ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 52 เชื่อใจกันและกัน
ห้าสิบสอง
เชื่อใจกันและกัน
เสวี่ยเจิ้งจื้อมองเงินในมือของเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นก็รู้สึกลำบากใจ
เงินพวกนี้ อย่าว่าแต่โลงศพไม้สนเลย แม้แต่โลงศพไม้หลิวที่คุณภาพต่ำที่สุดก็เกรงว่าคงซื้อไม่ได้เช่นกัน
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นอีกฝ่ายเงียบงันไม่พูดจา จึงเอ่ยถามออกมา “เงินจำนวนนี้ไม่พอหรือขอรับ”
เขาชี้ไปที่คอกสัตว์พลางเอ่ย “หากเงินไม่พอ ท่านให้คนนำวัวตัวนั้นไปขายก็ได้ขอรับ ขายได้เท่าไรก็เอาเงินไปซื้อโลงศพมาให้ท่านพ่อท่านแม่”
เสวี่ยเจิ้งจื้อได้ยินน้ำเสียงที่จริงใจของเด็กหนุ่ม ก็ถอนหายใจออกมา “แม่เลี้ยงของเจ้า ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางทำกับเจ้าเช่นไร พวกข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง เจ้ากลับไม่ละความพยายามในการจัดงานศพให้นางเช่นนี้ แน่นอนว่าคนที่เคยเรียนมานั้นย่อมแตกต่างจากคนอื่น”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถ่อมตน “ท่านชมเกินไปแล้วขอรับ ข้าน้อยมิกล้า”
เสวี่ยเจิ้งจื้อกล่าวชื่นชมเขาสองสามประโยค ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าขอพูดคำเดิม เจ้ากับน้องสาวของเจ้ายังต้องมีชีวิตต่อไป จะเอาสมบัติทั้งหมดในเรือนมาขายจัดงานศพให้พ่อกับแม่ได้อย่างไร วัวตัวนั้นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในเรือนของเจ้า การไถนา การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก็ล้วนต้องใช้ประโยชน์จากมัน จะขายได้อย่างไร”
เมื่อกล่าวจบ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามา “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยฝึกทำงานที่ร้านทำไม้ในเมืองใช่หรือไม่”
คนผู้นี้เคยฝึกทำงานในร้านทำไม้ก็จริง ทว่าเถ้าแก่รังเกียจที่เขาสร้างของไม่ดีออกมาทั้งที่เรียนมาสองปี จึงไล่เขากลับเรือน แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าฝีมือจะดีหรือไม่
เสวี่ยเจิ้งจื้อเอ่ยขึ้นมาอีก “ไม้หลิวมีมากมายทั้งหน้าหมู่บ้านและหลังหมู่บ้าน เจ้าพาคนสักสองคนไปตัดมาสองสามต้น พอให้ทำโลงศพได้สองโลง วางใจเถอะ ข้าไม่ได้ใช้เจ้าเปล่าๆ แต่มีค่าจ้างให้”
ชาวบ้านผู้นั้นตอบตกลงทันที
เสวี่ยเจิ้งจื้อสั่งเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ใช้ให้คนไปรื้อประตูห้องออก เพื่อนำร่างของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาออกมาวางไว้ในห้องโถง โดยให้นอนอยู่บนบานประตูไปก่อน ขณะเดียวกันก็ให้คนไปแจ้งข่าวที่บ้านเกิดของซุนซิ่งฮวา และหารือเรื่องจะวางศพพวกเขาเอาไว้ที่เรือน ก่อนจะนำไปฝัง
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนมองเสวี่ยเจิ้งจื้อสั่งงานชาวบ้านอยู่ที่เดิม จากนั้นสายตาก็มองไปยังผู้คนที่เดินเข้าๆ ออกๆ จากเรือน มีสตรีหลายคนเข้ามาปลอบใจ ทว่าเธอทำได้เพียงไม่พูดไม่จาเท่านั้น
ทุกคนคิดว่าวันนี้เธอต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ และเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ กลับต้องมาพบว่าบิดามารดาของตนจากไปกะทันหัน โดยถูกงูกัดตายสภาพน่าเวทนายิ่ง คงไม่ใช่เพียงเสียใจเท่านั้น แต่ยังหวาดกลัวอีกด้วย สตรีทั้งหลายจึงยิ่งสงสารเธอจับใจ จากนั้นก็มีคนพยุงเธอไปพักผ่อนที่เรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ในเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับตุ๊กตาไม้รูปคน ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนที่อยู่ด้านนอก ทว่าเธอไม่ได้ใส่ใจ
