม้ว่าเรื่องนี้ข้าจะบอกท่าน แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า พวกเราก็เหมือนกับเนื้อปลาที่อยู่บนเขียง พวกเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้”
ตอนนี้เธอกำลังเดือดดาล จึงไม่อยากเรียกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาว่า ‘ท่านพ่อ’ และ ‘ท่านแม่’ อีกต่อไป ทั้งยังคร้านจะใส่ใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสงสัยในตัวตนของเธอหรือไม่ การกระทำทุกอย่างล้วนมาจากใจของเธอเองเสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงัน ในดวงตาเขามืดมนยิ่งขึ้น
เขารู้ว่าสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่กล่าวมาคือความจริง ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอมากนักเมื่อเทียบกับเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวา
เสวี่ยเจียเยว่ปรับอารมณ์ของตนครู่หนึ่ง หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็ตัดสินใจบอกเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยเสียงฉะฉาน
“ท่านพี่ ข้าคิดดูแล้ว ข้าคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ข้าอยากจะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย เมื่อเผชิญหน้ากับโลกภายนอก ข้าจะต้องมีวิธีเอาชีวิตรอดได้อย่างแน่นอน ส่วนท่าน… ปีหน้าท่านจะต้องเข้าร่วมการสอบซิ่วฉาย
“ข้าคิดออกแล้ว! พวกเราเคยเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปีนกำแพงเรือนของแม่ม่ายจ้าวในตอนกลางคืนไม่ใช่หรือ ท่านสามารถใช้เรื่องนี้ไปข่มขู่เขาได้ เพื่อให้เขามาเจรจากับเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาให้เห็นด้วยกับเรื่องที่ท่านจะไปสอบ เมื่อมีหัวหน้าหมู่บ้านออกหน้าพูดเช่นนี้ พวกเขาต้องไม่กล้าปฏิเสธแน่
“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ท่านก็รีบเอาจอบไปปลูกข้าวเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น รอจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินค่อยกลับมา เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเสวี่ยหย่งฝูก็ไม่กล้าโทษท่าน
“และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้เห็นว่าท่านเป็นคนลงมือด้วยตาของตัวเอง ท่านเพียงหาข้ออ้างว่าตนปลูกข้าวในนาตลอดทั้งวัน ระหว่างนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่เรือนเลย ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด ก็ไม่มีทางสงสัยท่านอย่างแน่นอน ตอนนั้นเขาคงคิดเพียงว่าเป็นข้าที่ใช้บางอย่างตีเขาเท่านั้น อีกอย่าง… ตอนนั้นข้าก็คงหนีไปแล้ว เขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า”
เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอสามารถคิดได้ในตอนนี้
“ท่านพี่ ต่อไปท่านต้องตั้งใจสอบ ข้าเชื่อว่าในอนาคตชีวิตท่านจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน วางใจเถิด ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไปหาท่าน พวกเราสองคนจะได้พบกันอีกครั้ง”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เสียงของเสวี่ยเจียเยว่ก็สั่นเครือขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ว่าเธอจะหวังดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนแรกเริ่มเพื่อจุดประสงค์อะไร และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดที่จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาทำดีกับเธอ แต่ที่ผ่านมาเธอกับเด็กหนุ่มต่างก็ถูกเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวากดขี่ข่มเหง พวกเขาจึงเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อตอนนี้เธอมีความจำเป็นต้องจากไป ย่อมอาลัยอาวรณ์ต่อเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นธรรมดา
พอคิดว่าตอนนี้เสวี่ยหย่งฝูอาจจะฟื้นขึ้นมาแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็คิดจะจากไปทันที
ทว่าขณะที่เธอกำลังลุกขึ้นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที สองมือของเขากดไหล่ทั้งสองข้างของเธอให้นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
