ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 47 เริ่มลงมือ
สี่สิบเจ็ด
เริ่มลงมือ
ในขณะนี้หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เศร้าสลดราวกับผู้เป็นที่รักจากไปไม่หวนกลับ หลังจากเธอรีบเดินเข้าไปในลานเรือน ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งหันหลังให้ เหมือนเขากำลังมองของในมือที่พลิกไปมา
เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินย่องเข้าไปเบาๆ เมื่อก้มลงมองก็พบว่าในมือของเขาเป็นกลอนประตูเรือนที่หักเป็นสองท่อน ท่าทางเหมือนคิดว่าจะซ่อมมันอย่างไร
แสงอาทิตย์ใกล้อัสดงสาดส่องกระทบร่างของเขา ดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองชั้นบางๆ
ในความคิดของเธอนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งน่าจะมีสภาพน่าเวทนา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมานั่งซ่อมกลอนประตูอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงนี้
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพี่?”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงเธอ เสวี่ยเจียเยว่รีบพิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจดเท้า และพบว่าร่างกายของเด็กหนุ่มยังดูเหมือนเดิม ไม่ได้มีความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขาได้เห็นเธอ ใบหน้าของเขายังประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ อีกด้วย
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ราวกับว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น… ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ปรึกษาหาทางออกในอนาคตร่วมกันด้วยความโศกเศร้าและไร้หนทาง เขาไม่ได้ไปส่งเธอที่บ้านของยายหานเพื่อหลบภัย เขาไม่ได้ตัดสินใจรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและอ้างว้าง
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เชื่อว่าจะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น มีหรือเสวี่ยหย่งฝูจะปล่อยเด็กหนุ่มไปง่ายๆ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังสบายดี แล้วควรจะหาคำใดมาอธิบายเรื่องนี้
ชั่วขณะนั้น เสวี่ยเจียเยว่เกิดความคิดในแง่ลบขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หรือว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะ…
เสวี่ยหย่งฝูเป็นบิดาแท้ๆ ของเด็กหนุ่ม เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
แต่เค้าโครงนิยายที่เพื่อนร่วมห้องของเธอร่างขึ้นมานั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นขุนนางผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ไม่ใช่เพียงซุนซิ่งฮวาเท่านั้น แม้แต่เสวี่ยหย่งฝูเองก็มีจุดจบที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มทำดีกับเธอเสียเหลือเกิน ทำให้เธอลืมเค้าโครงนิยายเรื่องนี้ไป
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในเรือนทันที
เธอพบว่าประตูห้องนอนของซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูใส่กุญแจเอาไว้ เหมือนกับทุกครั้งที่ซุนซิ่งฮวาออกมาจากห้อง จากนั้นเธอก็มองไปที่ห้องอื่น และไม่พบความผิดปกติอะไรเช่นกัน