ขณะนี้เธอเพียงรู้สึกว่าหัวใจของตนยังล่องลอยไร้จุดหมาย ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความจริง
ผ่านไปได้ไม่นาน เธอก็สังเกตเห็นว่ามีเงาอยู่ตรงประตูเรือนจึงหันไปมอง และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มยังคงสวมชุดสีครามเหมือนทุกวัน สีหน้าของเขาราบเรียบเช่นเคย ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
เธอจับจ้องเขาโดยไม่ได้เอ่ยคำใด เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็มองมาที่เธอโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่ และไม่เอื้อนเอ่ยแม้แต่คำเดียว เพียงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยลูบศีรษะเสวี่ยเจียเยว่ ความจริงแล้วที่ผ่านมาเธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับรู้สึกว่าดวงตาของตนร้อนผ่าว
“ท่านพี่” เธอสะอื้นเล็กน้อย “พวกเขา… ไม่ใช่เพราะท่าน…”
คำพูดท่อนหลังเธอไม่ได้เอ่ยออกมาจนจบ เพราะในลานเรือนยังมีชาวบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก และเธอยังไม่อยากเอ่ยถามออกมา
พูดตามตรง การตายของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไม่ได้ทำให้เธอเสียใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกโล่งอกไปได้มาก ราวกับว่ามีดที่จ่ออยู่บนศีรษะถูกยกออกไปก็ไม่ปาน ทว่าเธอไม่อยากให้การตายของพวกเขาเป็นฝีมือของเสวี่ยหยวนจิ้ง
หากตัดซุนซิ่งฮวาออกไป เสวี่ยหย่งฝูก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเขา เสวี่ย-เจียเยว่ไม่ยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งลงมือฆ่าบิดาของตนเพื่อเธออย่างแน่นอน หากทำเช่นนั้น ทั้งชีวิตของเขาจะมีความสุขได้อย่างไร ถึงอย่างไรยุคนี้ความกตัญญูก็อยู่เหนือสิ่งใด
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถาม “เจ้าเชื่อที่ข้าพูดหรือไม่”
“ข้าเชื่อเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี” เด็กหนุ่มพยักหน้าเช่นกัน จากนั้นเขาก็กระซิบบอกเสียงเบาทว่าแน่วแน่ “เชื่อข้า… ว่าเรื่องนี้คืออุบัติเหตุ”
แม้ว่าเขาจะเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาเป็นคนจิตใจอำมหิตลงมือสังหารบิดาแท้ๆ ของตน เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและทำตัวห่างเหินนับจากนี้
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตะลึงงันทันที
เดิมทีเธอคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสารภาพว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนทำ แต่คิดไม่ถึงว่า… เขาจะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุอย่างแน่วแน่เช่นนี้
กระนั้นเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าไม่มีความตึงเครียดเหลืออยู่แล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งลุกขึ้นเทน้ำส่งให้อีกฝ่ายหนึ่งถ้วย “ดื่มให้หมด จิตใจจะได้สงบลง”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าแล้วรีบรับถ้วยน้ำมาด้วยสองมือ ก่อนจะค่อยๆ ดื่มน้ำในถ้วยนั้นจนหมด
แม้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนเด็กหนุ่มจะเริ่มวางแผนทำเรื่องในวันนี้ แต่เขาจะไม่ทำให้ใครเห็นพิรุธแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้ในใจลึกๆ ของเขาก็รู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย ทว่าตอนนี้เขาสบายใจขึ้นแล้ว
หลังจากวางถ้วยที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ เขาก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบถุงผ้าออกมา ก่อนจะวางลงบนมือของเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยเสียงเบา “เก็บไว้ให้ดี”