“หากเจ้าหนีไปตอนนี้ เจ้าจะหนีไปไหนได้” สีหน้าที่เคยนิ่งสงบมาตลอดของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนใจ วาจาของเขาก็รัวเร็วกว่าปกติ
“เจ้าลืมเรื่องที่ข้าเคยพูดกับเจ้าตอนอยู่หน้าประตูสำนักหยาเหมินไปแล้วหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอายุเพียงแปดขวบ ออกไปแล้วจะทำอะไรได้ ถ้าไม่มีทะเบียนสำมะโนครัวติดตัว ก็ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้ จะออกไปของานที่ร้านค้าก็ไม่มีใครกล้ารับเจ้า อีกอย่าง…. หากเจ้าถูกทางการจับได้ เจ้าจะกลายเป็นคนเร่ร่อนหรือไม่ก็หัวขโมย เมื่อถึงตอนนั้นหากได้รับโทษหนักจะถูกประหาร โทษเบาคือถูกเนรเทศ เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ”
“มันจะมีทางออกเสมอ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น “หนีไปจากที่นี่อาจจะไม่มีทางออก แต่ถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางออกเช่นเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านให้ข้าหนีไปไม่ดีกว่าหรือ”
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “ไม่ได้ ถ้าจะหนี พวกเราก็ต้องหนีด้วยกัน หากพวกเราจะไปจากที่นี่ ก็ต้องไปเหมือนคนปกติ ไม่ว่าจะไปที่ไหนในอนาคต พวกเราสองคนก็ยังเป็นคนธรรมดาเสมอ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าแอบหนีไปเช่นนี้ เพราะต่อไปเจ้าต้องหลบซ่อนตัวตลอดชีวิต ไม่มีวันได้พบใครอีก”
เสวี่ยเจียเยว่ย่อมอยากอยู่อย่างคนปกติ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากเธอไม่หนีไปตอนนี้ ต่อไปจะมีสภาพอย่างไร เมื่อเสวี่ยหย่งฝูฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งตีเขา เขาจะทำอย่างไรกับเด็กหนุ่มเล่า
ก่อนหน้านี้เธอได้ยินชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงพูดกันว่า ตอนที่เสวี่ยหย่งฝูเมาสุรา เขาชอบตบตีเสวี่ยหยวนจิ้งกับน้องสาวบ่อยๆ หรือแม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังโดนตบตีไปด้วย
หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามา เขาก็เชื่อฟังนางจนขายลูกสาวแท้ๆ ของตนออกไป แม้ว่าจะเห็นซุนซิ่งฮวากดขี่ข่มเหงเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาก็ไม่พูดอะไรสักคำ ตราบใดที่สตรีผู้นั้นยังอยู่ เขาก็จะเป็นเช่นนี้ มีบิดาแบบนี้… ยังหวังว่าเขาจะดีกับลูกชายของตัวเองหรือ เกรงว่าคงจะตีเสวี่ยหยวนจิ้งให้ตายคามือเสียมากกว่า
“ท่านพี่” เธอใช้สายตาอ้อนวอน “ท่านให้ข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ถ้าข้าไม่ไปตอนนี้ หากเสวี่ยหย่งฝูฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าท่านเป็นคนตีเขาจนสลบ เขาจะตีท่านจนตายได้นะเจ้าคะ อีกอย่าง… ถ้าซุนซิ่งฮวากลับมาแล้วรู้เรื่องนี้ เกรงว่านางคงตีข้าจนตายเช่นกัน”
“ไม่ได้” เสวี่ยหยวนจิ้งคัดค้านด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาจะไม่ตีข้าจนตาย เพราะถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกชายของเขา เขายังหวังให้ข้าเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ส่วนแม่ของเจ้า นางก็จะไม่ตีเจ้าจนตาย เพราะนางหวังจะขายเจ้าให้เป็นภรรยาของหลานชาย แม้พ่อข้าจะฟื้นขึ้นมา เขาก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้า เท่าที่ข้ารู้มา ช่วงนี้พวกเขาทั้งคู่ติดเงินพนันก้อนใหญ่ ตอนนี้เจ้าเป็นเหมือนเงินสิบตำลึง พวกเขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน”
หลังจากไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยต่อ “เจ้าไปตักน้ำมาล้างหน้าล้างตาแล้วหวีผมให้เรียบร้อย ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้านท่านยายหาน พอตกเย็นเจ้าค่อยกลับมา ส่วนเรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง”
ความหมายของเขาก็คือ เรื่องทั้งหมดเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เสวี่ย-เจียเยว่ไหนเลยจะยอมได้