เสวี่ยเจียเยว่สงสัยยิ่งนัก จึงเดินกลับไปเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ เขาอยู่ที่ไหนเจ้าคะ”
แม้ว่าเธอจะพยายามปกปิดความรู้สึกภายในใจเพียงใด แต่เสียงก็ยังสั่น และจับกรอบประตูแน่นขึ้น
ถึงเสวี่ยหย่งฝูจะตายไปก็ไม่สำคัญอะไร เธอคิดว่าการตายของคนผู้นั้นยังไม่สาสมด้วยซ้ำ แต่ถ้าเสวี่ยหยวนจิ้งทำอะไรเสวี่ยหย่งฝูจริงๆ เขายังมีกะจิตกะใจมานั่งซ่อมกลอนประตูอยู่ที่ลานเรือนเช่นนี้หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงรีบพาเธอหนีหัวซุกหัวซุนไปจากที่นี่แล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของเสวี่ยเจียเยว่ ก็เดาความคิดของอีกฝ่ายออกทันที เขาจึงอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าอย่าคิดมาก ข้าไม่ได้ทำอันใดเขาแม้แต่น้อย เขายังมีชีวิตอยู่”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม “หลังจากข้าไปส่งเจ้าที่เรือนของท่านยายหาน พอกลับมาถึงข้าก็ช่วยเขาให้ฟื้นขึ้นมา และยอมรับต่อหน้าเขาว่าเป็นคนใช้จอบตีเขาจนสลบเอง หลังจากเขารู้เช่นนั้น ก็ด่าข้าเพียงไม่กี่ประโยค เพราะสุดท้ายอย่างไรข้าก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา
“อีกอย่าง… เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ตนดื่มสุราจนเมา เลยทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นกับเจ้าไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาหวาดกลัวแม่ของเจ้ายิ่งนัก เพราะกังวลว่านางจะรู้เรื่องนี้หลังจากกลับมา จึงสั่งข้าว่าอย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร จากนั้นเขาก็บอกให้ข้านำกลอนประตูนี้มาซ่อมให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขาจะออกไปที่โรงบ่อนหน้าหมู่บ้าน”
หากเสวี่ยเจียเยว่เป็นเด็กอายุแปดขวบจริงๆ คำที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมานั้นเธอคงเชื่อไปแล้ว แต่แท้จริงแล้วเธอคือนักศึกษาชั้นปีที่สี่ และเคยถูกแม่เลี้ยงกดขี่ข่มเหงมาก่อน จึงเข้าใจความเจ็บปวดดีว่ามีแม่เลี้ยงแล้วบิดาแท้ๆ ก็เหมือนจะเป็นพ่อเลี้ยง และยังเคยอ่านข่าวมากมายเกี่ยวกับด้านมืดของคนบนอินเทอร์เน็ต เธอจะปักใจเชื่อได้อย่างไรว่าเสวี่ยหย่งฝูปล่อยเสวี่ยหยวนจิ้งไปง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยค
แม่น้ำกับภูเขานั้นเปลี่ยนง่าย แต่นิสัยคนเปลี่ยนยาก เธอไม่เชื่อว่าเสวี่ยหย่งฝูจะยอมจบเรื่องง่ายๆ เดรัจฉานอย่างไรก็ยังคงเป็นเดรัจฉานเช่นนั้น ไม่มีทางมีคุณธรรมขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา
กระนั้นเธอก็รู้ว่า หากเสวี่ยหยวนจิ้งตัดสินใจไม่พูดเรื่องใดแล้ว ต่อให้คนอื่นเค้นถามสักเพียงใด เขาก็ไม่มีทางเอ่ยออกมาอย่างแน่นอน แต่เธอไม่ใช่คนอื่น
เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยถามเขา “เหตุใดท่านถึงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ท่านลุกขึ้นมาแล้วเดินมาให้ข้าดูหน่อย”
สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าต้องรีบซ่อมกลอนประตูให้เสร็จก่อนที่แม่ของเจ้าจะกลับมา ยามคับขันเช่นนี้ไหนเลยจะลุกขึ้นเดินได้”
จากนั้นก็บอกอีก “นี่ก็เย็นแล้ว เจ้ารีบไปทำกับข้าวเถิด หากแม่ของเจ้ากลับมา แล้วเห็นว่าข้าวเย็นยังไม่เสร็จ นางคงจะด่าเจ้าอีกเป็นแน่”