ต่อไปเด็กหนุ่มกับเสวี่ยเจียเยว่จะต้องไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง และเขายังต้องเข้าร่วมการสอบขุนนาง ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องใช้เงิน เขาคิดเผื่ออนาคตเอาไว้แล้ว
เสวี่ยเจียเยว่รับถุงผ้ามา ก่อนจะเปิดดูเงียบๆ เมื่อเห็นเหรียญในนั้นอย่างชัดเจนแล้ว เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทว่าเลือกที่จะไม่เอ่ยคำใดออกมา และยัดถุงผ้าเข้าไปในอกเสื้อ
เธอคิดเช่นเดียวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อออกจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนต้องใช้เงินจ่าย จะต้องเก็บเงินเหล่านี้เอาไว้ให้ดี เมื่อครู่นี้เขาก็ยื่นเงินให้เสวี่ยเจิ้งจื้อไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เนื่องจากเสวี่ยเจิ้งจื้อเป็นผู้ดูแลงานศพทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ออกหน้าทำอะไร เพียงใช้ให้ทั้งสองเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็พอ
ตกกลางคืนอากาศหนาวขึ้นจนชาวบ้านทนไม่ไหว พวกเขานั่งครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับเรือนไป ในที่สุดก็เหลือเพียงเสวี่ยเจิ้งจื้อที่ตัดสินใจจะอยู่ด้วยในคืนนี้
เสื้อผ้าบนตัวของเสวี่ยเจียเยว่เดิมทีก็บางอยู่แล้ว ตอนนี้อากาศยิ่งหนาวยิ่งทำให้ร่างสั่นเทาและริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดังนั้นก็อยากจะพาแม่นางน้อยไปนอนที่เรือนของตน ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ยอม
แม้ว่าวันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจะขวางเอาไว้ แต่เธอก็ได้ยินสาเหตุการตายของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา ทั้งยังเห็นชาวบ้านโยนงูที่ตายแล้วออกไปด้านนอกกับตาตัวเอง สำหรับคนที่กลัวงูเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอไม่อยากนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน
ท้ายที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็อับจนหนทาง ทำได้เพียงตามใจเท่านั้น กระนั้นก็ยังเอื้อมมือไปโอบอีกฝ่ายเอาไว้ให้พิงไหล่ของเขา
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าตนหลับไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเธออยู่บนเตียงในห้องเล็กๆ ของตน และท้องฟ้าด้านนอกสว่างจ้าแล้ว
เธอตกใจจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งออกไปด้านนอก เมื่อเห็นเสวี่ย-หยวนจิ้งอยู่ในห้องโถงก็เบาใจลง
เด็กหนุ่มกวักมือเรียกเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นก็พาเข้าไปในห้องครัว
ยายหานคือผู้ที่ดูแลงานในห้องครัว เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยกับนางอย่างนอบน้อม
“ท่านยายหาน รบกวนท่านแล้วขอรับ แม้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าจะจากไป ในฐานะลูกต้องสวมชุดผ้าป่านขาวไว้ทุกข์และไม่ดื่มไม่กิน ทว่าเอ้อร์ยานางเพิ่งอายุแปดขวบ อีกอย่าง… ตั้งแต่เกิดเรื่องนางก็ยังไม่ได้กินข้าว รบกวนท่านตักกับข้าวอะไรก็ได้ให้นางได้กินรองท้องด้วยเถิดขอรับ”
เมื่อยายหานได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น “จะไม่กินข้าวได้อย่างไร แม้ว่าพวกเจ้าจะบอกว่าพ่อกับแม่ตายแล้ว และข้าเองก็ไม่ควรนินทาคนตายลับหลัง แต่พวกเขาสองคนเป็นคนเช่นนั้น แล้วตายเช่นนั้น มันก็เป็นผลกรรมตามสนอง ไม่มีพวกเขาอยู่ก็จะไม่มีใครมาด่าว่าหรือตบตีพวกเจ้าทุกวัน ชีวิตของพวกเจ้าสองพี่น้องจะต้องดีขึ้นไม่น้อย”