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าจะให้ท่านรับผิดชอบคนเดียวไม่ได้ หากต้องรับผิดชอบ พวกเราสองคนก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน”
“ฟังข้า” เสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งทุ้มต่ำ ช่างน่าเกรงขามยิ่ง “หากเจ้าอยู่ที่นี่ ก็มีแต่จะทำให้ข้าเป็นกังวล”
เขากล่าวจบก็เร่งเร้าให้เธอไปล้างหน้าหวีผม จากนั้นจึงจูงมือเธอออกไป
เมื่อถึงหน้าประตูลานเรือนของยายหาน เสวี่ยหยวนจิ้งก็เร่งให้เสวี่ย-เจียวเยว่เดินเข้าไปข้างใน แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าไปเสียที ก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเป็นห่วงเขา จึงเอ่ยปลอบใจและสัญญาหนักแน่น
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ข้าเคยรับปากเจ้าแล้ว ว่าข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องหลบซ่อน เมื่อข้าลั่นวาจาอะไรออกไปแล้ว ข้าย่อมต้องทำได้อย่างแน่นอน”
เสวี่ยเจียเยว่ไร้หนทางจะต่อต้าน ทำได้เพียงก้าวเข้าไปในลานเรือนของยายหาน ทว่าในขณะที่ยืนอยู่บนลาน เธอก็หันกลับไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงอยู่ที่เดิมและโบกมือเป็นเชิงบอกว่าให้เธอรีบเดินต่อไป ขณะนั้นยายหานที่อยู่ในเรือนเห็นเธอพอดี เมื่อนางเดินออกมาหาเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่มองตามแผ่นหลังซูบผอมที่ดูโดดเดี่ยว ทว่าตั้งตรงราวกับต้นไผ่เขียวที่อยู่ท่ามกลางภูเขาก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะมีพายุหิมะแรงขนาดไหน ก็ไม่สามารถโค่นล้มลงได้
เธอร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้
ยายหายรู้ดีว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเป็นคนที่ประพฤติตัวน่าเอือมระอาที่สุด และนางก็รู้อีกว่าซุนซิ่งฮวามักจะด่าทอเสวี่ยเจียเยว่ทุกวัน เมื่อเห็นแม่นางน้อยเดินเข้ามาในเรือนพร้อมกับร้องไห้ ทั้งยังมีรอยนิ้วมือเด่นชัดบนแก้มซ้าย นางจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“พวกเขาตีเจ้าอีกแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากและพยักหน้าเบาๆ หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มตอบ
“ช่างชั่วร้ายจริงๆ” ยายหานถอนหายใจเบาๆ “ความเป็นคนของพวกเขาทั้งคู่แทบไม่มีให้เห็น ไม่รู้ว่าต่อไปพวกเขาจะมีสภาพการตายแบบใด”
ในขณะที่เอ่ยนั้น นางเดินไปตักน้ำอุ่นมาหนึ่งถัง นำผ้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด ก่อนจะเช็ดหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของเสวี่ยเจียเยว่ พร้อมกับเอ่ยปลอบใจไปด้วย
“เด็กดี อย่าร้องไห้ รอจนเจ้าโตขึ้นมีความสามารถ เจ้าก็ค่อยไปจากที่นี่กับพี่ชายของเจ้า พวกเจ้าคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงไม่พูดเช่นเคย เพียงพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น เธอเป็นห่วงเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากเสวี่ยหย่งฝูฟื้นขึ้นมา เขาจะทำเช่นไรกับเด็กหนุ่ม
อยู่อย่างไม่สบายใจมาจนถึงพลบค่ำ เสวี่ยเจียเยว่จึงกล่าวลายายหาน
ระหว่างที่เดินกลับ หัวใจของเธอเต้นรัวแรง ขณะที่คิดจะก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไปดูว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง เธอก็กลัวว่าเมื่อกลับไปถึงเรือนแล้วจะเห็นสภาพปางตายของเขาหลังจากถูกบิดาตี จึงไม่กล้าเดินเร็วนัก คิดเพียงว่าขออย่าได้เดินไปถึงเรือนตลอดกาลได้เลยยิ่งดี
พื้นที่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงกว้างขวางยิ่งนัก ทว่าเรือนที่เธออาศัยอยู่เป็นครึ่งปีกลับค่อยๆ ปรากฏต่อสายตาภายในเวลาไม่นาน
เธอหยุดครู่หนึ่ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ข้างลำตัว
ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นพายุที่โหมกระหน่ำสักเพียงใด ในยามนี้เธอต้องไปเผชิญกับมัน ชีวิตคนเรานอกจากการตายแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ หากในตอนนี้แม้แต่ความตายเธอยังไม่กลัว แล้วในแผ่นดินนี้จะมีเรื่องอันใดที่สามารถทำให้เธอหวาดกลัวได้อีกเล่า