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนกราน “ท่านลุกขึ้นมาแล้วเดินมาให้ดูเดี๋ยวนี้”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งยืนกรานจะไม่ลุกขึ้น เธอจึงเดินไปดึงแขนเขาสุดแรงและเอ่ยถามขึ้น “หากท่านไม่ลุก ข้าก็ไม่ไปทำกับข้าว รอให้ซุนซิ่งฮวากลับมาด่ามาตีข้าได้ตามใจ”
เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองโกรธจนไม่มีเหตุผลเหมือนกับเด็กที่ไม่รู้จักโต ทว่านอกจากเรื่องนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าควรหาเรื่องอะไรมาข่มขู่เขา
เสวี่ยหยวนจิ้งถูกดึงจนไร้หนทางจะขัดขืน ตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆ ทั้งยังเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเอ่ย
“เจ้าจะฉลาดขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ทำตัวให้โง่กว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง”
เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะยืนขึ้น เสวี่ยเจียเยว่ก็พบว่าร่างของเขาโงนเงนเล็กน้อย และในตอนนี้เขาก็เกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่เธอพยุงแขนอีกฝ่ายได้ทัน จึงมีเพียงเข่าขวาของเขาเท่านั้นที่ทรุดลงบนพื้น
เสวี่ยเจียเยว่เดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น น้ำตาจึงไหลพรากออกมาทันที ริมฝีปากบางซีดเผือดและสั่น คำที่กล่าวออกมานั้นตะกุกตะกัก “ท่านพี่ ข้า… ช่วยพยุงท่าน… ลุกขึ้นเจ้าค่ะ”
เธอพยุงเสวี่ยหยวนจิ้งให้ลุกขึ้น และประคองเขาเดินไปยังเรือนเก็บฟืน
ขณะก้าวเดินร่างกายของเสวี่ยหยวนจิ้งโงนเงนไปมา และไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าเวลาไหนก็ยังคงตั้งตรงเป็นสง่า แต่ตอนนี้กลับเดินหลังค่อม ราวกับกำลังอดทนกับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามา
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกราวกับมีลูกธนูทิ่มแทงหัวใจของเธอนับพันนับหมื่นดอก
เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากประคองเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กในเรือนแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่สนใจการต่อต้านและขัดขืนของเขาแต่อย่างใด เธอถอดเสื้อของเขาออกทันที
สิ่งที่ได้เห็นนั้นใช้เพียงคำว่า ‘น่าตกใจ’ มาอธิบายได้เท่านั้น
แผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นรอยแดงตัดกัน มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น บาดแผลเหล่านี้กลายเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว ทั้งยังบวมปูด ไม่รู้ว่าถูกไม้ฟาดอย่างรุนแรงไปกี่ครั้ง
ผิวเนื้อเดิมของเด็กหนุ่มขาวเนียนอยู่แล้ว ทำให้เห็นรอยแผลเขียวคล้ำเด่นชัด
เสวี่ยเจียเยว่ตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน รู้สึกว่าหัวใจของตนแทบจะหยุดเต้น เมื่อได้สติกลับมา เธอก็สวมกอดเสวี่ยหยวนจิ้งจากด้านหลังแน่น น้ำตาไหลพรากออกมาเป็นสาย จนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
เดิมทีบาดแผลบนแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำให้เจ็บปวดมากอยู่แล้ว เมื่อโดนน้ำตาของเสวี่ยเจียเยว่ ก็ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดนั้นทวีคูณ ทว่าเขาไม่ได้ผลักอีกฝ่ายออกแต่อย่างใด เพียงตบมือบางที่เอื้อมมากอดเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มขมขื่น และเอ่ยเหมือนก่อนหน้านี้
“เชื่อที่ข้าพูดแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ต้องดูให้ได้เลยใช่หรือไม่ เฮ้อ… เจ้าจะฉลาดขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ทำตัวให้โง่กว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง”
เพราะไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่เป็นกังวล เขาจึงพยายามปกปิดเอาไว้ แต่ถูกจับได้ในที่สุด
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม หลังจากหยุดร้องแล้ว เธอก็เดือดดาลขึ้นมาทันใด
เธอผละจากเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วรีบเดินไปตรงหน้าเขา ก่อนจะเอื้อมสองมือไปเขย่าไหล่เขาสุดแรง พร้อมกัดฟันเอ่ยถาม
“ท่านถูกเขาตีจนมีสภาพเช่นนี้ เหตุใดถึงปิดบังข้า หรือว่าจะให้เขาตีท่านจนตาย อีกอย่าง… ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้ชัดเจนแล้วว่าพวกเราต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน เหตุใดท่านถึงไม่ยอม ดึงดันจะรับผิดชอบคนเดียวให้ได้ ท่านอยากให้เขาตีจนตายหรืออย่างไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ดูออกว่าแววตาของเขาโศกเศร้ายิ่งนัก ทั้งยังรักใคร่ทะนุถนอมเธออีกด้วย
เธอรู้สึกว่าความเดือดดาลที่อยู่ในใจนั้นหายไปในพริบตา
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงร้องไห้ออกมา แม้หยาดน้ำตาจะกบดวงตาคู่นั้นจนเลือนราง ทว่าเธอก็ยังพยายามเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ท่านพี่ ท่านเจ็บหรือไม่ บอกข้ามาว่าท่านเจ็บหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบในทันที แต่ยกมือขึ้นมาจับมือที่สั่นเทาของแม่นางน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ็บ แต่ได้เห็นเจ้าสบายดี ต่อให้เจ็บมากกว่านี้ข้าก็ทนได้”
เสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็คว้าตัวเธอเข้าไปกอด อ้อมกอดของเด็กหนุ่มบอบบางเหมือนกับร่างกายที่ซูบผอมของเขา แต่เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเรือเล็กที่ปะทะกับคลื่นลม จนเข้าสู่ท่าเรือที่แข็งแกร่งและมั่นคงก็ไม่ปาน ต่อไปคงไม่มีพายุใดในโลกนี้มาโจมตีเธอได้
เมื่อซุนซิ่งฮวากลับมา เสวี่ยเจียเยว่ก็ทำอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว
ผัดหัวไช้เท้าไฟแดงหนึ่งจาน ผัดตั้งโอ๋ใส่ไข่หนึ่งจาน และไก่หมักซีอิ๊วตะไคร้หอมที่เสวี่ยหย่งฝูกินเหลือเมื่อตอนกลางวันอีกครึ่งตัว แม้แต่น่องไก่ที่ใช้ฟาดหน้าเขา เธอก็เก็บขึ้นมาอุ่นในหม้อโดยไม่ได้ล้าง
เมื่อซุนซิ่งฮวาเห็นไก่ ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย “เหตุใดตอนกลางวันพ่อของเจ้าถึงไม่กินไก่ให้หมด ยังเหลือตั้งครึ่งตัว”
เสวี่ยหย่งฝูอายุสามสิบกว่าปี เดิมทีข้าวมื้อหนึ่งก็กินเยอะอยู่แล้ว และใช่ว่าเขาจะได้กินไก่บ่อยนัก เมื่อวานพอรู้ว่าซุนซิ่งฮวาขายเสวี่ยเจียเยว่ได้สิบตำลึง เขาขอร้องอยู่นานกว่านางจะยอมให้กินไก่หนึ่งตัว ตอนนั้นเขาดีใจยิ่งนัก แม้กระทั่งฝันน้ำลายยังไหล พอตื่นตอนเช้ายังบอกอีกว่าจะกินไก่ตัวนั้นให้หมด