นางหยิบถ้วยสองใบออกมาจากตู้ถ้วยชาม ก่อนจะตักข้าวต้มที่เข้มข้นจนเต็มถ้วย “ไม่ใช่แค่เอ้อร์ยาที่ต้องกินข้าว แต่หลานจิ้ง เจ้าก็ต้องกินเช่นกัน เจ้าเป็นพี่ ช่วงนี้เจ้าในฐานะพี่ชายจะต้องเหนื่อยล้ากับงานไม่น้อย ต่อไปเอ้อร์ยาก็ยังต้องการเจ้าดูแลในฐานะพี่ใหญ่ หากเจ้าหิวจนเป็นอะไรไปในตอนนี้ แล้วเอ้อร์ยาจะพึ่งพาใครเล่า”
จากนั้นก็ยัดถ้วยใส่มือของพวกเขาโดยไม่ให้โอกาสได้ปฏิเสธ “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ กิน ข้าจะออกไปดูต้นทางให้พวกเจ้าเอง”
นางกล่าวจบก็เดินไปยืนที่หน้าประตูห้องครัว
ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่หิวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เอ่ยคำใดให้มากความ และรีบกินข้าวต้มในถ้วยให้หมด หลังจากขอบคุณยายหานแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากห้องครัวไปจัดการเรื่องของตัวเอง
เมื่อก่อนเสวี่ยเจิ้งจื้อก็เคยเป็นคนดูแลเรื่องงานศพอยู่บ่อยครั้ง ภายใต้การควบคุมของเขา ทุกอย่างจึงเรียบร้อยเป็นระเบียบมาก ไม่มีตรงไหนที่ผิดพลาด และเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ต้องเป็นกังวล
ทว่าช่วงใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันนั้น…
ตอนที่มีคนเข้ามาบอกว่าญาติที่บ้านเกิดของซุนซิ่งฮวามาแล้ว เสวี่ย-เจียเยว่คิดว่าแย่แน่ ก่อนจะเห็นคนสี่คนเดินมาอย่างรวดเร็ว
ยายเฉียนนั้นเธอเคยพบแล้ว ส่วนชายสองคนและหญิงหนึ่งคน แม้จะไม่เคยพบหน้ามาก่อน ทว่าเมื่อพิจารณาจากหน้าตาและอายุ ก็น่าจะเป็นลูกชายคนโต สะใภ้ใหญ่ และลูกชายคนเล็กของยายเฉียน
เมื่อยายเฉียนเดินเข้ามาในเรือน นางก็รีบพุ่งไปหยุดข้างศพซุนซิ่งฮวาที่นอนอยู่บนบานประตูในห้องโถง คุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะตบขาของตนพลางร้องห่มร้องไห้
ต้องบอกว่านางเหมือนร้องเพลงมากกว่าร้องไห้ เพราะเสียงนั้นเดี๋ยวสูง เดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวร้อง ส่วนลูกชายคนโต ลูกสะใภ้ใหญ่ และลูกชายคนเล็กของนางก็เริ่มร้องไห้ออกมาในเวลาเดียวกัน
จากนั้นชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถง เมื่อจัดหาเก้าอี้ให้คนทั้งสี่ได้นั่งแล้ว ก็เรียกคนหาน้ำมาให้พวกเขาดื่ม ก่อนจะเอ่ยคำแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย
ยายเฉียนไม่ได้ดื่มน้ำเข้าไปและไม่ฟังคำปลอบใจจากใคร นางปาดน้ำมูกทิ้งลงบนพื้นแล้วเอ่ยถามขึ้น “ลูกสาวข้าตายได้อย่างไร”
“ผู้ที่ไปแจ้งข่าวไม่ได้บอกท่านหรือเจ้าคะ ลูกสาวและลูกเขยของท่านถูกงูกัดตายเจ้าค่ะ” สตรีที่อยู่ด้านข้างเอ่ย
ยายเฉียนตะโกนขึ้นมาทันที “ข้าไม่เชื่อ! อากาศหนาวเช่นนี้ จะมีงูมาจากไหน เหตุใดถึงไม่เลื้อยขึ้นไปบนเตียงคนอื่น กลับตั้งใจเลื้อยขึ้นบนเตียงของพวกเขาสองคนโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ”
ปกติแล้วสตรีผู้นั้นเป็นคนปากไวอยู่แล้ว หลังจากได้ฟังคำของนาง ยายเฉียนไม่เพียงไม่ขอบคุณ กลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ นางจึงตอบกลับไป
“เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นไม่ได้กินเนื้องูด้วย นี่คือกรรมตามสนอง”
ยายเฉียนสะอึกทันที จากนั้นนางก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใดดี
สะใภ้ใหญ่ของยายเฉียนเอ่ยขึ้นบ้าง “กรรมตามสนองอันใดกัน ใครไม่เคยกินเนื้อปลา เนื้อกุ้ง เนื้อหมู เนื้อไก่บ้าง หากเป็นตามที่เจ้าเอ่ยมา คนทั้งแผ่นดินนี้ก็ต้องตาย ท่านแม่ของข้าพูดถูก อากาศหนาวเช่นนี้ จะมีงูได้อย่างไร น้องสามีของข้าจะต้องถูกคนฆ่าอย่างแน่นอน ถึงได้สร้างเรื่องกรรมตามสนองขึ้นมาหลอกคน”