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ตอบอะไร
ซุนซิ่งฮวาเหลือบเห็นกลอนประตูที่ทำขึ้นมาใหม่ จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นกับกลอนประตู กลอนอันเดิมอยู่ไหน”
“กลอนนั่นถูกท่านพ่อทำพังเจ้าค่ะ ท่านพี่ก็เลยทำอันใหม่ให้” เสวี่ย-เจียเยว่ตอบ
ซุนซิ่งฮวาเคยได้ยินว่า เมื่อเสวี่ยหย่งฝูเมาสุราก็มักจะตบตีลูกกับภรรยา และตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าเรือนใหม่ๆ ก็เคยถูกเขาตบครั้งหนึ่ง ทว่ากลับถูกนางตบกลับแรงกว่าเดิมถึงสองครา ทั้งยังร้องไห้และตบตีเขาจนวุ่นวาย กระทั่งใบหน้าของเขาเป็นรอยแดงขึ้นมาหลายเส้น นับแต่นั้นมาเสวี่ยหย่งฝูก็ไม่กล้าตบนางอีกแม้แต่ครั้งเดียว
นางเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งซีดเผือดผิดปกติ ทั้งยังเดินไม่มั่นคง ก็เข้าใจทันทีว่าอาการนี้คงเป็นเพราะถูกเสวี่ยหย่งฝูตีมา และคิดว่าเขาต้องใช้กลอนประตูตีเด็กหนุ่มอย่างแน่นอน
แรงที่เสวี่ยหย่งฝูใช้ตีในตอนนั้นจะมากมายขนาดไหนกัน ถึงได้ทำให้กลอนไม้ที่ใช้ขัดประตูหักเป็นสองท่อนเช่นนี้
ซุนซิ่งฮวาไม่สนใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ถูกเสวี่ยหย่งฝูตีจนตายได้ยิ่งดี ดังนั้นนางจึงไม่ได้เอ่ยถามต่อ เพียงถามเสวี่ยเจียเยว่ “พ่อเจ้าไปไหน”
เสวี่ยเจียเยว่ตอบกลับไป “ไปเล่นไพ่ใบไม้เจ้าค่ะ”
ซุนซิ่งฮวาขมวดคิ้วแน่น “พวกคนที่เล่นไพ่ใบไม้นั้นฉลาดมาก ตอนนี้เขาดื่มสุราจนเมาแล้วยังจะไปเล่นกับพวกเขาอีกหรือ”
นางคิดจะบอกให้เสวี่ยเจียเยว่ไปเรียกเสวี่ยหย่งฝูกลับมากินข้าว แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร หากเขากำลังเล่นไพ่ใบไม้อยู่ มีหรือเสวี่ยเจียเยว่จะเรียกกลับมาได้ อีกอย่าง… นางเองก็อยากจะรู้ว่าตอนนี้เขาเสียเงินหรือได้กำไร จึงเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เพื่อไปเรียกเขากลับมากินข้าวด้วยตัวเอง
และการเรียกในครั้งนี้ก็ล่วงเลยจนมาถึงยามห้า[31]
ตอนที่พวกเขาทั้งสองกลับมา เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ก็กินข้าวเสร็จแล้ว และแยกย้ายกันไปนอน กับข้าวที่เหลือก็อยู่ในหม้อ
วันนี้พวกเขาคงได้กำไรมาไม่น้อย เพราะตอนที่เสวี่ยเจียเยว่นอนอยู่บนเตียงแต่ยังไม่หลับนั้น เธอได้ยินเสียงหัวเราะของซุนซิ่งฮวา อีกทั้งเดิมทีก็เป็นเรื่องยากนักที่นางจะไม่เรียกเธอออกไปอุ่นกับข้าว แต่กลับก่อไฟเอง แล้วทั้งสองคนก็กินด้วยกัน
ผนังของเรือนนั้นใช่ว่าจะเก็บเสียงได้ดีนัก ตอนที่พวกเขาจุดตะเกียงกินข้าวในห้องโถง เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินบทสนทนา จึงรู้ว่าวันนี้เสวี่ยหย่งฝูได้เงินมาแปดร้อยอีแปะ ถอนทุนที่เคยเสียไปก่อนหน้านี้มาหมดไม่พอ ยังได้กำไรอีกหลายสิบอีแปะ
น้ำเสียงของทั้งสองคนดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินซุนซิ่งฮวาบอกว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ของนางยอมจ่ายเงินสิบตำลึง ภายในปีหน้านางจะส่งเธอไปให้พวกเขาเลี้ยงเพื่อเป็นภรรยาของลูกชายขาพิการผู้นั้น ทั้งยังบอกอีกว่ารอให้เสวี่ยเจียเยว่กับหลานชายของนางเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ พี่ชายและพี่สะใภ้จะเชิญนางไปดื่มสุรามงคล พร้อมทั้งจะให้ผ้าเนื้อดีแก่นางอีกสองพับ
ในขณะที่เอ่ย นางคงหยิบเงินออกมาให้เสวี่ยหย่งฝูดู เพราะเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินซุนซิ่งฮวาเอ่ยพลางหัวเราะ
“นี่ เจ้าดูสิ นี่คือเงินห้าตำลึง ปีหน้าตอนที่พวกเขามารับเอ้อร์ยา จะให้เงินที่เหลืออีกห้าตำลึง”
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอได้ยินเสวี่ยหย่งฝูหัวเราะขึ้นมา คงจะมีความสุขเพราะได้เห็นเงินห้าตำลึง จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม
“เจ้าได้เขียนสัญญาอะไรหรือไม่”
“สัญญาอะไร” ซุนซิ่งฮวาเอ่ยถาม
“ปีหน้าเจ้าจะส่งตัวเอ้อร์ยาไปให้พวกเขาเลี้ยงเพื่อเป็นภรรยาลูกของชายขาพิการ และตอนนี้เจ้าก็รับเงินห้าตำลึงมาแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้เจ้าเขียนสัญญาอะไรหรือ”
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกสาวของท่านแม่ และน้องสาวของพี่ใหญ่ ทำไมพวกเขายังต้องให้ข้าเขียนสัญญา มีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อใจกัน อีกอย่าง… พี่สะใภ้กับพี่ชายของข้าก็เป็นเหมือนกับข้าที่ไม่รู้หนังสือสักตัว” ซุนซิ่งฮวาตอบ
เสวี่ยหย่งฝูหัวเราะอย่างชอบใจ “แม่ของเจ้ากับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ดูถูกพวกเรามาตลอด ข้าเองก็ไม่อยากเป็นญาติกับครอบครัวเช่นนี้ ตัดขาดได้ยิ่งดี ในเมื่อวันนี้พวกเจ้าไม่ได้เขียนสัญญา เช่นนั้นพวกเราก็ฉวยโอกาสนี้พาเอ้อร์ยาไปขายในเมือง ด้วยวิธีนี้พวกเราจะได้ทั้งเงินห้าตำลึงของครอบครัวพี่ชายเจ้า และยังได้เงินก้อนจากการขายเอ้อร์ยาด้วย แม้ว่าต่อไปพวกเขาจะมาก่อความวุ่นวาย พวกเราก็แค่บอกว่าไม่เคยได้รับเงินห้าตำลึงจากพวกเขา ต่อให้เรื่องวุ่นวายไปถึงที่ว่าการอำเภอ ตราบใดที่ไม่พูดความจริง พวกเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้”
เรื่องที่เสวี่ยหย่งฝูทำกับเสวี่ยเจียเยว่ในวันนี้ ทั้งยังโดนลูกชายแท้ๆ ของตนตีจนสลบ แม้ว่าเขาจะลงโทษเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างรุนแรง ข่มขู่ว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด แต่ในใจลึกๆ ของเขาก็ยังหวาดกลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดเรื่องนี้ออกไป หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงถูกคนในหมู่บ้านนี้ประณามหยามเหยียดไม่หยุดหย่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถือโอกาสขายเสวี่ยเจียเยว่ออกไปไกลๆ จะเป็นการดีกว่า
เป็นดังคำที่ว่า ‘เงินสามารถสั่นไหวจิตใจผู้คนได้’ ยิ่งไปกว่านั้น ซุนซิ่งฮวากำลังจับจ้องเงินที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ทั้งในใจและแววตาของนางล้วนมีแต่เงิน มีเหตุผลใดที่นางจะปฏิเสธเล่า
ด้วยเหตุนี้นางจึงเอ่ยขณะที่หยิบเงินเก็บเข้าไปในเสื้อ “วิธีที่เจ้าว่ามานั้นใช้ได้เลยทีเดียว ปีหน้าพวกเราจะพานางไปขายในเมือง หน้าตาของนางก็ถือว่างดงามอยู่ไม่น้อย คงจะขายได้ราคาดี”
ขณะที่เอ่ยประโยคนั้น ราวกับนางไม่ได้คิดเลยว่าเอ้อร์ยาเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตน ในทางตรงกันข้าม คงจะคิดเพียงว่าใบหน้าของเอ้อร์ยานั้นคล้ายกับแม่สามีเก่าของนางอยู่ไม่น้อย หากได้ขายออกไป นางคงจะมีความสุขมากเพราะต่อไปก็ไม่ต้องมาทนเห็นหน้ากันอีก
หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จก็พูดคุยกันอย่างมีความสุข ตะเกียบกับถ้วยยังวางอยู่บนโต๊ะเช่นเดิม รอให้เสวี่ยเจียเยว่มาเก็บในวันพรุ่งนี้
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องของพวกเขา เสวี่ยเจียเยว่ก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกท่ามกลางความมืดมิด
ตอนที่เธอโอบกอดเสวี่ยหยวนจิ้งพลางร้องไห้ เขากอดเธอเอาไว้แน่น แล้วเอ่ยด้วยความหนักแน่น
“เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง เจ้าทำใจให้สบาย ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่อย่างสง่างาม”
เธออยากเชื่อมั่นในคำพูดของเขา ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปี จะต่อต้านเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้อย่างไร แต่ถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเขา แล้วเธอจะทำอย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก ก่อนจะพลิกตัวเข้าหาผนังพลางไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยดวงตาที่ยังเบิกกว้าง
เสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้ชายคาเรือน
ตอนที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเข้าไปในเรือน เขาย่องมายืนอยู่ข้างผนังด้านนอกเพื่อแอบฟังเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้องโถง และได้ยินทุกคำพูดของคนทั้งสองอย่างชัดเจน
เขาแหงนมองพระจันทร์บนท้องฟ้าอย่างเงียบงันชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองห้องของเสวี่ยเจียเยว่
นับวันกระดาษบนหน้าต่างยิ่งเริ่มผุพังลงทุกที จนสามารถมองเห็นคนที่กำลังหันหลังให้หน้าต่างได้ ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายหลับหรือยัง แต่ในเมื่อเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ เสวี่ยเจียเยว่เองก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน แล้วจะหลับลงได้อย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งกำมือแน่นขึ้นทุกขณะ
…
ท่ามกลางแสงจากพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เด็กหนุ่มนำจอบกับตะกร้าหวายออกจากเรือนไป
ยามนี้คนในหมู่บ้านกำลังหลับสนิท รอบด้านจึงเงียบสงัด และได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นเป็นระยะ
เสวี่ยหยวนจิ้งถือจอบกับตะกร้าหวายขึ้นไปบนเขา เมื่อฟ้าใกล้สว่างเขาก็ลากขาที่เหนื่อยล้ากลับมาเงียบๆ ไม่ใช่เพียงเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไม่รู้สึกตัวเท่านั้น แม้แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
วันนี้ท้องฟ้าในยามเช้าดูครึ้มๆ จนกระทั่งยามบ่ายหิมะก็เริ่มตกลงมา
หิมะแรกยังตกเบาๆ เหมือนปุยฝ้ายนุ่มๆ แต่เมื่อถึงพลบค่ำก็ตกหนักเหมือนขนห่านก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นหรือหลังคาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ได้เงินมาแปดร้อยอีแปะ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็คล้ายจะดวงดีขึ้นทุกวัน หลายวันมานี้พวกเขาชนะพนันตลอด ทุกเช้าหลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาจะออกไปเล่นไพ่ใบไม้จนกระทั่งตกเย็นค่อยกลับมา
ขณะนี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังทำอาหารมื้อเย็น นั่นคือข้าวต้มและกับข้าวซึ่งที่บ้านตายายเรียกว่าซุปปลาตะเพียนใส่เต้าหู้ เนื่องจากหลายวันก่อนเสวี่ย-หย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้เงินห้าตำลึงมาจากตระกูลซุน ทั้งยังชนะพนันได้เงินมาอีก ช่วงกลางวันของวันนี้พวกเขาจึงซื้อปลาตะเพียนตัวใหญ่จากเรือนคนที่เลี้ยงปลาโดยเฉพาะมาหนึ่งตัว และซื้อเต้าหู้มาอีกหนึ่งก้อน สั่งให้เสวี่ยเจียเยว่เก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น ก่อนจะกลับไปที่โรงบ่อน
เสวี่ยเจียเยว่ทำอาหาร โดยมีเสวี่ยหยวนจิ้งช่วยยัดฟืนเข้าไปในเตา
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่นำปลาลงไปในหม้อที่มีน้ำร้อน ใส่ซีอิ๊วขาวกับเต้าหู้ลงไปแล้ว ก็นำฝาหม้อมาปิด จากนั้นเธอได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งพูดขึ้น
“ฟืนใช้หมดแล้ว เจ้าไปหอบฟืนมาให้ข้าที”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เมื่อก่อนไม่ว่าครั้งใดที่ฟืนหมด เสวี่ยหยวนจิ้งจะเดินไปหอบมาเอง เขาไม่เคยใช้เธอทำเช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ถึงแปลกไป
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่มิได้คิดมาก หลังจากเธอขานรับแล้วก็เดินออกจากห้องครัว ก่อนจะเดินไปที่เรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เธอรวบรวมฟืนแล้วมัดเข้าด้วยกัน ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากเรือน ก็เหลือบไปเห็นตะกร้าหวายที่อยู่ใต้เตียงนอนชิดผนัง มีฝาที่สานด้วยหวายปิดด้านบน และด้านนอกของตะกร้าถูกมัดด้วยหญ้าหลายเส้นอย่างแน่นหนา
ในนั้นมีอะไร… เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสงสัย เสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าของที่อยู่ด้านในจะออกมา จึงใช้หญ้ามัดเอาไว้หลายชั้นกระมัง แล้วในตะกร้าใบนั้นมันใส่อะไรเอาไว้เล่า
ทว่าเธอยังคงเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก และไม่เคยแตะต้องของของเขาสุ่มสี่สุ่มห้า จึงมองตะกร้าหวายครู่หนึ่ง แม้ในใจจะสงสัย แต่ไม่ได้เดินเข้าไปดู เพียงหอบฟืนออกมาเท่านั้น
…
ภายในห้องครัว เสวี่ยหยวนจิ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ ก่อนจะเปิดฝาหม้อที่อยู่บนแท่นเตา
จากนั้นเขาล้วงห่อกระดาษที่พับเอาไว้ในอกเสื้อ เมื่อคลี่ออกก็พบสิ่งที่เหมือนรากสีน้ำตาลของพืชบางอย่างถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตามองของที่อยู่ในมือ ก่อนจะคว่ำฝ่ามือลง ทำให้สิ่งที่คล้ายรากไม้ร่วงลงไปในหม้ออาหารที่กำลังเดือดปุดๆ เขาปิดฝาหม้อแล้วกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ก่อนจะยื่นกระดาษเข้าไปในเตา
เปลวไฟกลืนกินกระดาษบางๆ แผ่นนั้น ไม่นานมันก็กลายเป็นผุยผง
เสวี่ยหยวนจิ้งมองขี้เถ้าเหล่านั้นด้วยสีหน้าเย็นชา แม้ว่าเปลวไฟสีส้มจะลุกไหม้และส่องกระทบใบหน้าของเขา แต่มันก็ไม่สามารถละลายความเย็นชาลงได้แม้แต่น้อย
[31] ยามห้า หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง 03.00 น. – 05.00 น.